"ควรเลือกที่จะมีชีวิตที่มีความสุข และดีที่สุดกับคนดีของเรา เพราะชีวิตที่ถูกใช้ ไม่ว่าจะใช้ไปอย่างมีความทุกข์หรือความสุข ก็ไม่อาจเรียกชีวิตคืนได้ทั้งสิ้น.." ท่าน ว.วชิรเมธี Free Image Hosting "ขอบคุณที่เคียงข้างไปกับคนที่มีโลกส่วนตัวสูงอย่างฉัน..ขอบคุณที่เรารักกัน" ... & thank you for pretty family all about of love .. ระวังในการใช้ชีวิต และรอบคอบในการใช้หัวใจมากขึ้น ^_^
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
รักของข้าแผ่นดิน..ตอน 6<ซาตานร่างมนุษย์หว่านเม็ดเงินมอมเมาคนยากจน ปูทางกอบโกย..เป้าหมายโค่นบัลลังก์>

ตอนที่  6

 



 



 


            สงไฟจากสปอตไลน์ และแสงแฟลชจากกล้องถ่ายภาพนิ่งของนักข่าวทุกสำนัก พร้อมกับเสียงจอกแจกของบรรดานักข่าวช่างภาพทุกสำนักที่รอฟังการประกาศของคณะปฏิวัติเพื่อประชาราษฎร์ นำโดยนายพลตักติน

 


          “พี่น้องสื่อมวลชน ขอให้อยู่ในความสงบก่อน ท่านนายพล กำลังร่างคำประกาศแถลงการณ์  ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า เราไม่ได้มีการเตรียมการแต่อย่างใด”

 


         “ท่านคะ..” นักข่าวพยายามยื้อแย่งกันเพื่อถาม

 


         “อย่า อย่าเพิ่งถาม รอฟังท่านแถลงด้วยตัวท่านเอง”

 


         เสียงเพลงมาร์ช กองทัพบกดังขึ้น เพียง 3-4 นาที กำลังทหารนับยี่สิบนาย เรียงหน้ากระดาน นำหน้านายพลตักตินออกมา

 


       “ทีวี วิทยุ พร้อมแล้วใช่ไหม  ถ่ายทอดสดเลยนะ” เสียงคนสนิทของนายพลตักตินกำชับสื่อโทรทัศน์ทุกช่อง  และสถานีวิทยุทุกคลื่นความถี่

 


       

 


        ที่พระตำหนักฟารีย์

 


       ภายนอกเต็มไปด้วยกำลังทหาร และรถถัง ส่วนภายในองค์รัชทายาท และราชบุตร และพระธิดา พร้อมกับราชบุตรเขย และพระญาติ ต่างกำลังจดจ่อฟังการแถลงการณ์ของกบฏเช่นกัน

 


 

 


       ภาพชาวนาชาวไร่ ประกอบเพลงมาร์ชทหารปรากฏขึ้น จากนั้น ราว 5 นาที ภาพตัดไปที่นายพลตักติน ยืนอยู่บนโพเดียม ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ด้านหลังเป็นฉากภาพชาวนาชาวไร่ที่เห็นตอนต้น

 



 


       “ดูสิ มันตั้งใจหยามราชวงศ์ มันเอาภาพชาวนาปิดทับภาพพระองค์ท่าน”

 


          พระญาติ เริ่มส่งเสียงอื้ออึง ด้วยความไม่พอพระทัย

 


           

 


          “พี่น้องชาวอคีตาที่รักทุกคน ข้าพระเจ้านายพลตักติน ผู้บริหารรัฐอคีตา ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติเพื่อประชาราษฎร์ ขอเรียนให้พ่อแม่พี่น้องรู้ว่า ขณะนี้บ้านเมืองกำลังประสบปัญหา จากที่ชาวประชามีหนี้สินมากมาย มีคนว่างงานทั่วอคีตาจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ขาดรายได้เข้าสู่รัฐ  ด้วยไม่มีโครงการดึงดูดชาวต่างประเทศ  ด้วยอำนาจของผู้บริหารรัฐนั้นมีไม่เพียงพอในการแก้ไข

 


