I Am a Zombie Filled With Love (เรื่องสั้นแปล)



อ่านแล้วรู้สึกชอบก็เลยแปลมาให้เพื่อนๆอ่าน (I can't live without zombie genre!!)... เรื่องสั้น I’m A Zombie Filled With Love เขียนโดย ไอแซ็ค มาเรียน ได้ถูกนำไปขยายเป็นนวนิยายขนาดยาวชื่อ Warm Bodies ถูกตีพิมพ์และวางจำหน่ายช่วงต้นปี 2009 และตอนนี้ผู้กำกับ โจนาธาน เลอไวน์ จาก The Wackness และ All the Boys Love Mandy Lane ก็กำลังนำไปพัฒนาเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์ภายในปีสองปีนี้

ปล. สามารถไปอ่านต้นฉบับได้ที่นี่
ปลล. ไม่ได้เขียนในกรุ๊ปบล็อคหนังสือมาตั้งแต่ต้นปี 2008 โอ้ว สองปีแล้วเหรอเนี่ย?! (*ปัดกวาดเช็ดถู*)
ปลลล. ง่วงมาก อาจมีการแปลตกหล่นหรืออ่านไม่รู้เรื่องบ้าง เดี๋ยวตอนเช้าจะมาแก้ไขอีกทีนึง
ปลลลล. ล มัีนจะเยอะไปไหน -*-
ปลลลลล. แก้ไขคำผิดวันที่ 22.01.10 เขียนผิดบานตะไท


I Am a Zombie Filled With Love



บทที่ 1

ผมคือซอมบี้... มันไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิด ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ผมขอโทษที่ไม่สามารถแนะนำตัวเองได้ เพราะผมไม่มีชื่อ พวกเราทุกคนก็เช่นกัน พวกเราลืมทุกอย่างในชีวิตประจำ เช่น วันครบรอบแต่งงานหรือรหัสเอทีเอ็ม ผมคิดว่าชื่อของตัวเองสะกดตัวแรกด้วยพยัญชนะ "ท" แต่ผมไม่แน่ใจหรอกนะ มันเป็นเรื่องน่าขำ เพราะเมื่อก่อนตอนยังมีชีวิต ผมมักลืมชื่อคนอื่นอยู่เสมอ มันจึงกลายเป็นตลกร้ายสำหรับซอมบี้ ผมอยากหัวเราะออกมาดังๆ แต่มันคงเป็นไปได้ยากเมื่อริมฝีปากของผมเน่าเปื่อยหมดแล้ว

ก่อนที่ผมเป็นซอมบี้ ผมคิดว่าตัวเองคือนักธุรกิจ ผมคิดว่าตัวเองทำงานอยู่ในออฟฟิศหรูย่านธุรกิจที่ไหนสักแห่ง เสื้อผ้าภูมิฐานที่เปื่อยยุ่ยยังติดอยู่กับตัวผม กางเกงสแล็คเนื้อดี เสื้อไหมแท้ เนคไทอาร์มานี่สีแดง ผมคงดูดีกว่านี้ถ้าลำไส้ไม่ห้อยลงมาอยู่บริเวณขา

พวกเรามักเกิดความสงสัยกันในกลุ่มถึงเสื้อผ้าบนร่างกาย เพราะว่ามันคือเครื่องแต่งกายสุดท้ายที่ชี้ให้เห็นว่า คุณคือใครก่อนที่จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ บางคนดูชัดเจนกว่าผม กางเกงยีนส์เสื้อยืดสีขาว หรือ กระโปรงจีบเสื้อนักเรียน พวกเรามักทายเล่นกันเสมอ

คุณเป็นช่างซ่อมท่อประปา หรือ เธอเป็นนักเรียนมัธยม จำได้ไหม?

