เราพบกันในนามความรู้สึก
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
4 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 

*แยกประเทศแน่ ๆ * ( คนไทยอยู่ไหน)

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า บทความที่ได้มานี้ไม่ทราบผู้เขียนชัดเจน

มีผู้พิมพ์แจกเผยแพร่ ซึ่งจากการอ่านด้วยตนเองแล้วคิดว่าข้อมูลแบบนี้
รู้ไว้ก็ไม่เสียหลายอะไร อ่านไว้หากไม่ติดใจก็มองผ่านข้ามเลยไปก็เท่านั้นเอง

และแน่นอนก็คือ " โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านประกอบด้วย "

==================================================

หมายเหตุ : จะตัดตอนส่วนที่เยิ้นเย่อ หยิบมาแต่ประเด็นเท่านั้น

=================================================


.......".......นับตั้งแต่บ้านเมืองของเรามีการปฎิรูปเมื่อวันที่ 19 กํนยายน 2549 ทุกอย่างได้
เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดว่า....เป้าหมายของใครอยู่ที่ไหน?? ใครพวกไหนทำอะไร??
เพื่อบรรลุผลอะไรกัน???


สิ่งเหล่านี้คือความวิตกกังวลใจที่คนไทยต่างเก็บไว้ในใจไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวอำนา
จมืด
แต่ท่านทั้งหลายไม่ต้องกลัว ท่านต้องกล้า เรามีคนดี คนเก่ง แต่เราขาดคนกล้า ถึงเวลาที่พวกเรา
คนไทยต้องตื่นขึ้นมารักษาบ้านเมือง ........." ความอยู่รอดของบ้านเมือง ก็คือความอยู่รอดของท่าน
และลูกหลาน แต่ความอยู่รอดของท่านและลูกหลานเพียงอย่างเดียว หากชาติบ้านเมืองไม่ปลอดภัย
แม้ท่านจะร่ำรวยเพียงใด มียศเกียรติสูงเพียงไหน ท่านก็ไม่อาจอยู่อย่างมีความสุขได้ การรวมพลัง
สามัคคี เสียสละของพวกเราทุกคนคือทางรอดของสถาบัน หาไม่ ก็จะไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ตัวอย่าง
ของประเทศเพื่อนบ้านของเราที่ประสบชะตากรรมมาแล้ว


ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านจะต้องออกมาเรียกร้องข้อเสนอ ต่อรองเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินเกิดของเรา
มิใช่ปล่อยให้คนบางกลุ่มที่หวังผลทางศาสนาของตน กุมอำนาจรัฐ และกำหนดนโยบายอะไรตามใจชอบ
แต่เพียงฝ่ายเดียว ดังที่เราทั้งหลายได้เห็นอย่างเด่นชัดในเวลานี้ การที่เรานิ่งเงียบ ทำให้พวกเขาทำ
อะไรได้โดยไม่รู้สึกละอายใจ ไม่เกรงใจคนส่วนใหญ่ของประเทศแม้แต่น้อย


เวลานี้ พวกเขาปล่อยให้คนพวกหนึ่งสร้างสถานการณ์รุนแรง แต่พวกมีอำนาจรัฐก็ต่อรองและตักตวงผล
ประโยชน์ในการแบ่งแยกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบรรลุผลทีตั้งไว้ เช่นเมือวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549
การที่คณะมนตรีความมั่นคง เสนอให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ " ใช้ภาษายาวี" เป็นภาษาราชการ
อีกภาษาหนึ่ง ใช้กฎหมายศาสนา พิจารณาคดีด้วยศาลศาสนา มีทหารศาสนาเป็นของตนเอง


วันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 มีวาระการประชุมพิเศาอย่างรีบร้อนและเงียบกริบที่บ้านพิษณุโลก เสนอให้
5 จังหวัดภาคใต้ " เป็นเขตพัฒนาพิเศษ " ซึ่งความจริง หากพิจารณาตามหลักการที่อนุมัติในวันที่
21 พฤศจิกายน 2549 แล้ว ก็หมายถึงการปกครองพิเศษที่เขาเรียกร้องนั่นเอง เมื่อผนวกเข้ากับนโยบาย
เขตพัฒนาพิเศษ ก็ยิ่งจะทำให้ง่ายต่อการบริหารของพวกเขายิ่งขึ้น เพราะคนกำหนดนโยบายในการพัฒนา
ก็คือพวกเขาเอง นั่นแปลว่า ต่อไปนี้มิใช่แค่ 3 จังหวัด หากแต่รัฐบาลได้หลงกลขยายออกไปเป็น 5 จังหวัด
แล้ว โดยอาศัยคำสวยหรูว่า " เขตพัฒนาพิเศษ 5 จังหวัดภาคใต้ "


การที่รัฐบาลอนุมัติหลักการดังกล่าวนี้ให้แก่ฝ่ายเรียกร้องและต่อรอง เจตนาที่ดีก็คือให้เกิดความสงบเรียบร้อย
หยุดฆ่ากัน แต่กลับเป็นความเพลี่ยงพล้ำชนิดยากจะเยียวยาแก้ไขในภายหลัง เพราะวันนี้อำนาจรัฐอยู่ในมือ
ของคนที่มีเป้าหมายทางศาสนาชัดเจน


พวกเขาคือนักการศาสนาที่มาทำงานการเมือง เพื่อปักหลักศาสนาของตนเองลงในอำนาจรัฐ เพื่อแปลงหลัก
ศาสนา ให้เป็นหลักกฎหมายของประเทศทั้งประเทศให้ได้ พวกเขาพยายามมานานแล้ว แต่วันนี้สำเร็จแล้ว

( ตรงนี้โปรดใช้วิจารณญาณ )


=====================================================


การใช้คำว่า ......เขตพัฒนาเศรษฐกิจ........จึงเป็นกลลวงที่จะทำให้พวกเราตกหลุมพรางได้ง่าย เพราะ
อย่างน้อยที่สุด เราก็จะเห็นแล้วว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากคนไทยในส่วนนี้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษาราชการ
ใช้หลักศาสนาเป็นกฎหมาย ใช้ศาลศาสนา ใช้ทหารมุสลิมเท่านั้น


( ตรงนี้โปรดใช้วิจารณญาณ )


=========================================================


ฉะนั้น การปฎิรูปรัฐบาลเก่าจึงเป็นเพียงข้ออ้าง คอรัปชั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างให้คนไทยส่วนใหญ๋ไขว้เขว
แต่ความจริงก็คือ ต้องการอำนาจรัฐเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้เข้ากับหลักศาสนาของตนนั่นเอง วันนี้
ได้ 5 จังหวัด แต่หลังรัฐธรรมนูญ จะได้ครบทั้งประเทศ เพราะเขามีกฎหมายรองรับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

คือ " พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม "


จากประวัติศาสตร์การต่อสู้ เราทั้งหลายจะสังเกตเห็นว่ากว่า หนึ่งพันปี ที่อับดุลการเดร์และหยีสุหรงเรียก
ร้องมา 7 ข้อ และมาสรุปเป็น 12 ข้อในคณะกรรมการ กอส. ยุคคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน
แต่รัฐบาลปฎิเสธข้อเสนอดังกล่าวมาตลอด เพราะเห็นว่านั่นคือกลลวงของการแบ่งแยกดินแดน


แต่รัฐบาลที่มี คมช.เป็นใหญ่ ยุคพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี กลับอนุมัติหลักการเดียว
กันออกมา โดยอำพรางข้อความไว้อย่างแยบยลว่า " เขตพัฒนาพิเศษ " รวมทั้งอ้างเหตุความรุนแรง
ที่กำลังเกิดขึ้นด้วยคำว่า " สมานฉันท์ " ด้วยหวังความสงบแต่กลับยิ่งทวีความรุนแรงไม่หยุด ทำให้
คนไทยทั่วประเทศตกหลุมพรางของการใช้คำมาตลอดเช่น สมานฉันท์ คุณธรรม ซึ่งแต่เดิมคนไทย
ใช้คำว่า " สามัคคี " และ " ศีลธรรม "