 อีกทั้งสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากเอ่ยเป็นที่สุด ด้วยเป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่ง แต่เพื่อลดความแคลงสงสัยของพี่น้องอคีตา จึงจำเป็นต้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ขณะนี้ ใต้ฝ่าละละอองธุลีพระบาทพระเจ้าฟารียะทรงพระประชวรหนัก ทรงมิสามารถออกว่าราชการได้ 

 


 เหล่าแม่ทัพทุกนาย ต่างใช้เวลาครุ่นคิดร่วมกันว่า หากปล่อยไว้เช่นนี้ อคีตาอาจต้องล่มสลายด้วยความยากจนของประชาราษฎร์ คณะปฏิวัติเพื่อประชาราษฎร์ จึงรวมตัวกันขึ้น โดยมีแม่ทัพทุกหมู่เหล่าร่วมลงสัตยาบัน ตามรายนามที่จะแจกจ่ายต่อสื่อมวลชน

 


 คณะปฏิวัติเพื่อประชาราษฎร์ ขอประกาศว่า เราจะแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ปัญหาความยากจนหมดจากอคีตา ในเร็ววัน

 


และจะกราบบังคมทูล เพื่อขอพระบรมราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาท เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเร็วที่สุด

 


ขอบใจปวงประชาราษฎร์ ที่มามอบดอกไม้ให้กับคณะปฏิวัติทุกคน เราเห็นแล้วในน้ำใจของชาวอคีตาที่จะร่วมกับเราสร้างความมั่งคั่งให้อคีตาต่อไป”

 



 


“ท่านนายพล..เอ่อ ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติเพื่อประชาราษฎร์คะ  ประชาชนต้องการทราบพระอาการประชวรของพระองค์ท่าน ท่านหัวหน้าจะแถลงเองหรือให้หมอหลวงแถลงคะ”

 



 


นายพลตักติน ข่มความโกรธที่นักข่าวไม่ได้ถามถึงตน แต่กลับถามพระอาการประชวร จึงตอบไปว่า

 


“ยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ในพระอาการประชวร เรารอหมอหลวงตรวจอย่างละเอียดก่อน ....ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอบคุณ และขอให้ให้ความร่วมมือในการเสนอข่าวด้วย”

 



 


เพลงมาร์ชทหารดังขึ้น ผสานเสียงนักข่าวที่ตะโกนเพื่อถามถึงพระอาการประชวรต่อ

 


“พระองค์ทรงประชวรนานหรือยัง และทำไมก่อนหน้านี้ ไม่มีแถลงการณ์จากราชเลขาพระตำหนักฟารีย์”

 


นายพลตักติน เดินเข้าห้องรับรอง โดยไม่ตอบคำถามนักข่าว ทหารคนสนิทรีบสั่งยุติการถ่ายทอดสด

 



 


สถานีวิทยุและโทรทัศน์ กลับเข้าสู่รายการตามปกติ

 


“ท่านฟาโทรี ท่านรู้ข่าวนี้มาก่อนหรือไม่”

 


พระญาติถาม

 


“หมายความว่าท่านจะเป็นเจ้าครองนครคนใหม่ ทั้งที่พระองค์ท่านยังทรงพระวรกายแข็งแรงดี ไอ้ตักตินมันชั่วช้านัก หม่อมฉันไม่อยากให้ทรงวางพระทัย”

 


พระญาติท่านอื่นยังสงสัย

 


“ใช่ เราต่างรู้ดี พระองค์ท่านแม้จะ 93 พรรษา แต่ทรงมีพลานามัยสมบูรณ์ และปัญหาของชาวประชาที่ทุกข์ยากเพราะหนี้สิน ก็เพราะนโยบายของมันเอง ท่านฟาโทรี ท่านคิดเห็นอย่างไร”

 


“เราอยากได้ข่าวจากนายพลศิราเสียก่อน เพราะเรื่องที่ตักตินมันแถลง มันนอกเหนือแผนการที่เราวางไว้รับมือแต่แรก”

 


“แต่ถ้านายพลศิรา ทรยศเล่า”

 


