|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
กฎหลักของมารยาทเน็ต Part III
หมายเหตุ - ดัดแปลงจาก //www.albion.com/netiquette/corerules.html คัดลอกจากหนังสือ มารยาทเน็ต (Netiquette) โดย เวอร์จิเนีย เชีย แปลและเรียบเรียงโดย สฤณี อาชวานันทกุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต (//thainetizen.org) ในการเสวนากล้วยน้ำไทวิชาการ หัวข้อ "กติกาพลเมืองชาวเน็ต" จากแนวปฏิบัติสู่จารีตประเพณีจนถึงกฎหมายลายลักษณ์อักษร เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล้วยน้ำไท
อ่าน Part I และ Part II
กฎข้อที่ห้า ทำให้ตัวเองดูดีเวลาออนไลน์
ใช้ประโยชน์จากความเป็นนิรนาม : ฉันไม่อยากจะให้รู้สึกว่าอินเตอร์เน็ตเป็นสถานที่โหดร้าย เย็นชา เต็มไปด้วยผู้คนที่อดใจรอไม่ไหวที่จะดูถูกคนอื่น แต่โลกอินเตอร์เน็ตก็เหมือนโลกจริง คนที่สื่อสารกันในนั้นอยากเป็นให้คนอื่นชอบ การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดานสนทนา ทำให้คุณเข้าถึงคนที่คุณไม่เคยพบเจอ และไม่มีใครสามารถเจอคุณได้ คุณไม่ต้องถูกตัดสินด้วย สีผิว, สีตา, สีผม, น้ำหนัก, อายุ หรือการแต่งตัวของคุณ
อย่างไรก็ตาม คุณจะถูกตัดสินผ่านคุณภาพของสิ่งที่คุณเขียน นี่เป็นข้อได้เปรียบสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เลือกจะติดต่อออนไลน์ เพราะถ้าพวกเขาไม่สนุกกับการเขียนตัวหนังสือ ก็คงไม่ทำต่อ ดังนั้น การสะกดคำให้ถูกและเขียนให้ตรงตามหลักไวยากรณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าคุณใช้เวลาเล่นอินเตอร์เน็ตมากและคุณไม่เก่งเรื่องการสะกดหรือไวยากรณ์ คุณก็ควรจะไปทบทวนสองเรื่องนี้ มีหนังสือให้อ่านมากมาย แต่คุณจะได้เรียนรู้มากและบางทีก็อาจจะสนุกกว่าถ้าไปลงเรียนเอง ถ้าคุณอยู่ในวัยกลางคน คุณไม่จำเป็นต้องไปลงเรียนวิชาประเภท "ไวยากรณ์แบบเรียนลัด" กับกลุ่มวัยรุ่นที่เบื่อเรียน คุณอาจจะไปลงเรียนวิชาตรวจปรู๊ฟและเรียบเรียงแทน วิชาพวกนี้ส่วนมากจะครอบคลุมหลักไวยากรณ์พื้นฐานอย่างค่อนข้างครบถ้วนอยู่แล้ว และก็จะเต็มไปด้วยนักเรียนที่กระตือรือร้นเพราะอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ ลองไปเปิดหลักสูตรของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชนดู นอกจากนี้ ผลพลอยได้ในการลงเรียนวิชาก็คือ คุณจะได้พบปะผู้คนจริงๆ อีกด้วย
รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ และพูดอย่างมีเหตุมีผล ให้ความสนใจกับเนื้อหาของสิ่งที่คุณเขียน จงแน่ใจว่าคุณรู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ เวลาที่คุณเขียนประโยค "ผมเข้าใจว่า..." หรือ "ผมเชื่อว่าในกรณีนี้..." ให้ถามตัวเองว่า คุณอยากจะโพสท์ข้อความนั้นก่อนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนหรือไม่
ข้อมูลแย่ๆ ลามในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับไฟป่า และเมื่อมีการส่งต่อไปซ้ำๆ คุณก็จะพบว่ามันบิดเบือนไปเรื่อยๆ เหมือนเวลาเล่นเกมปากต่อปากในงานปาร์ตี้ คุณจะจำเนื้อความที่ฟังมาทีแรกไม่ได้ทั้งหมด และเมื่อพูดต่อไป มันก็ย่อมจะไม่เหมือนที่ได้ฟังมา (แน่นอน คุณอาจจะบอกว่านี่เป็นเหตุผลที่คุณจะไม่ใส่ใจเรื่องความถูกต้องแม่นยำของสิ่งที่คุณโพสท์ แต่อันที่จริง คุณรับผิดชอบเฉพาะสิ่งที่คุณโพสท์เองเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าคนเอาสิ่งที่คุณโพสท์ไปทำอะไร)
นอกจากนั้น จงแน่ใจว่าข้อความของคุณชัดเจนและมีตรรกะ การเขียนย่อหน้าที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลยทั้งด้านไวยากรณ์และการสะกดคำนั้นเป็นไปได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าเนื้อความมันไม่สมเหตุสมผล เรื่องนี้มักจะเกิดขึ้นเวลาที่คุณอยากใช้คำยาวๆ หลายคำที่คุณเองก็ไม่เข้าใจจริงๆ เพียงเพื่อให้คนอ่านฮือฮา เชื่อเถอะว่าคุณทำไม่ได้หรอก เขียนให้ง่ายเข้าไว้ดีกว่า
อย่าโพสท์กระทู้ล่อเป้า : สุดท้าย คุณควรทำตัวเป็นมิตรและสุภาพ อย่าใช้ถ้อยคำก้าวร้าว และอย่าเขียนแบบหาเรื่องเพียงเพราะว่าคุณอยากจะมีเรื่อง
ถาม : สังคมอินเตอร์เน็ตยอมรับการสบถหรือไม่?