แปลว่า สิ่งที่เขาเรียกร้องมากว่า หนึ่งพันปีนั้น วันนี้รัฐบาลนี้ได้อำนวยผลให้เขาแล้ว เพราะเป็นโอกาส
ที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ เพราะเวลานี้พวกเขามีอำนาจที่สุด สามารถกำหนดทางเดินของตนเองได้
ชัดเจนที่สุด โดยไม่ต้องคิดถึงแม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน ดังที่พลเอกสนธิฯ ได้กล่าวว่า

" ผมมีหน้าที่ปลดนายกรัฐมนตรี " ( ไทยโพสท์และมติชนวันที่ 24 พฤศจิกายน 2549)


(ข้อความต่อจากนี้โปรดใช้วิจารณญาณประกอบการหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาเอง "

ถ้าเขากล้าหาญพูดออกมาอย่างนี้ได้ จะมีความหมายอะไรกับการที่บอกว่าเป็นทหารพระเจ้าอยู่หัว
ถามว่าพระเจ้าอยู่หัวอยู่ที่ไหน ใครแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีกันแน่ พลเอกสนธิฯเป็นใครจึงใหญ่โตถึง
เพียงนี้ พี่น้องชาวไทยทั้งหลายโปรดไตร่ตรองให้ดี

ไม่แปลกใจเลยที่อ่านดูรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 39 มาตราแล้ว ไม่ปรากฎคำว่า

" พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพุทธมามกะ .........." อย่างที่เคยมีมาทุกฉบับบ เพราะพวกเขาเกลียดชั
พระพุทธศาสนาเหลือเกิน เกลียดพระสงฆ์ถึงที่สุด เกลียดชังภาษาไทย เพราะมีภาษาบาลีอันเป็น
ภาษาพุทธเจ้าประปนอยู่ เกลียดชังชาวพุทธ พวกเขาจึงฆ่าชาวพุทธ จึงปาระเบิดใส่พระไม่เว้นวัน
เบียดเบียนชาวไทยพุทธอย่างโหดร้ายทารุณไม่สิ้นสุด


ท่านทั้งหลายได้ตระหนักในข้อนี้หรือไม่ เวลามีนักการเมืองต่างศาสนาเป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง
พระพุทธรูปถูกย้ายก่อนข้าราชการ ห้องละหมาดเกิดขึ้นทันที แม้พระพุทธรูปใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าผาเมือง
ตาลีบันยังถูกระเบิดทิ้ง นี่เป็ฯข้อตกลงของเขาแล้วว่า ต้องหาทางกำจัดพระพุทธศาสนาให้ได้ทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะเขตภาคตะวันออกเฉียงใต้ ของภูมิภาคนี้..............




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2550
4 comments
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2550 16:59:11 น.
Counter : 739 Pageviews.

 

หลายคนมีความรู้สึกต่อสถานการณ์ศาสนาเช่นเดียวกับ กระทู้นี้....เป็นสิ่งทีค่อนข้างยาก ที่จะทำให้ชาวพุทธได้คิดตามและเข้าใจ...หลายท่านที่นับถืออิสลามอาจปฏิเสธกับกระทู้นี้...เพราะท่านมีจิตใจบริสุทธิ์ตั้งใจปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสนาท่านเท่านั้น....แต่มีอิสลามชนบางคนบางกลุ่ม ที่ลุ่มหลงในอำนาจ มุ่งต้องการขยายอาณาจักรแห่งศาสนาตน...เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง...หรือ..คิดว่าศาสนาตนเท่านั้นที่บริสุทธิ์....นอกนั้นคือซาตาน....โดยไม่เคารพต่อศาสนาอื่น ๆ ...ไม่เคารพต่อสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาของผู้อื่น.......วิธีการแผ่ขยายศาสนาของเขาก็เป็นดั่งที่กระทู้นี้กล่าวจริง ๆ .......