“เป็นไปไม่ได้ นายพลศิราและบรรพบุรุษของเขาจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ร่วมรบยามข้าศึกรุกรานมาหลายคราเพื่อปกป้องอคีตา ไม่มีทางที่เขาจะทรยศ”

 


“แต่อำนาจนะท่าน ไม่เห็นหรือ ตักตินมันแต่งตั้งผู้ร่วมก่อการเป็นคณะร่างกฎหมายร่วมกัน แล้วกฎหมายใหม่ที่พวกมันจะร่าง ไม่ใช่เพื่อเพิ่มอำนาจของพวกมันหรอกหรือ กระหม่อมล่ะหวั่นใจนัก”  พระญาติคนเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความหวั่นใจ
             
“ฮือ ฮือ” เสียงบุตรธิดา พระญาติ ร้องไห้ระงม เมื่อเห็นผู้ใหญ่โต้เถียงกัน และเด็กๆ ร้องหาเจ้าฟารียะ เพราะไม่เห็นพระองค์ท่านมาหลายวันแล้ว ผู้ใหญ่ได้แต่อุ้มปลอบโยน

 


“ท่านพ่อ แล้วเราจะได้พบนายพลศิรา และศารยาอีกหรือไม่”

 


ฟารุคถามด้วยความไม่แน่ใจ ยิ่งฟังพระญาติหลายคนตั้งข้อสังเกตุ ไม่ใช่กลัว 2 พ่อลูก

 


ทรยศ  แต่กลัวว่าความเข้มงวดของตักติน จะทำให้การทำการณ์ใดของนายพลศิราและศารยา เป็นไปได้ยากยิ่ง

 


         

 


          ที่กองบัญชาการกองทัพบก

 


             นายพลตักติน เรียกนายพลทั้ง 4 กองทัพเข้าพบ ทั้งทัพเหนือที่มีนายพลศิรา เป็นผู้บัญชาการกองทัพ ทัพใต้มีนายพลขนิน เป็นผู้บัญชาการกองทัพ ส่วนทัพตะวันตกมีนายพลลอยี เป็นผู้บัญชาการกองทัพ  และทัพตะวันออกมีนายพลบินเบเป็นผู้บัญชาการกองทัพ  ส่วนทัพมหานคร นายพลตักตินมีนายพลซาวา น้องชายภริยาของนายพลตักติน นั่งเก้าอี้นี้เพื่อตรึงกำลังทหารในส่วนมหานครเมืองมิตตระญาไม่ให้แข็งขืน

 


           นายพลตักตินเรียก 4 ผู้นำกองทัพ มาหว่านความหอมของอำนาจใส่ในมือแต่ละคน หวังให้ผู้นำกองทัพทั้งหมด อยู่ใต้อาณัติของตนอย่างแยบยล

 


            “นายพลบินเบ  อั๊วจะให้ลื้อคุมสื่อมวลชนทุกแขนง ใครนอกลู่นอกทาง จัดการได้เต็มที่ อยากจะตั้งสถานีวิทยุใหม่เอาไว้เป็นลู่ทางให้ลูกเมีย ญาติพี่น้องไว้เรียกทรัพย์เข้ากระเป๋าก็เอาเลยตามสบาย อั๊วให้สิทธิ์ลื้อเต็มที่ แล้วไอ้พวกธุรกิจที่มันทุ่มงบโฆษณาไปกับโทรทัศน์ ลื้อคงรู้นะ ว่าจะหากินกับพวกมันยังไง”

 


            “ขอบคุณท่านมาก ท่านเป็นสุดยอดนายพล และสุดยอดมหาเศรษฐีจริงๆ”

 


           นายพลตักตินพอใจในคำชม หัวเราะลั่น

 


          “ฮ่า ฮ่า คนเรามันต้องรู้จักตักตวง เอาเงินต่อเงิน ไม่ใช่เรื่องยาก  ส่วนนายพลลอยี  ลื้อไปดูเรื่องความยากจน เติมเงินกู้ให้พวกมันไป ให้พวกมันเอาไปใช้จนหน่ำใจ แล้วก็ต้องลนลานหาแหล่งเงินกู้  อั๊วให้หุ้นบริษัท เงินกู้อั๊ว10 เปอร์เซ็นต์ ให้ลื้อนอนกินฟรีๆ เลย ฮ่ะ ฮะ ฮะ”