น่าเศร้าที่พวกเขาจำไม่ได้

ไม่มีใครมีความทรงจำที่ชัดเจน พวกเราจำสิ่งของได้บางอย่าง เช่น ตึก รถ เนคไท แต่ความหมายของสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในระบบการประมวลผล พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราทำในสิ่งที่ต้องทำ พวกเราไม่มีการใช้ภาษาที่สวยงาม แต่สามารถสื่อสารถึงกันด้วยการครางและคำราม พวกเราใช้ภาษาท่าทาง และบางครั้งคำพูดก็หลุดออกมาจากปากแบบไม่ตั้งใจ

พวกเราจำนวนมากอาศัยอยู่ในที่ราบนอกเมืองหลวง พวกเราไม่ต้องการที่คุ้มหัวหรือความอบอุ่น พวกเรายืนอยู่ท่ามกลางพายุทราย เวลาเดินไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ผมคิดว่าพวกเราอยู่ที่นี่กันมานานแล้ว แต่ดูจากสภาพของผมแล้ว ผมยังอยู่ในขั้นแรกของการเน่าเปื่อย แต่ก็มีพวกผู้อาวุโสที่มีสภาพไม่ต่างจากโครงกระดูกติดเนื้อ แต่พวกเขาก็ยังเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อยๆ ผมไม่เคยเห็นพวกเรา "ตาย" ด้วยความชราภาพ บางทีพวกเราอาจอยู่ตลอดไป ผมเองก็ไม่ทราบ เพราะผมไม่คิดถึงอนาคตอีกต่อไป นั้นคือสิ่งที่แตกต่างจากเมื่อก่อน เมื่อตอนผมยังมีชีวิต อนาคตคือสิ่งเดียวที่ผมคิด สิ่งเดียวที่ครอบงำการใช้ชีวิตผม จนความตายมาช่วยปลดแอกให้กับผม

แต่ผมก็รู้สึกเสียใจที่พวกเราจำชื่อตัวเองไม่ได้ มันคือเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในความคิดของผม ผมไม่คิดถึงชื่อของตัวเองหรอกนะ แต่ผมเสียใจให้กับคนอื่น เพราะผมต้องการรู้จักพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร




บทที่ 2

วันนี้กลุ่มของเราเข้าเมืองเพื่อหาอาหาร การเดินทางครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งในกลุ่มของเราหิว และตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าเมือง จนพวกเราทยอยกันเดินตาม การสนใจอย่างหนึ่งเป็นเวลานานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก พวกเราจะเริ่มขยับตัวเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะยืนส่งเสียงครางเบาๆ มันเป็นเรื่องที่นึกแล้วน่าหงุดหงิดเ ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีเราก็ยังคงเป็นเช่นนี้ พวกเรายืนให้เนื้อหลุดออกจากกระดูกด้วยแรงโน้มถ่วง ผมรู้สึกสงสัยว่าตัวเองมีอายุเท่าไรกันแน่

เมืองที่มีมนุษย์อยู่ห่างจากเราไปไม่เท่าไร พวกเรามาถึงในตอนเที่ยงและเริ่มออกหาคนที่ยังมีชีวิต ความหิวหลังความตายเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด คุณจะไม่รู้สึกมันจากท้อง ไม่ใช่แน่นอน เพราะพวกเราบางคนไม่มีกระเพาะด้วยซ้ำ แต่คุณจะรู้สึกไปทั่วร่างกาย คุณจะเข้าใจว่า "ความตายที่อยู่เหนือความตาย" เป็นยังไง เมื่อเพื่อนของผมหลายคนกลับไปตายอีกครั้งเมื่อขาดอาหาร พวกเขาเดินช้าลงเรื่อยๆจนหยุดนิ่ง และกลับกลายเป็นซากศพอีกครั้ง

ผมคิดว่าโลกนี้คงถึงจุดจบแล้ว เพราะว่าเมืองที่เข้าไปก็เน่าผุพังไม่ต่างจากสภาพร่างกายของพวกเรา ตึกระฟ้าที่พังถล่ม กลิ่นความตายฟุ้งกระจาย รถสนิมเครอะจอดอยู่ตามท้องถนน เศษกระจกกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ผมไม่รู้ว่ามันเกิดสงครามหรือโรคระบาด หรืออาจเป็นเพราะพวกเรา หรือบางทีมันอาจเกิดขึ้นทั้งหมด ผมไม่รู้ เพราะผมไม่คิดถึงเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว

ในห้องทรุดโทรมบนอพาร์ทเม้นท์ พวกเราพบมนุษย์ พวกเราไล่กินพวกเขา พวกเขาบางคนมีอาวุธ มันเป็นปกติที่พวกเราฃจะสูญเสียเพื่อน แต่พวกเราไม่สนใจ ทำไมพวกเราต้องสนใจ อะไรคือความตายกันแน่?