จะยอมรับก็เฉพาะบริเวณที่ขยะถูกมองเป็นงานศิลปะเท่านั้น เช่น ในกระดานข่าว USENET กลุ่ม alt.tasteless ปกติแล้วถ้าคุณรู้สึกว่าต้องสบถสาบาน ก่นด่าอะไรสักอย่างจริงๆ มันจะดีกว่าถ้าคุณเลือกใช้คำเปรียบเปรยที่ฟังดูครื้นเครงกว่า เช่น "เช็ดดดด" และ "ยี้" หรือคุณอาจจะใช้ดอกจันแทน เช่น แ**ง
การพูดเลี่ยงอาจจะเหมาะกว่าเมื่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต คุณจะไม่ทำให้ใครรู้สึกว่าถูกคุกคามโดยไม่จำเป็น แล้วทุกคนก็เข้าใจความหมายของคุณด้วย
กฎข้อที่หก แบ่งปันความรู้ของผู้เชี่ยวชาญ
จากข้อแนะนำเชิงลบ ท้ายสุดฉันอยากเสนอข้อแนะนำเชิงบวกบ้าง
ความมหาศาลคือจุดแข็งของไซเบอร์สเปซ มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่อ่านคำถามบนอินเตอร์เน็ต ถึงแม้จะมีส่วนน้อยมากในจำนวนนั้นที่ตอบคำถาม ความรู้โดยรวมของโลกก็เพิ่มขึ้นอยู่ดี อินเตอร์เน็ตเองก็ก่อตั้งและเติบโต เพราะนักวิทยาศาสตร์อยากจะแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน และพวกเราที่เหลือก็ค่อยๆ เริ่มมีบทบาทหลังจากนั้น ดังนั้น คุณก็ทำในส่วนของคุณไป แม้ว่ามารยาทเน็ตจะมีข้อห้ามยาวเหยียด คุณก็มีความรู้ที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น อย่ากลัวที่จะแบ่งปันในสิ่งที่คุณรู้
ถ้าคาดหวังว่าจะได้คำตอบเยอะๆ หรือถ้าโพสท์คำถามลงในกระดานสนทนาที่คุณไม่ได้เข้าไปดูบ่อยๆ มันเป็นธรรมเนียมที่คุณจะขอให้คนตอบคำถามผ่านอี-เมลของคุณโดยตรง แล้วเมื่อคุณได้คำตอบมากพอสมควรแล้ว คุณก็ควรรวบรวมคำตอบ แล้วเอาไปโพสท์สรุปไว้ในกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอีกที เมื่อทำแบบนั้นทุกคนก็จะได้ประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญที่สละเวลามาเขียนตอบคุณ
ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเอง คุณสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น หลายคนรู้สึกว่าสามารถโพสท์แหล่งที่มาและบรรณานุกรม ตั้งแต่รายการจากแหล่งที่มาถูกกฎหมายออนไลน์ ถึงรายการในหนังสือ UNIX ซึ่งเป็นที่นิยม ถ้าคุณเป็นคนที่มีส่วนร่วมสูงในกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ไม่มี FAQ (คำถามที่พบบ่อย) ก็ควรเขียน FAQ ขึ้นมาซะ ถ้าคุณกำลังวิจัยในเรื่องที่คนอื่นอาจกำลังสนใจอยู่เช่นกัน คุณก็ควรโพสทมันลงไปด้วย
การแบ่งปันความรู้เป็นเรื่องสนุก เป็นธรรมเนียมของการใช้อินเตอร์เน็ตมายาวนาน นอกจากนั้นยังทำให้โลกดีขึ้นด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 หน้า26 //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01210552ionid=0147&day=2009-05-21
Create Date : 21 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 17:08:50 น. |
|
3 comments
|
Counter : 830 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:47:59 น. |
|
โดย: ปณาลี วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:41:37 น. |
|
โดย: ศรีสุรางค์ วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:50:44 น. |
|
| |
|
นัทธ์ |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]
|
รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้ และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
|
|
|
|
|
|