สวัสดีครับ พี่น้องที่รัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานก่อนจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ บันทึกฉบับนี้คงจะสั้นกว่าฉบับอื่น ที่สำคัญ ผมมีเรื่องอยากจะเตือนพี่น้องในตอนท้าย
หลังจากทำธุระส่วนตัวและทานข้าวที่สวนไผ่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาลุยงานครับ
การทำงานในวันนี้อยู่บริเวณหลังตึกธัมมวิโมกข์ ใกล้กับอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช
เมื่อถึงที่หมายก็สำรวจสถานที่พร้อมวางแผนการทำงานคร่าวๆ ไปในตัว พบว่า ตึกชั้นล่างมีน้ำขังอยู่สูงพอสมควร ใกล้ๆ กันมีบ่อ ระดับน้ำสูงกว่าปกติ
ก่อนทำงาน พี่ป็อปบอกว่า อยากเข้าห้องน้ำ ผมจึงเดินไปเป็นเพื่อน พี่ป็อปยังบอกอีกว่า อยากพบหลวงพี่สุรจิต สุรจิตโต พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ
น่าแปลก เพราะในระหว่างที่เดินนั้น พวกเราพบกับหลวงพี่สุรจิตโดยบังเอิญ ท่านยืนอยู่ที่ประตูพอดิบพอดี
ผมสะกิดพี่ป็อป จึงได้โอกาสสนทนากับท่านเล็กน้อยก่อนจะไปทำงานต่อ
เรื่องที่สนทนา แม้เป็นเรื่องทั่วไป แต่สำหรับผม เพียงแค่นั้นก็ปลื้มใจ จำได้ติดตาไม่ลืม
พี่ป็อปบอกว่า ท่านคงรู้ และอยากสงเคราะห์พวกเรา
ว่ากันเรื่องการทำงานต่อ ...
งานอย่างแรกคือการย้ายของออกมาให้ห่างจากตึก ก่อนจะเข้าไปทำความสะอาดครับ
ใต้ตึกมีรถตู้คันใหญ่ ทราบว่าเป็นรถตู้สมัยหลวงพ่อ ที่ใช้เดินทางเป็นประจำ เหล็กหุ้มตัวถังยังอยู่ในสถาพดี แต่สีหลุดร่อนตามกฏของธรรมดา
ผมถือโอกาสสำรวจรถ พร้อมนึกถึงภาพหลวงพ่อในสมัยนั้นไปด้วย เกิดอารมณ์สบาย
ถึงเวลาเที่ยง กลับไปทานข้าวที่สวนไผ่ ทานอาหารเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาทำงานต่อ
ผมสังเกตว่า ช่วงบ่ายจะทำงานได้เร็วและดีกว่า คงเป็นเพราะสภาพร่างกายตื่นตัวเต็มที่แล้ว
เมื่อเก็บของออกมาเรียงไว้เรียบร้อย ก็ถึงคิวจัดการเรื่องฉีดน้ำชำระล้างสิ่งสกปรก
เนื่องจากวันนี้รถน้ำไม่มาเหมือนเคย พวกเราจึงจำเป็นต้องต่อสายยางฉีดน้ำกันเอง โดยใช้น้ำหมุนเวียนจากบ่อน้ำข้างตึก แม้สายฉีดจะเล็ก ทำงานได้ช้า แต่ด้วยความวิริยอุตสาหะ ทำงานรับใช้พระศาสนา รับใช้หลวงพ่อ งานหนักแค่ไหนก็สู้ไม่ถอย
พองานด้านในเสร็จเรียบร้อย จุดต่อมาคืองานด้านนอก ทำงานไม่นาน รถน้ำก็มาครับ คราวนี้งานเลยไปเร็ว ฉีดน้ำพักเดียว งานด้านนอกก็เรียบร้อย
จากนั้นพวกเราก็ลุยงานกันต่อออกไปถึงเขตถนน ไล่เลนออกจากพื้นยาวไปตามเส้นทางจนหมด ทำงานเพื่อพ่อ ไม่มีเหนื่อย งานเสร็จประมาณ ๑๙ นาฬิกา
เมื่อทำงานเสร็จ กลับมาพักทานข้าวที่สวนไผ่ ได้ทักทายกับน้องแนน ลูกหลานหลวงพ่อ ที่ตั้งใจเดินทางมาช่วยงานครับ
ทานข้าวเรียบร้อยแล้ว สายตาผมบังเอิญไปพบกับหลวงพี่กำลังยกถังแก๊สขึ้นหลังรถ พวกเราชาวคณะจึงเข้าไปช่วยท่านยกถึังแก๊สอย่างเต็มใจ จากนั้น ติดตามท่านต่อเพื่อยกถังลงจากรถ
นำแก๊สไปทำอะไร ? แก๊สเป็นพลังงานขับเคลื่อนเครื่องสูบน้ำครับ ส่วนเครื่องสูบน้ำนั้นดัดแปลงมาจากเครื่องของรถยนต์ ๔ ล้อ ไม่ได้ซื้อ โอโห พระวัดท่าซุงอัจฉริยะจริงๆ ...