การกินไม่ใช่สิ่งที่น่าดูนัก ผมกินแขนของผู้ชายคนหนึ่ง มันน่ารังเกียจ ผมเกลียดเสียงกรีดร้องของเขา เพราะผมไม่ชอบความเจ็บปวด ผมไม่อยากทำร้ายใคร แต่มันคือตามเป็นไปบนโลกใบนี้ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำ แน่นอนถ้าผมไม่กินเขาจนหมด เขาก็จะลุกขึ้นมาและเดินตามผมกลับไปที่ราบนอกเมือง และนั้นคงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมจะแนะนำเขาให้รู้จักกับทุกคน บางทีพวกเราอาจคำรามใส่กันเพื่อแสดงความยินดีและต้อนรับ มันยากที่จะพูดคำว่า "เพื่อน" ในสภาพนี้

แต่แน่นอนว่าผมกินเขาไม่เหลือซาก ผมกินสมองเขาเป็นการตบท้าย เพราะว่านั้นเป็นส่วนที่อร่อยที่สุด มันคือส่วนที่พอผมกลืนลงไปจะทำให้หัวผมสว่างขึ้นด้วยความรู้สึก สักประมาณ 3 - 10 วินาทีขึ้นอยู่กับแต่ละคน และด้วยความทรงจำที่ยังสด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงอาหารอร่อยลิ้น บทเพลงไพเราะ กลิ่นน้ำหอม ภาพพระอาทิตย์ตก เซ็กซ์ ชีวิต หลังจากนั้นมันจึงจางหายไป และผมก็ลุกขึ้นมาเดินโซซัดโซเซออกจากเมือง ด้วยสภาพร่างกายที่ยังคงตายอยู่ แต่ด้วยความรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงกินมนุษย์ ผมไม่เข้าใจว่าการขย้ำคอของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะอะไร พวกเราไม่มีระบบการย่อยสลายและไม่ต้องดูดสารอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ท้องของผมเหมือนถุงกระสอบแห้งๆอันไร้ประโยชน์ พวกเรากินจนกระทั่งน้ำหนักของสิ่งที่กินผลักตัวเองออกจากทวารหนัก มันช่างดูไร้ประโยชน์เหลือเกิน แต่มันก็ทำให้เราเดินต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเราถึงมาอยู่ในจุดนี้ ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นผลพวงจากการโรคระบาด หรือเป็นคำสาปจากสมัยโบราณ หรือบางอย่างที่ดูไร้เหตุผลกว่านั้น พวกเราไม่เคยพูดถึงมัน การถกเถียงกันเรื่องความมีตัวตน ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับซอมบี้อย่างเรา พวกเราอยู่ที่นี่ พวกเราอยู่อย่างเรียบง่าย และมันก็ทำให้รู้สึกดีในบางครั้ง




บทที่ 3

พวกเรากลับมาอยู่กับในที่ราบนอกเมือง ผมเริ่มเดินเป็นวงกลมแบบไร้เหตุผล ตอนที่ยังมีชีวิตผมไม่เคยทำอย่างนี้ ผมจำความเครียดได้ ผมจำใบแจ้งหนี้และกำหนดส่งงานได้ ผมจำได้ว่าตัวเองมีภาระวุ่นวายตลอดเวลาและไม่เคยมีเวลาว่าง แต่ตอนนี้ผมยืนอยู่ในที่ราบที่มีแต่ฝุ่นทรายและกำลังเดินเป็นวงกลม ราวกับว่าโลกถูกทำให้บริสุทธิ์ และความตายทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

