หลังจบเกมรอบตัดเชือกระหว่างบราซิลกับเยอรมนี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่เมืองไทยสอบถามว่า จะเกิดจราจล จากความไม่พอใจของแฟนบอลเจ้าถิ่นหรือไม่ ทุกคนเตือนให้ระวังและดูแลตัวเองให้ดี ขอขอบคุณในความห่วงใย ผมและเพื่อนนักข่าวไทยยังปลอดภัยดี
ไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในบราซิลอย่างที่วิตกกัน อาจเป็นเพราะทีมบอลของพวกเขาพ่ายแพ้แบบไม่มีข้อกังขา ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องไปทำไมให้อายเปล่าๆ ความไม่พอใจพุ่งไปที่สมาคมฟุตบอล โค้ชและนักเตะชุดนี้มากกว่า หนังสือพิมพ์ในบราซิลลงภาพข่าวสับแหลกทีมตัวเอง โดยใช้คำว่า Humilhacao หรือในภาษาอังกฤษ Humiliation หมายถึง การเสียเกียรติ ขายหน้า อัปยศอดสู
บางฉบับลงภาพ บิ๊กฟิล หลุยส์ เฟลิเป สโกลารี กำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้ลูกทีมระหว่างเกมด้วยการชู 7 นิ้ว ซึ่งตรงกับผลที่ออกมา บราซิลโดนไป 7 ลูก บ้างมีภาพชุดแฟนบอลทุกวัยร้องไห้อย่างเจ็บปวด นสพ.ดิอาริโอ ในเซา เปาโล เล่นแรง ให้คะแนนความสามารถนักเตะเป็นศูนย์คะแนนทุกคน
เช้าวันที่ 9 ก.ค. ผมเดินทางมาถึงเซา เปาโล เพื่อดูเกมระหว่างอาร์เจนตินากับฮอลแลนด์ สภาพเมืองเงียบเหงา เพราะเป็นวันหยุดสำคัญประจำปี ตรงกับวันปฏิวัติเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญของประชาชนในรัฐเซา เปาโล หลังจากกองทัพทำรัฐประหารเมื่อปี 1930 แล้วผลักดันให้เกตูลิโอ วาร์กัส ผู้นำเผด็จการขึ้นเป็นประธานาธิบดี ผู้คนในเซา เปาโล ลุกขึ้นสู้ในวันที่ 9 ก.ค. 1932 สงครามมีอยู่ช่วงสั้นๆ 87 วัน สิ้นสุด 2 ต.ค. ปีเดียวกัน
เซา เปาโล พ่ายแพ้ มีผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 934 คน แต่มีรายงานไม่เป็นทางการว่า ผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 2,000 คน แต่หลังจากนั้นรัฐบาลก็ยอมให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ และได้รัฐธรรมนูญใหม่ในปี 1934 แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีอายุสั้น อยู่ได้แค่ 3 ปีเท่านั้น เรื่องราวเป็นอย่างไร ผู้สนใจลองไปหาประวัติศาสตร์บราซิลอ่านดูนะครับ
ระหว่างเดินทางไปสนามอารีนา เดอ เซา เปาโล แฟนบอลบราซิลนั่งรถไฟใต้ดินขบวนเดียวกับแฟนอาร์เจนตินา มีการร้องเพลงแซวกันตลอด ฝ่ายเจ้าถิ่นร้องเพลงแซวดิเอโก มาราโดนา ว่าห่างชั้นจากเปเล่ กองเชียร์ฟ้าขาวก็มีเพลงยกย่องมาราโดนา เหนือเปเล่เช่นกัน รุ่นปัจจุบันก็ยังมีการเกทับบลัฟแหลกระหว่างลิโอเนล เมสซี กับเนย์มาร์