บรรพบุรุษของไทยเรา...ท่านได้คัดเลือกสรรแล้วว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงใน ธรรมชาติ มนุษย์ และ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เข้าใจในเหตุและผล ที่ล้วนแล้วแต่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น.....เป็นศาสนาที่มิได้ใช้กฏเกณฑ์บังคับ...แต่สอนในมนุษย์เข้าใจ ถึงเหตุและผล เมื่อเข้าใจผลที่จะเกิดแล้ว...นั่นเป็นเรืองของมนุษย์เองที่จะสร้างเหตุอย่างไร.... ทุกการกระทำ (กรรม ) จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรม......จะไม่มีการควบคุมให้กระทำด้วยกฏเกณฑ์ หรือ การบังคับ..


ในรัฐธรรมนูญ(40) ..ก็ได้มีการถอนออกในประโยคที่ว่า..ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย .....น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง..เพราะลักษณะพิเศษของคนไทยในอดีตคือ ..ความมีน้ำใจ ความโอบอ้อมอารี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ถือพวกพ้องเป็นสำคัญ จึงทำให้ประเทศไทยสุขสงบรอดพ้นภัยจากข้าศึกสงคราม......ซึ่งลักษณะพิเศษนี้เกิดจากการหล่อหลอมด้วยเงาแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ....

ปัจจุบันคนไทยบางส่วนได้ละทิ้งศาสนาพุทธ อันเป็นศาสนาที่บรรพบุรุษไทยได้ช่วยกันรักษาปกป้องไว้..... เชื่อว่า หากคนไทยรุ่นเรายังไม่ช่วยกันดูแลดำรงรักษาพุทธศาสนาไว้...ในอนาคตไม่นาน เราอาจจะไม่ได้เห็นคนไทยจิตใจงดงามเหมือนในอดีตผ่านมา....ล


.......เรากล้ายืนยันได้เลยว่า ....ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ให้สิทธิและเสรีภาพ ในความเป็น "มนุษย์" ...ที่จะปฏิบัติในสิ่งที่ดี ถูกต้อง โดยยึดหลัก "กฏแห่งกรรม" ....มิใช่ "กฏบังคับ" ใด ๆ

 

โดย: ยี่หร่า@ 4 กุมภาพันธ์ 2550 17:03:17 น.  

 

กฎหมายคือสิ่งสูงสุดที่ทุกคนในสังคมต้องเคารพและผู้รักษากฎหมายต้องบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอหน้ากันโดยไม่เลือกปฏิบัติ มีข้อควรใคร่ครวญดังนี้
๑.เชื้อชาติใดก็ไม่สำคัญ ถ้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยต้องทำตามกฎหมายไทยเหมือนกันทุกคน
๒.ศาสนาใดก็ไม่สำคัญถ้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยต้องทำตามกฎหมายไทยเหมือนกัน ไม่มีข้ออ้างว่าขัดกับหลักศาสนา เพราะกฎหมายใหญ่และเหนือกว่าศาสนาในทุกกรณี
๓.คนผิวสีอะไรก็ไม่สำคัญถ้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยต้องทำตามกฎหมายไทยเหมือนกันทุกคน
๔.สังคมพหุนิยมต้องเอากฎหมายเป็นใหญ่กว่าทุก ๆ เรื่อง
๕.ปัญหาของความรุนแรงในภาคใต้นั้นบ่มเพาะมาจากรากเหง้าของการต้องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเมื่อผนวกกับความอ่อนแอในการบังคับใช้กฏหมายของรัฐแล้วก็เป็นเงื่อนไขที่ยากจะปลดล็อกออกได้ถ้าขาดความกล้าที่จะใช้กฎหมาย
๖.รัฐต้องกล้าในการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่กลัวเรื่องการเสียมวลชน
๗.ตัวอย่างความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายที่สำคัญคือการที่การปล่อยให้เด็ก ๆ มุสลิมเรียนศาสนาอิสลามที่โรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนตาดีกาในเวลาราชการตอนกลางวันซึ่งเป็นเวลาที่เด็ก ๆเหล่านั้นควรได้เรียนวิชาสามัญและภาษาไทยในโรงเรียนปกติจันทร์-ศุกร์ วันละ ๖-๘ ชั่วโมง โดยที่ไม่เคยนำกฎหมายเรื่องการศึกษาภาคบังคับมาใช้เลย ซึ่งแน่นอนเด็ก ๆ เหล่านั้นห่างเหินภาษาไทย พูดไทยไม่ชัด ใครจะบอกได้ว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นสำนึกในความเป็นไทยมากน้อยแค่ไหน รักประเทศไทยแค่ไหน
๙.โรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนตาดีกาต้องสอนศาสนานอกเวลาราชการเท่านั้น
๑๐.เด็กมุสลิมที่มีสัญชาติไทยทุกคน พ่อแม่ต้องส่งเข้าเรียนในโรงเรียนตามกฎหมายการศึกษาภาคบังคับทุกคนให้ได้เรียนภาษาไทยที่ถูกต้อง พูดไทยให้ช้ด
๑๑.โงเรียนปอเนาะและโรงเรียนตาดีกาจะต้องได้รับการเฝ้าระวังจากคนของภาครัฐที่สามารถฟังเข้าใจภาษายาวีว่าสอนแต่ศาสนาอย่างเดียวหรือมีการสอนเรื่องรัฐปัตตานีและการแบ่งแยกดินแดนด้วย
๑๒.เขตปกครองพิเศษ(หรือที่เรียกเป็นอย่างอื่น)ต้องไม่เกิดขึ้นเพราะนั่นแสดงว่ารัฐกำลังเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย
๑๓.ถึงเวลาที่รํฐต้องกล้า ๆ หน่อยในการใช้ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในการทำให้คนมาเคารพกฎหมายและแสดงว่าตัวเองเป็นคนไทย พูดไทย รักประเทศไทย