ผมหยุดเดินหลังจากผ่านไปหลายวัน ผมยืนเอนตัวไปมาและครางเบาๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงคราง ผมไม่มีอาการเจ็บป่วย และผมก็ไม่รู้สึกเศร้า ผมคิดว่ามันอาจเป็นเพียงลมที่ดันเข้าออกภายในปอดของผม และเมื่อปอดของผมเน่าเปื่อย มันอาจหยุดการทำงานไปเอง

ทันใดนั้นผมรู้สึกถึงซอมบี้หญิงที่อยู่ห่างผมไปประมาณหนึ่งฟุต เธอหันหน้าไปทางภูเขา เธอไม่ได้เอนตัวหรือคราง เธอแค่ เอนตัวไปทางซ้ายและขวาอย่างช้าๆ ผมชอบบุคลิกแบบในตัวเธอ ผมเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆเธอ ผมถอนหายใจเพื่อเป็นการทักทาย และเธอก็ตอบสนองด้วยการหยักไหล่

ผมรู้สึกถูกชะตา ผมเอื้อมมือไปแตะผมของเธอ เธอเพิ่งตายได้ไม่นานเท่าไร ผิวหนังของเธอเป็นสีเทา ดวงตาของเธอเป็นหลุมลึกไปเพียงเล็กน้อย เธอไม่มีอวัยวะภายในหรือกระดูกโผล่ออกมาทางผิวหนัง เครื่องแต่งกายของเธอคือกระโปรงดำ เสื้อสีขาวกลัดกระดุม ผมสงสัยว่าเธออาจเป็นบริกร

บนหน้าอกของเธอมีป้ายชื่อเหล็กสีเงิน

ผมอ่านชื่อของเธอออก

เธอชื่อว่า เอมิลี่

ผมชี้ไปที่ป้ายชื่ออย่างเชื่องช้า ด้วยความพยายามอย่างสูงสุด ผมเปล่งเสียงออกมาว่า "เอ..มิ...ลี่" สามพยางค์ที่หลุดออกมาจากปากราวกับหยดน้ำผึ้ง มันช่างเป็นชื่อที่เพราะหูที่สุด และผมก็รู้สึกอบอุ่นเมื่อได้เปล่งเสียงออกมา

ดวงตาของ เอมิลี่ เบิกกว้างขึ้น เธอยิ้ม ผมยิ้มตอบ อาจเป็นเพราะผมรู้สึกประหม่า ทำให้ตัวเองล้มหงายหลังไปบนพื้น เอมิลี่ หัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอราวกับเสียงไอของคนป่วย แต่มันคือเสียงที่ไพเราะที่สุดที่ผมเคยได้ยินในชีวิตหลังความตาย

เอมิลี่ และผมกำลังตกหลุมรัก

ผมไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ผมจำได้ว่าความรักคืออะไร สิ่งนี่มันแตกต่าง มันเรียบง่ายกว่า เพราะเมื่อก่อนมีทั้งความซับซ้อนในอารมณ์ และตัวแปรในเรื่องหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเรามีข้อกำหนดและบททดสอบให้แก่กันและกัน พวกเราต้องมี เงิน อาชีพ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า “เซ็กซ์” ที่ทำให้เกิดความสับสน เหมือนกับความหิวของซอมบี้ มันกำเนิดจากความโหยหา ความทะเยอทะยาน มันเป็นแรงผลักดันให้คนคิดค้นรถ ยานอวกาศ และระเบิดนิวเคลิยร์ แทนที่จะนั่งเฉยๆบนโซฟารอวันตาย เซ็กซ์ทำให้โลกหมุน

สิ่งเหล่านั้นมันหายไปหมดแล้ว เซ็กซ์ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากแรงดึงดูด กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความสำคัญอีกต่อไป ความทะเยอทะยานและความโหยหาถูดตัดออกไปจากสมการ ซึ่งอาจเป็นเพราะจ้าวโลกของผมหลุดร่วงไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว

เมื่อสมการหลักถูกตัดทิ้งไปแล้ว เมื่อกระดานดำถูกลบจนเกลี้ยง และเมื่อทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม การกระทำของพวกเราไม่มีแรงจูงใจภายนอกอีก สังคมที่ราบของพวกเราคือการเดินไปมา และส่งเสียงครางแลกเปลี่ยนกันในกลุ่ม ไม่มีใครโต้เถียงกับใคร ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการฆ่าฟัน