ในสนามมีแฟนอาร์เจนตินาเยอะมาก เป็นปกติของบอลโลกครั้งนี้ที่ทีมจากอเมริกาใต้จะมีกองเชียร์ยกทัพมาเต็มพิกัด ทีมจากยุโรปมีกลุ่มเล็กๆ ฮอลแลนด์ก็เช่นกัน เท่าที่ดูมา กองเชียร์เยอรมนีจะมีมากที่สุดและได้อยู่ยาวจนถึงนัดชิงชนะเลิศ
เสียงเชียร์ของแฟนฟ้าขาวดังสนั่นจนไม่ได้ยินเสียงของแฟนดัตช์ คนดูชาวบราซิลจึงเอาใจช่วยฮอลแลนด์ ตะโกนสู้ว่า ฮอลันดาๆๆๆ บ่งบอกถึงความเป็นคู่ปรับเชิงลูกหนังของสองชาตินี้ ข้าไม่ได้เข้าชิง เอ็งก็ต้องไม่ได้ชิงเช่นกัน
ไม่รู้ว่าคู่บราซิล-เยอรมนียิงกันเยอะเกินไปหรือเปล่า คู่นี้เลยฝืด แฟนบอลบางคนถึงกับนั่งสัปหงกบนอัฒจันทร์ อาร์เจนตินาและฮอลแลนด์เล่นคล้ายกัน ระมัดระวังทั้งคู่ คงเห็นตัวอย่างจากบราซิลแล้วว่า เปิดเกมมาเล่นมุทะลุ บุกแหลกไม่ดูตาม้าตาเรือถึงกับเละ บอลไปตายอยู่หน้ากรอบเขตโทษทั้งสองฝั่ง เกมรับทำได้ดีทั้งคู่ ตลอด 120 นาที มีลูกหวาดเสียวแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น
ช่วงต่อเวลาที่อาร์เยน ร็อบเบน หลุดเข้าไปยิงแต่ถูกกองหลังอาร์เจนตินาสกัดไว้ได้ฉิวเฉียด ทำให้ผมนึกถึงนัดชิงบอลโลกคราวที่แล้ว ที่ร็อบเบนมีโอกาสหลุดเดี่ยวแต่ยิงติดขาอิเคร์ กาซิยาส นายทวารสเปน และคิดต่อไปว่า ประวัติศาสตร์คงซ้ำรอยกระมัง
ด้วยเหตุที่หลุยส์ ฟาน กัล เปลี่ยนตัวไปครบ 3 คนแล้ว จึงไม่สามารถใช้แผนเดิมเปลี่ยนทิม ครูล จอมเซฟจุดโทษลงไปแทนยาสเปอร์ ซิลเลสเซนได้ และก็อย่างที่เห็น ซิลเลสเซนเซฟไม่ได้เลย ตลอดชีวิตการค้าแข้งของเขา ไม่เคยป้องกันจุดโทษได้แม้แต่ลูกเดียวจากการเจอจุดโทษ 17 ครั้ง
ส่วนเซร์คิโอ โรเมโร นายทวารอาร์เจนตินาเคยเป็นศิษย์เก่าของหลุยส์ ฟาน กัล ที่นำเขาไปเล่นให้อัลค์มาร์ในฮอลแลนด์ เมื่อปี 2007 ฟาน กัล บอกว่า เขาเป็นคนสอนวิธีเซฟจุดโทษโรเมโรเองกับมือด้วยซ้ำ และโรเมโรย้อนกลับมาดับความหวังของฮอลแลนด์ในวันนี้
ผ่านไป 24 ปี เยอรมนีและอาร์เจนตินา โคจรมาพบกันอีกครั้งในนัดชิงบอลโลก หลังจากเคยเจอกันมาล่าสุดในปี 1990 ทีมอินทรีเหล็กชนะ 10 จากจุดโทษของอันเดรียส เบรห์เม ส่วนบราซิลช้ำแล้วช้ำอีก แพ้ยับเยินไม่พอ คู่แค้นอย่างอาร์เจนตินาได้เข้าชิงอีก และต้องกลืนเลือดเชียร์อินทรีเหล็กที่เพิ่งสอนบอลมา เพื่อไม่ให้ฟ้าขาวได้แชมป์ในบ้านตัวเองอีกด้วย.
โต้ บ้านแหลม