เป็นความจริงที่สังคมไทยกำลังขาดคนจริงและคนกล้า

 

โดย: คนใต้ (cm-2500 ) 4 กุมภาพันธ์ 2550 18:41:16 น.  

 

Strategies to Win the Southern Separatism War

[1]บริบท(Context)
มีประเด็นที่สำคัญ 3 ประการ
1.ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของรัฐปัตตานี
2.การมีเชื้อสายมลายูและ
3.การนับถือศาสนาอิสลาม ของคนใน 4 จังหวัดภาคใต้
มีความซับซ้อนและเกี่ยวพัน กันอย่างแยกไม่ ออกเป็นที่มาของ คำถามที่ว่า"คนส่วนใหญ่ที่ 4 จังหวัดนี้ต้อง การแยกตัวเป็นรัฐ อิสระจริงหรือ?"หรือเป็นเพียงเกม การเมืองของคนกลุ่มน้อยทีต้อง การแยกตัวเป็นรัฐ อิสระจากแนว คิดว่าอิสลามต้องปกครองด้วย อิสลามเท่านั้นและปัตตานีเคยเป็นรัฐอิสระมาก่อน
อย่างไรก็ตามได้เกิดการก่อ การร้ายขึ้นแล้วและมีหลักฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย ข้ามชาติด้วย
บริบทตรงนี้คือการต้องการ แยกตัวเป็นรัฐอิสระโดยคนกลุ่มไม่ ใหญ่นักที่สามารถดึงมวลชนไว้ได้มากและใช้การก่อการร้ายเป็นยุทธวิธีหลักประสานกับการสร้างมวล ชนด้วยการโฆษณาชวนเชื่อและ การข่มขู่สร้างความหวาดกลัวให้ ประชาชนซึ่งเป็นการแสดงว่าอำ นาจรัฐไปไม่ถึงและไม่สามารถคุ้มครองประชาชนได้

[2]สาเหตุ(Root Causes of the War)
ปัจจัยหลัก
1.ความเป็นมลายูที่ไม่เคย มีความสำนึกในความเป็นไทยของกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน
2.ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่เคยปกครองตนเองมาก่อนของรัฐปัตตานี
3.หลักศาสนาอิสลามที่ผู้ปกครองต้องเป็นอิสลาม