การได้รู้จัก เอมิลี่ ไม่ใช่กระบวนการซับซ้อน ผมเห็นเธอและเดินเข้าไปหา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมตัดสินใจที่จะอยู่กับเธอเป็นระยะเวลานาน เราทั้งคู่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกัน แทนที่ยืนนิ่งๆคนเดียวเหมือนแต่ก่อน และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดอีกก็ตาม พวกเรามีความสุขเมื่อมีอีกคนอยู่เคียงข้าง และเมื่อต้องเข้าเมืองเพื่อกินคน พวกเราจะแยกกันไปหาอาหาร เพราะพวกเราไม่อยากทำสิ่งนี้ร่วมกัน แต่นอกเหนือจากนั้นเราทำร่วมกันทุกอย่าง มันเป็นความรู้สึกที่ดี

พวกเราตัดสินใจเดินขึ้นไปบนเขา มันใช้เวลาถึงสามวัน แต่ตอนนี้พวกเรายืนอยู่บนหน้าผาใต้ดวงจันทร์อ้วนกลมสีขาวนวล เบื้องหลังของเราคือท้องฟ้าสีแดงจากเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ แต่พวกเราไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น ผมแอบจับมือ เอมิลี่ ด้วยความประหม่า ก่อนที่พวกเราจะแหงนหน้าจ้องมองดวงจันทร์ด้วยกัน

ผมไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลในการกระทำของพวกเรา แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าโลกถูกทำให้บริสุทธิ์ ความรักก็ถูกทำให้บริสุทธิ์เช่นกัน ทุกอย่างบนโลกถูกทำให้เรียบง่าย เมื่อวานขาของผมหัก และผมก็แทบไม่สนใจมันด้วยซ้ำ


-----------------------THE END-----------------------


Create Date : 20 มกราคม 2553
Last Update : 7 มีนาคม 2555 16:05:47 น. 14 comments
Counter : 5868 Pageviews.

 


โดย: BloodyMonday วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:0:16:40 น.  

 
แปลได้สวยงามมากเลย อ่านแล้วอมยิ้มไม่หยุด :)


โดย: MiNT IP: 58.11.87.187 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:0:38:45 น.  

 
เอ่อ... อืม... อ่านแล้วรู้สึกอึ้งๆ งงๆ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ แต่ชอบการบรรยายโลกของซอมบี้ในช่วงต้นนะครับ ถ้ามันถูกพัฒนาจนเป็นหนังขึ้นมาจริงๆ คนทำคงต้องคิดอะไรๆเพิ่มอีกเยอะเลย และเราคงจะได้ดูหนังซอมบี้ในมุมมองของซอมบี้กันเป็นครั้งแรก (รึเปล่าหว่า?) ก็ได้

กำลังพยายามดู Hurt Locker อยู่ ได้แผ่นเป็นซับนรกเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลย T_T


โดย: แฟนผมฯ IP: 142.103.23.32, 202.134.119.218 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:8:43:50 น.  

 
แวะ้เข้ามาตอนง่วงๆพอดีเลยครับ เดี๋ยวจะเข้ามาอ่านอีกทีก็แล้วกันนะครับ


โดย: McMurphy IP: 125.24.93.195 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:22:04:01 น.  

 
เดี๋ยวจะอ่านครับ แต่เหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้ที่ไหนมาก่อนนี่แหล่ะ


โดย: navagan วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:1:49:13 น.  

 
OMG บลัดดี้อัพบล็อกหนังสือ


โดย: grappa วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:9:00:33 น.  