 


         “ขอบพระคุณท่าน ท่านวิสัยทัศน์กว้างไกลสุดยอดจริงๆ ขอรับ”

 


          “คนเป็นนักธุรกิจ มันก็ต้องมองการณ์ไกล ยิ่งธุรกิจการเมือง มันมีแต่ได้กับได้ ต้องมองให้ทะลุ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ้า นายพลขนิน  ลื้อเอาเรื่องเศรษฐกิจไปดู อะไรส่งออก อะไรนำเข้า เร่งจัดการส่งตำราสมุนไพรให้พวกยุโรปมันเร็วๆ อั๊วจะได้พาพวกลื้อไปเสวยสุขบนกองเงินที่ต่างประเทศ ไอ้พวกนั้นมันบ้าอยากเห็นสรรพคุณสมุนไพรอคีตาเราก็จัดให้มัน เพราะอั๊วไม่อยากรอแล้ว

 


มันจะอนุมัติโครงการ ก็ต่อเมื่อลิขสิทธิ์สมุนไพรอคีตาเป็นของพวกมัน

 


          รีบจัดการนะโว้ย  เงินนับแสนแสนล้านจากโครงการขนส่งที่อั๊วกว้านซื้อหุ้นไอ้พวกตาน้ำข้าวเอาไว้จะได้เป็นรูปเป็นร่างเสียทีคราวนี้ พวกลื้อก็จะได้ช่วยอั๊วนับเงินคราวละแสนล้าน แล้วไอ้พืชผักอะไรที่พวกต่างชาติขนมาขายลื้อรับซื้อไว้เลย เพราะอั๊วคุยกับมันไว้แล้ว เราจะเปิดการค้าเสรี

 


พวกมันขนผักเมืองนอกมาขายอคีตา ภาษีถูกสุด ๆ แล้วเราก็เอาหมูขุนของบริษัทโอฬารของอั๊ว  ส่งออกให้มัน เราก็มีแต่ได้กับได้ ฮ่า ฮ่า”

 


         “แล้วชาวไร่ ชาวสวนเราล่ะครับ”

 


          นายพลศิราอดถามไม่ได้ นายพลตักตินใช้หางตาชำเลืองอย่างไม่พอใจนัก แต่ข่มความรู้สึกไว้  แล้วถามหยั่งเชิงว่า

 


         “ชาวไร่ ชาวสวนเหรอ มันเป็นใคร..ก็พวกคนจน ทำไมต้องไปสนว่ามันจะเป็นยังไง  ลื้อถามอั๊วอย่างงี้ จะปฏิปักษ์กับอั๊วเหรอ นายพลศิรา”

 


            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกขอรับ แต่ผมกลัวว่าหากมีนักข่าวต่างประเทศถาม เราจะได้ตอบในทางเดียวกัน ไม่แตกแถวเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราเปิดเสรีการค้า มีแต่นายทุนที่ได้ผลประโยชน์ แต่ชาวบ้านขายพืชผักท้องถิ่นไม่ได้ เพราะต่างชาติเอาผักเขาเข้ามาขายได้เสรี แถมเสียภาษีถูก  ราคาผักก็ต้องถูกเหมือนกัน พอนักข่าวต่างประเทศมันอยากเจาะข่าว นักข่าวอคีตาจะเฉยมันก็ไม่เข้าท่า มันก็ต้องปล่อยให้เขาเสนอข่าวบ้าง จริงไหมขอรับ ผมจึงเรียนถามท่าน อยากทราบว่าเราจะตอบคำถามพวกนักข่าวยังไงก็เท่านั้น”

 


        “เอ้อจริงของลื้อ อั๊วลืมคิดไปเสียสนิท เพราะคิดว่ายังไงนักข่าวเราก็มีนายพลบินเบคุมอยู่ ก็เลยลืมไอ้พวกนักข่าวตาน้ำข้าว ที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านนัก แล้วไอ้พวกเดอะรีเวอร์นิวส์  หาทางปิดมันได้หรือยังบินเบ”

 


