ลงป้อมสิงห์ สู่พื้นราบ ท้องเริ่มร้อง ..แต่ดูแล้วข้างทางไม่น่าจะมีร้านอาหารอะไร
บันดูขับรถลัดเลี้ยวไปตามเส้นทางเล็ก เหมือนเป็นถนนภายในเมือง
อย่าถามว่า "เมืองอะไร" เพราะไม่รู้อีก บันดูคงบอกอ่ะนะ ...แต่ ณ เวลานี้เราจำไม่ได้จริงๆ
แล้วทริปนี้ แผนที่สักแผ่นเราก็ไม่มีติดมือเลย ...คือ ถ้าบันดูพาไปปล่อย คงหลงทางอยู่ชาวบ้านแถวนี้แหละ
และแล้ว บันดูก็จอดรถใกล้ๆ กับเพิงริมถนน บอกว่า แวะเยี่ยมเพื่อนหน่อย
แล้วก็จัดแจง สั่งของว่างมาให้เราลองชิม ร้านนี้เป็นของเพื่อนบันดูเอง
มีขนมปังนิ่มๆ 1 ก้อน แล้วก็ไข่ผสมอะไรไม่รู้ทอดมาเป็นก้อน
เวลาจะกิน ก็ฉีกขนมปังเป็น 2 ซึกแล้วยัดไข้ทอดเป็นไส้ แกล้มกับพริก (ถ้าชอบเผ็ด)
รสชาติ ออกแนวเค็มนิดๆ คงเพราะไข่มีการปรุงรสแล้ว และขนมปังนิ่มมากกกกก
เรียกว่าอะไร ...จำไม่ได้อีกตามเคย ...ที่จำได้แม่นก็คือ Lasi หรือนมโยเกิร์ตพร้อมดื่ม มีเนื้อด้วย
โปรดมากๆ จนจำชื่อมาได้ ...ที่เพื่อนบันดูทำขายเนี่ย อร่อย แช่เย็นๆ อมเปรี่ยวอมหวาน ดับกระหายได้ดี
ถ่ายภาพคู่ บันดู (ซ้าย) กับเพื่อนซึ่งทำงานที่ชุมทางรถตรงนี้แหละ
ผู้หญิงอินเดีย...สามารถมาก ...เทินของไว้แล้วก็เดินฉับๆ กันเลยทีเดียว
พอได้รองท้อง บันดูได้เมาท์มอย จากนั้นก็พากันเดินทางกลับเข้าเขตตัวเมืองปูเน่
พาแวะชมเทวสถานแห่งหนึ่ง ...
ที่ประตูทางเข้า ก็ต้องซื้อบัตรเข้าชม ...ที่อินเดียสถานที่สำคัญๆ หรือโบราณสถาน มีค่าเข้าชมนะ
และถ้าจำไมผิด คนไทยสามารถซื้อบัตรในราคาเดียวกับคนท้องถิ่นได้ (กรุณาเช็คข้อมูลเพิ่ม)
เดินตรงไปยังอาคารเบื้องหน้า ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ...
ที่นี่งามระยับด้วยงานแกะสลักหิน
เข้าสู่ภายใน จะเห็นความโอ่อ่า และมองเห็นชัดเจนว่า พื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นหินสีดำ
คือส่วนที่สร้างมาแต่แรก เหมือนจะป็นเทวสถานบูชาพระศิวะ ตามแบบศาสนาฮินดู
และส่วนสีอ่อนเป็นส้วนต่อขยายออกมาภายหลัง ในแบบของศาสนาอิสลามที่เข้ามาภายหลัง
หัวเสา ประดับภาพบุคคลสำคัญที่ข้องกับสถานที่นี้เอาไว้
มีโคนนทิ มอบเฝ้าอยู่เบื้องหน้าเทวรูปพระศิวะ
งานแกะสลักหินตามแบบฉบับศิลปะอินเดีย (สมัยไหนไม่ทราบ...ไม่ได้ศึกษาด้านศิลปะอินเดียมาก่อน) ละเอียดมาก
จนทำให้เราใช้เวลาภายในห้องโถงนี้ นานมาก ...อีกอย่างคือ "หลบแดด" เพราะอยู่ในนี้ เย็นดี
นอกจากงานแกะสลักหินแล้ว ก็ยังมีงานประดับปูนปั้น และงานเขียนสีด้วย
ดูข้างในแบบซาบซึ้งกับความงดงามเต็มอิ่มแล้ว ก็ต้องออกมาชมภายนอกกันบ้าง