 
ช่วงนี้ซอมบี้หมุนอยู่รอบตัวผมเหลือเกิน

ทั้งงานเขียนที่ทำให้จิตตกอย่างการต้องเขียนถึง Zombieland (ที่ทุกวันนี้ก็ยังเขียนไม่ได้)
หรือล่าสุดผมเพิ่งเปรียบตัวเองเป็นซอมบี้ไปหมาดๆ (คุณรู้แล้วนี่ คุณไปเห็นมาแล้ว)

มาวันนี้...เจอซอมบี้อีกรอบ เปลี่ยนแปลกและแตกต่างกันตรงที่คราวนี้ได้มาอ่านความในใจและความคิดอ่านของซอมบี้แท้ๆดูบ้าง ^^ ผมลองกดไปดูต้นฉบับแล้วหมดปัญญาอ่านแน่นอน ขอบคุณมากครับที่แปลมาให้อ่านกัน (มีคำเขียนผิด - สระตกด้วยนะ แต่เข้าใจว่าเขียนเยอะๆมันก็ต้องมีผิดกันบ้าง...ผมผิดประจำไม่ว่าจะเขียสั้นหรือยาว 555+) คาดว่าถ้าเอาไปทำออกมาเป็นหนังเมื่อไหร่คงจะมีเนื้อหาหนักสมอง ย่อยยาก และเรียกร้องการวิพากย์วิจารณ์สังคมในระดับสูงมั่กๆ แน่ๆ เลย

ส่วนไอเดียเรื่องโลกบริสุทธิ์ วิถีชีวิตหวนกลับไปเรียบง่ายชนิดกินเผื่ออยู่(และถ้าไม่กินก็ไม่อยู่ก็ได้ ไม่แคร์)ของซฮมบี้นี้ เข้าท่าทีเดียว แต่มันคงเป็นอุดมคติไปแล้ว ผมว่าต่อให้โลกถูกถล่มด้วยอุกาบาตหรือซอมบี้ล้างโลก คนก็คงยังยึดติดกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตที่ฟุ่ยเฟือยแบบตอนนี้อยู่ดี

คุณรู้แล้วนี่ คุณไปเห็นมาแล้ว (ในหนัง Zombieland ไง)


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:17:30:07 น.  

 
จี๊ดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และรู้สึกโดนกับตัวเองเป็นพิเศษครับ ^^

เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราขวนขวายกลับกลายเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่สุดที่เราไม่เคยคิดที่จะเหลียงมอง

ชอบการเปรียบเทียบและการให้ค่าของซอมบี้ในเรื่องนี้มากๆ

ขอบคุณที่แปลมาให้เด้อครับ


โดย: Seam - C IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:10:46:31 น.  

 
I didn't know Dolores O'Riordan has a new album (it has been released since August 2009?!). Anyway, I have a super crush on her since my adolescence. And even though it's like decade ago, she's still, and will forever be, my idol. Please reunite with The Cranberries!




โดย: BloodyMonday วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:14:10:21 น.  

 
เกิดอะไรขึ้น เมนต์ไม่ติด -*-

เป็นเรื่องที่น่ารักดีครับ ชอบตรงที่ทำทุกอย่างด้วยกันยกเว้นตอนออกหากิน

ผมขาหักเมื่อวาน แต่ผมก็ไ่ม่ได้สนใจมันอีกแล้ว จบได้น่ารักดี


โดย: เอกเช้า IP: 203.144.144.165 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:16:53:18 น.  

 




โดย: จูริง วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:8:25:03 น.  

 
แปลเก่งมากเลยค่ะ แปลมาอีกเยอะๆนะคะ อ่านแล้วเพลินดีค่ะ


โดย: ss IP: 27.130.187.142 วันที่: 19 สิงหาคม 2554 เวลา:4:06:55 น.  

 
พี่แปลได้เก่งมากเลยครับ ผมอ่านไปแล้วรู้สึกไม่อยากหยุดอ่านเลย
มันโดนมากๆ ผมชอบอ่านแนวหนังสือประเภทนี้ครับ
บางคนอาจจะคิดว่ามันออกจะน่าเบื่อ แต่ผมว่าไม่
ผมชักเริ่มอยากจะหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านที่บ้านแล้วจริงๆ 55


โดย: Daling IP: 110.169.146.110 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:02:39 น.  

 
ขอบคุณนะคะ สำหรับการแปลค่ะ ^^


โดย: milky IP: 115.67.34.100 วันที่: 1 มกราคม 2557 เวลา:23:10:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.