ปัจจัยเสริม
1.การถูกข่มเหงและกดขี่จากคนของรัฐ
2.การไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวมุสลิม
3.การด้อยการศึกษาของมุสลิมอันเนื่องที่เน้นหนักการเรียนแต่ศาสนา
4.รัฐดำเนินนโยบายผิด พลาดด้านการเมือง สังคม การศึกษา และเศรษฐกิจ
5.การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอและด้อยประสิทธิภาพ

[3]กลุ่มแบ่งแยกดินแดน(The Separatists)
1.น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เป็นอดีตผู้ปกครองที่สูญเสียอำนาจไป
2.ใช้ประวัติศาสตร์ความเป็นมลายูที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาเป็นของตนเอง
3.ใช้ศาสนามาอ้าง ใช้ รร.ปอเนาะ และ รร.ตาดีกาเป็น ฐานในการปฏิบัติการปลุกระดม มวลชนและส้องสุมกำลังและกีดกันไม่ให้เด็กมาเรียนหนังสือไทย
4.ยึดครองมวลชนด้วยการ โฆษณาชวนเชื่อและการข่มขู่
5.ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็น อิสลามมีแนวโน้มจะมาเป็นพวก

[4]ยุทธศาสตร์(Strategy of Separatists)
แผนบันไดเจ็ดขั้น
หลักฐานที่ยึดได้เมื่อ 1 พ.ค. 46 พบว่าแนวทางการต่อสู้ของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อก่อ ตั้งรัฐปัตตานีได้กำหนดแผนปฏิบัติการออก เป็น 7 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1:การปลุกระดมมวลชน
ขั้นที่ 2:การจัดตั้งมวลชน
ขั้นที่ 3:การจัดตั้งองค์การ
ขั้นที่ 4:การจัดตั้งกองกำลัง
ขั้นที่ 5:โหมกระแส
ขั้นที่ 6:เตรียมการรุก
ขั้นที่ 7:เปิดการรุกใหญ่

ข้อควรใคร่ครวญด้านยุทธศาสตร์
[1]สถานการณ์ปัจจุบันน่าจะอยู่ในบันไดขั้นที่ 4 และ 5
[2]น่าจะไม่มีการรุกใหญ่เพราะกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเสียเปรียบด้านกำลังรบและ ยุทโธปกรณ์
[3]การโหมกระแสด้วยการก่อการร้ายและดิสเครดิตอำนาจรัฐน่าจะทำให้มวลชนออกมาห่างรัฐไปเรื่อย ๆ
[4]บันไดเจ็ดขั้นอาจมีการลวงเพราะการรุกใหญ่ไม่ใช่จุดแตกหักที่จะชนะได้
[5]จุดแตกหักของสงคราม ครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ความยืดเยื้อ(การแย่งชิงประชาชนและการทำลาย ขวัญ) และการนำไปสู่ความเป็น International Issue (มีผลไปถึงการทำประชามติ)

[5]ยุทธศาสตร์ในการเอาชนะสงครามแบ่งแยกดินแดน(Strategic Alternatives to Win the War)
ระยะสั้น
การข่าวกรองจะต้องเป็นหลักที่จะทำให้การปฏิบัติการเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพและหวังผลได้เป็นอย่างดี ร่วมกับการปฏิบัติการ อย่างมีเอกภาพในการบังคับบัญชา
<1>การป้องกันไม่ให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ
<2>การเปิดเผยตัวกลุ่มผู้ก่อการกบฏแบ่งแยกดินแดนและประกาศดำเนินคดีข้อหากบฏภาย ในราชอาณาจักร
<3>การประกาศเป็นสงครามวาระแห่งชาติในการปราบกบฏการแบ่งแยกดินแดนใช้กฏอัยการศึกอย่างมีระบบ
<4>การใช้กำลังทางทหารเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และระงับเหตุ การก่อการร้ายโดยอาศัยการข่าวที่ดีและแน่นอนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
แนวทางที่ดีไม่จำเป็นต้องทำในพื้นที่สีแดงแต่ทำในพื้นที่ ๆ มั่นใจได้ว่าควบคุมได้ และรุกคืบ ไปเป็นลำดับ ให้ทุกตารางนิ้วมีการเฝ้าระวังโดยกำลังทหารเพื่อควบคุมการก่อการร้าย
<5>การปิด รร.ปอเนาะและ รร.ตาดีกาเมื่อจำเป็น และแยกผู้นำศาสนาออกจากมวลชนและแกนนำให้ได้ แยกให้ได้ว่าโต๊ะครูและอุสตาดคนไหนคือผู้ก่อการร้ายแยกดินแดน คนไหนคือคนปกติ
<6>การป้องกันการก่อวินาศกรรมในเมืองใหญ่เมื่อเริ่มปิด รร.ปอเนาะและ รร.ตาดีกา และไล่ล่าแกนนำที่หมายหัวไว้แล้ว