ยอมตากแดด ร้อนๆ กดชัตเตอร์ หามุม ซูมอยู่นั่นแหละ ...ส่วนบันดู ไปยืนอาศัยเงาไม้ หลบแดด
ปล่อยให้เราใช้เวลากับการถ่ายรูปอย่างจุใจ ...ไม่มีเร๋ง
ด้านซ้ายคืออาคารเดิมตามเป็นเทวสถานฮินดู ส่วนด้านขวาคือส่วนต่อเติมตามศิลปะของศาสนาอิสลาม
พอสมควรแก่เวลา และท้องก็เริ่มร้องเตือนอีกครั้ง ...ก็จำต้องผละจากสถาปัตยกรรมสวยงามแห่งนี้
แม้ว่าเราจะทิ้งช่วงการบันทึกไว้นานมาก ...แต่พอเห็นภาพถ่าย ก็พอจะจำความรู้สึกและอารมณ์ขณะที่ได้ชมนั้นได้อยู่
แต่ที่ขุดไม่ขึ้นคือ ความกระตือรือร้นในการค้นคว้าหาข้อมูลมาประกอบการเขียนนั่นแหละ
อีกอย่าง พอเป็นการเที่ยวต่างประเทศ ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครได้ไป ก็ไม่มีข้อมูลภาษาไทย
ประกอบกับความขี้เกียจครอบงำ เราก็ไม่ค่อยอยากจะแปลเนื้อหาจากเวปที่หาได้
เล่าคร่าวๆ ได้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญของเมือง สร้างโดยบุคคลสำคัญ "Mahadji Shide"
เขาเป็นผู้สร้างสถานที่นี้ และใช้ที่นี่ในการทำพิธีศพของเขาเองด้วย
อยากรู้เรื่องเพิ่ม เชิญคลิก >> ที่นี่
ต่อไปก็เป็นรายการ หาร้านอาหาร ...กินข้าว ..วันนี้ไม่ได้ไปกินที่บ้านใคร
แต่บันดูจะพาไปกินร้านอาหารที่คนท้องถิ่นเขากินกัน
เมืองนี้มีโบสถ์คริสต์ด้วยนะ
ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เราก็ทำแค่เก็บภาพไว้เท่านั้นเอง
ถ้าขืนแวะทุกแห่ง ก็คงกลายเป็นชะโงกทัวร์
แล้วในที่สุด ก็ถึงร้านอาหารซะที
เลยบ่ายไปมากแล้ว ...แต่คนก็ยังเต็มร้าน มีแต่คนพื้นที่ ไม่เห็นนักท่องเที่ยว
พนักงานนำเมนูมาให้ ...ก็อ่านไปยังงั้นเอง สั่งเป็นแต่ "Nan" ...นอกนั้นให้บันดูจัดมา
ก็ได้นานมา 2 แผ่นใหญ่เป็นของเรา ...ส่วนบันดูกินข้าวเม็ดเรียวเล็ก ที่วันก่อนที่บ้านเขาใช้ทำขนมหวานนั่นแหละ
ส่วนกับก็มีแกงหนึ่งอย่าง กับซุบถั่ว มีหอมแดง มะนาว และพริก (มั๊ง) เป็นเครื่องเคียง
รอบนี้ "กินด้วยมือ" ...ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเหนียมอาย
จับนานมาฉีก ตักแกงมาราด หยิบส่งเข้าปาก เคี้ยวกลืน ...ง่ายๆ ไม่ต้องเรื่องมาก
กินคนเดียวหมดทั้ง 2 แผ่นเลยด้วย พออิ่มแล้ว ก็ล้างมือในชามที่มีมะนาวฝานลอยอยู่ ...ดับกลิ่นที่มือ
ตักชะเอมกับน้ำตาลกรวดใส่ปาก เคี้ยว ...ดับกลิ่นปาก ไม่มั่นไจนัก ก็เข้าห้องน้ำ ไปล้างปากล้างมืออีกรอบ
เอาล่ะ ภาพเยอะพอประมาณแล้ว เห็นทีจะต้องจบไว้แค่ตรงนี้ก่อน ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
อาคารเค้าสวยจริงๆครับ
โดยเฉพาะพวกกลุ่มอาคารศาสนสถาน
รายละเอียดของศิลปะนี่สุดยอดจริงๆครับ