                     นายพลตักตินทำเสียงเขียว กัดฟันกรอด เมื่อนึกถึง สื่อต่างชาติ และ The River News  ที่ยังเป็นเสี่ยนหนามอยู่

 


           “สบายใจได้ครับท่าน The  River News  ตอนนี้มันถูกชาวอคีตาโง่ๆ ที่ไม่พอใจที่มัน  

 


เสนอข่าวเปิดโปง เอ๊ย! ใส่ร้ายท่าน  ตอนนี้มีคนไปชุมนุมก่อกวนมันทุกวัน ท่านสบายใจได้ มันยังไม่กล้าทำอะไรหรอกท่าน อีกอย่างท่านประกาศในคำแถลงการณ์คณะปฏิวัติแล้วว่า ให้สื่อเสนอข่าวตรงกัน มันทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก ถ้าทำเราก็เอารถถังไปขู่ ขี้คร้าน จะใจฝ่อกันทั้งโรงพิมพ์ ครับท่าน ใครก็รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น”

 


        “ฮ่า ฮ่า ดี ดี ใครชุมนุมด่าพวก The River  News  จัดกำลังไปอำนวยความสะดวก แต่ถ้าใครมันยังบ้ามาชุมนุมขับไล่อั๊ว เอารถถังไปขู่มันเลย ฮ่า ฮ่า ดี อคีตาเป็นของอั๊ว พวกมันจะได้จำไว้

 


           เอ้อ นายพลศิรา ไอ้เรื่องชาวสวน ชาวไร่น่ะ อั๊วนึกออกแล้ว  เราก็ปล่อยให้นักข่าวทุกสำนักของเรา เสนอข่าวไปบ่อยๆ ว่าเศรษฐกิจประเทศดีขึ้น จากตัวเลขส่งออก แหมก็ยอดส่งหมูขุนเราสูงทุกเดือน  ยอดส่งออกอคีตามันก็ต้องพุ่งแน่นอน ส่วนที่ชาวบ้านมันขายพืชผักไม่ได้ ก็เพราะปุ๋ยมันไม่ดี อั๋วให้ลื้อไปดูเรื่อง ปุ๋ย  เรื่องพันธุ์พืช เอาของบริษัทเสี่ยกฤษณ์นั่นล่ะ มันจ่ายใต้โต๊ะหนักดี

 


        เอาไปปล่อยให้ชาวบ้านราคาถูก เหมือนเป็นของขวัญจากรัฐ ช่วยแก้ปัญหาความยากจน แล้วค่อยเอาคืนจากยอดเงินกู้ เท่านี้พวกเราก็มีแต่รับ..และก็รับ”

 


           “ขอรับ”

 


            “เท่านั้นไม่พอดอกนายพลศิรา อั๊วให้ลื้อดูแลเรื่อง คุมกำลังทหารด้วย จะแต่งตั้งลื้อเป็นผู้บัญชาการทหารบก แทนตำแหน่งเดิมอั๊ว ก่อนเป็นเจ้าเมืองมิตตระญา  ทหารที่วางตัวดีกับเรา ลื้อก็ตบรางวัลให้มัน ถ้าใครนอกคอก ลื้อฟันได้ อำนาจอยู่ในมือลื้อ รวมทั้งไอ้พวกผู้นำเมือง งี่เง่าทั้งหลาย  ลื้อไปตรวจได้ทุกเมือง สนุกกับการกินเที่ยวได้เต็มที่ ไอ้พวกนี้มันชอบให้นายพลลงไป มันชอบหาหญิงให้และจัดเงินพร้อมของกำนัลในพื้นที่ ...ลื้อจะสนุกจนไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรเชื่ออั๊วสิ ฮ่า ฮ่า

 


             ส่วนผู้นำเมืองไหน มีท่าทีไม่เอาด้วยกับอั๊ว ก็จัดการส่งเรื่องมา อั๊วจะเด้งมันให้ระเห็จพ้นจากตำแหน่งเลย แต่ถ้าผู้นำเมืองไหน รู้จักปลุกมวลชนให้สนับสนุนอั๊ว ส่งเรื่องมาที่อั๊ว จะได้ตบรางวัลให้มันอย่างงาม ใครมันรู้จักเอาใจ ก็ต้องได้รางวัลตอบแทน ถูกไหม”