ระยะยาว
<1>การพัฒนาเศรษฐกิจ
-การเพิ่มการลงทุน
-การกระจายรายได้
-การเพิ่มรายได้ต่อหัว
<2>การพัฒนาการศึกษา
-ระบบการศึกษาหลั คือเด็กทุกคนต้องเรียนจนจบม.3-ม.6
-การเรียนศาสนาเวลาต้องไม่ทับซ้อนกับการศึกษาสามัญ กล่างคือการเรียนศาสนาต้องเรียนนอกเวลาราชการเท่านั้น และต้องมีการเฝ้าระวังจากคนของรัฐที่รู้ภาษายาวีเพื่อที่จะควบคุมให้โรงเรียนดังกล่าวสอนแต่ศาสนาเท่านั้น และไม่สอนเรื่องการแบ่งแยกดินแดน
-รร.สอนศาสนาต้อง ได้รับการจัดระเบียบและอยู่ใน กรอบกฎหมายไทยเท่านั้น ให้มีรูป แบบที่ส่งเสริมความเป็นไทย คือต้องมีการเคารพธงชาติไทย และร้องเพลงชาติไทยทุกเช้า
จัดให้มีการสอนศาสนาเหมือนเดิม จำนวนชั่วโมงเท่าเดิมแต่เรียนนอกเวลาราชการและเด็กทุกคนต้องได้เรียนวิชาสามัญและภาษาไทยตามมาตรฐานด้วยเป็นหลัก
การสอนศาสนาต้องให้มั่นใจว่าโต๊ะครูและอุสตาดสอนแต่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนา และไม่มีการสอนเรื่องสงครามศาสนาและการแบ่งแยกดินแดน
<3>การพัฒนาสังคม
-สังคมพหุนิยม
-สันติสุข
-สำนึกไทย
-เป็นธรรม
-ยุติธรรม
-สุขภาพดี
<4>การพัฒนาข้าราชการ
-การสร้างเอกภาพใน ความคิด เอกภาพในการปฎิบัติ และ เอกภาพในการบังคับบัญชารวมทั้งการให้ความรู้การทำความเข้าใจนโยบายแก่องค์กรที่เกี่ยวข้อง
-องค์ความรู้เรื่องสังคม พหุนิยมและศาสนาอิสลาม
-สำนึกแห่งการบริการ
-การให้ความเป็นธรรม กับประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ

 

โดย: คนใต้ (cm-2500 ) 4 กุมภาพันธ์ 2550 19:04:47 น.  

 



ภาษิตและคติพจน์อังกฤษ
Grey hair is a of age, not of wisdom.
ผมหงอกเป็นสัญญาลักษณ์ของอายุ ไม่ใช่ปัญญา


สวัสดีค่ะ เจี๊ยบเข้ามาทักทายค่ะ
มาพร้อมกับรูปสวยๆ ภาษิต/คติพจน์ ดี ดี
และความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เพื่อนๆ ค่ะ
February 6,,2007
รายาสุรีย์ โทณะวณิก (เจี๊ยบ)

พี่ขา ตอนนี้หนูเหนื่อยมากๆ เลยกับการเมือง
ไปไหน มาไหนก็หวาดระแวงอยู่ไม่มีความสุข
เลย รีบซื้อรีบกิน รีบกลับบ้านกลัวโดนลูกหลง


 

โดย: rayasuree (Jeab) (rayasuree ) 6 กุมภาพันธ์ 2550 8:21:27 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ยี่หร่า@
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ยี่หร่า@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.