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้วจึงกลับที่พัก เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน
ว่ากันเรื่อง การสนทนาธรรมกันในตอนเย็น
แทบทุกวันจะมีการพูดถึงเรื่องพุทธพาณิชย์ อันเป็นกิจที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
แม้ในวัดท่าซุงเอง ก็ประสบพบเหตุทำนองนี้เช่นเดียวกัน …
พระ ๒-๓ องค์ (ขอสงวนชื่อ) ที่ถูกเชิญออกจากวัดท่าซุงไปแล้ว ได้จัดสร้างวัตถุมงคลโดยอ้างชื่อวัดและชื่อหลวงพ่อ เป็นการดึงศรัทธาจากบรรดาลูกหลาน ทั้งที่ความเป็นจริง ทางวัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
มรรยาทของพระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด จะมีความเคารพในครูบาอาจาร์ยเป็นอย่างยิ่ง
พระอาวุโสที่อยู่กับหลวงพ่อมาก่อน จะไม่ทำวัตถุมงคลทับรอยครูบาอาจารย์ อย่างเช่น “ลูกแก้วมณีรัตนะ” เห็นว่าไม่มีการสร้างอีกเลยหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว
การทำวัตถุมงคลแข่งกับทางวัด (แม้ทางวัดไม่ได้แข่งด้วย) จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
นี่จึงเป็นความรู้ เป็นมรรยาทที่คนรุ่นหลังที่เพิ่งเข้ามาในสาย ควรรับรู้ไว้เพื่อสังเกตความประพฤติ
โปรดระวังพุทธพาณิชย์เหล่านี้ หากต้องการบูชาวัตถุมงคลใดๆ ติดต่อได้ที่ตึกรับแขก วัดท่าซุง จะดีที่สุดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าซื้อขายผ่านทางเว็บใดๆ เพราะอาจมีการปั่นราคาเอาไว้แล้ว
สำคัญ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.watthasung.com/wat/forumdisplay.php?fid=48
เรื่องนี้ของดไว้เพียงเท่านี้ อ่านคำชี้แจงอื่นๆ ได้ที่ลิงค์ด้านบน เชื่อถือได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ครับ เพราะเป็นสื่อทางตรงจากวัด หลายเรื่องที่พวกเราชาวคณะได้รับรู้มา มีกล่าวไว้ในลิงค์ข้างต้นแล้ว
อย่าปล่อยให้ขบวนการทำนองนี้ หลอกลวงคนที่ไม่รู้ต่อไป จะเสื่อมเสียมาถึงทางวัดครับ
ผมคิดว่า หน้าที่อย่างหนึ่งของลูกหลาน คือ การรักษามรดกที่พ่อมอบไว้ให้อย่างเต็มความสามารถ และรักษาพระศาสนาไว้ด้วยชีวิต
อาจกล่าวได้ว่า ยอมด้วยด้วยธรรมะ ดีกว่าได้ชัยชนะด้วยการทำบาป.
จบตอนที่ ๕.