 


            “เอ่อ จะดีหรือขอรับ นายพลศิราเพิ่งออกมาจากพระตำหนัก ผมเกรงว่า”

 


            “บังอาจ นายพลบินเบ ลื้อก็รู้ว่าอั๊วพูดคำไหนคำนั้น อั๊วน่ะรู้..คนอย่างนายพลศิราฉลาด คิดดูดีๆ  ลื้ออยู่กับพระตำหนักมากี่ชั่วอายุคน อย่างมากก็เป็นได้แค่คนสนิท แต่เคยได้อำนาจเต็มที่ในมือไหม อำนาจที่จะชี้ให้ผมดำ เป็นผมขาว ผมยาวเป็นผมสั้น ให้นก เป็นไม้ ให้ไม้เป็นนก  ฮ่า ฮ่า อั๊วให้ลื้อลองดู แล้วลื้อจะติดใจ ฮ่า ฮ่า”

 


           นายพลตักตินหวังให้นายพลตงฉินผู้นี้ เผลอใผลติดกับดักอำนาจอันหอมหวาน นายพลศิรา มีสีหน้าครุ่นคิด คำพูดของนายพลตักตินแทงไปกลางใจเขาจริงๆ  ‘อำนาจ’ที่เขาไม่เคยมี มันจะทำให้เขาติดใจได้อย่างที่นายพลตักตินว่าจริงๆ หรือ

 


        

 






Free TextEditor
(ตามรักของข้าแผ่นดินกันต่อ ตอนต่อไปค่ะ)


Create Date : 18 มีนาคม 2553
Last Update : 18 มีนาคม 2553 9:24:10 น. 0 comments
Counter : 425 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonpithak
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฉันภูมิใจที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมี
เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ร่วมปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์...และจะขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป

ร่วมตอบแทนแผ่นดิน
มิใช่อยากแต่ครอบครอง
(ติดตาม..นิยาย 'รักของข้าแผ่นดิน' นะคะ)
********



ยินดีต้อนรับผู้มาเยี่ยมบ้านหลังนี้ทุกๆ ท่านค่ะ
บ้านนี้ไม่มี vip friends เพราะ "ทุกคนที่มาเยือนคือคนสำคัญ"
บ้านชิงช้าคนช่างฝัน ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมา เพื่อจะต้องเข้มแข็ง..ในทุกเรื่อง!!!!
มองเข้ามาในบ้านหลังนี้
จะเป็นอีกมุมที่อาจขาดความเข้ม เพราะตราบที่ยังหายใจย่อมมีหลายเรื่องที่ต้องเป็นไปตามความอ่อนไหว
อาจไม่แข็งแกร่งในทุกสิ่งที่เผชิญ เพราะมีบางเรื่องต้องใช้ความอ่อนโยนในการก้าวเดิน .. ขอบคุณที่มาทักทายนะคะ"





"ฉันก็เหมือนคนทุกคน ที่มีรัก ก็อยากดูแลให้ดีที่สุด
ขอบคุณที่รักกัน และจะรักกันตลอดไป
ขอบคุณที่เข้าใจในคนอารมณ์อ่อนไหว
คิดมาก ฝันเยอะ มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง
ดีใจที่ดีต่อกันและห่วงใยกันและกันเสมอ
'รัก'
ต้องพูด
ต้องบอก
และต้องแสดงออก

ก็เพราะคนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า
วันหนึ่งก็ต้องจากกัน..

ถ้าวันนึง ไม่มีฉันให้กอด แล้วเธอจะโทษใคร'


ทำทุกวินาทีที่ยังมีลมหายใจ ให้มีคุณค่าและมีความหมายที่สุด สำหรับคนที่เห็นคุณค่า และคนที่มีความหมาย..


.."บนภูเขา หรือ ทะเลไกล ชอบที่ไหน .. ชอบที่มีเธอ ในวงเล็บตอบ ฉันชอบที่มีเธอ"
ทะเลกลางสายฝน ..ใจอยู่กับทะเลแล้วค่ะ
Friends' blogs
[Add boonpithak's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.