ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
movie review - "มือปืนดาว/พระ/เสาร์: การเมืองเรื่ององคชาติ" 

movie review - "มือปืนดาว/พระ/เสาร์: การเมืองเรื่ององคชาติ" 
สองดาวครึ่ง

บทความนี้ เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ดูหนังในหนังสือ
นิตยสาร Starpics ฉบับปักษ์หลัง ตุลาคม 2553
ผู้เขียนขอขอบคุณกองบก.นิตยสารสตาร์พิคส์ สำหรับการเอื้อเฟื้อพื้นที่สำหรับบทความนี้ด้วยครับ



อาจเป็นด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา จึงทำให้หนังไทยในช่วงนี้มีการสอดแทรกประเด็นทางการเมืองเข้ามามากมายไม่ว่าจะมาจากมุมมองของฝ่ายซ้ายหรือขวา ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของฝั่ง liberal หรือ conservative ซึ่งลักษณะของการแทรกประเด็นเหล่านี้ของหนังในกระแสทั่วไป (รวมถึงหนังอิสระอีกหลายเรื่อง) ออกมาคล้ายๆ กัน นั่นคือ ไม่พูดออกมาตรงๆ ไม่พาดพิงถึงใครแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะใช้วิธีการเปรียบเทียบอ้างอิงในรูปแบบเสียดสีแล้วให้คนดูกลับไปตีความเองเสียมากกว่า ซึ่งก็ตรงกับลักษณะของการพูดถึงการเมืองไทยโดยทั่วๆ ไปซึ่งมีลักษณะเฉพาะอยู่สองข้อ นั่นคือ ข้อแรก-การทำตัวคลุมเครือให้เหมือนว่าเป็นกลางเข้าไว้ดูเหมือนว่าจะได้รับความชื่นชอบมากกว่าการเลือกข้าง และข้อสอง-มักจะมีการพูดออกมาไม่หมด ซึ่งอาจเกิดจากทั้ง “ไม่สามารถพูดออกมาได้” หรือ “มีอคติเลยจงใจไม่พูดถึง” เป็นต้น เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง “มือปืนดาวพระเสาร์” ที่ถึงแม้เนื้อเรื่องหลักจะเป็นเรื่องราวโรแมนติค-ดราม่าที่ว่าด้วยความสัมพันธ์อันขรุขระของชายหญิงคู่หนึ่ง แต่ด้วยองค์ประกอบโดยรวม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนังการเมืองในระดับเข้มข้นเรื่องหนึ่งเมื่อเทียบว่านี่คือหนังไทย ถึงแม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แรงๆ ในระดับไมเคิล มัวร์ก็เถอะ

“มือปืนดาวพระเสาร์” เป็นตอนที่สองของตรัยภาคชุดมือปืนของยุทธเลิศ แต่กลับได้ฉายเป็นตอนแรกด้วยเหตุผลการตลาดที่ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักซึ่งหน้าหนังดูขายมากกว่า “มือปืนดาวพระศุกร์” หนังตอนแรกที่เป็นหนังดราม่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์พ่อ-ลูก มือปืนดาวพระเสาร์เป็นเรื่องราวของตี๋ ไรเฟิ้ล (โหน่ง ชะชะช่า) มือปืนสไนเปอร์ผู้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และชื่อของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้มีใครจำได้ เขาตกหลุมรักคริส (คริส หอวัง) ครูสอนเต้นรำหน้าตาดี ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี จะติดขัดก็ตรงอุปสรรคชิ้นใหญ่อย่าง องคชาติ (ต่อไป จะขอแทนคำนี้ ด้วยคำว่า “นกเขา” เพื่อให้ฟังดูน่ารักขึ้น) ของตี๋ที่เป็นโรคนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ทำให้ตี๋ไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวหรือเกิดอารมณ์ทางเพศกับคริสได้ เพราะจะทำให้น้ำอสุจิของเขาหลั่งออกมา ต่อมา พ่อของคริสซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเสื้อเขียวถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิตพร้อมสมาชิกกลุ่มเสื้อเขียวภายในที่ทำการพรรคของตัวเอง ด้วยความโกรธแค้นจึงทำให้คริสค้นหาตัวคนยิงเพื่อทำการล้างแค้น และสุดท้ายเธอก็ค้นพบว่าคนที่เธอตามหาอาจอยู่ใกล้มากกว่าที่คิด

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนังรัก แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังรักนอก stereotype ที่อยู่ห่างไกลจากหนังรักโรแมนติคแบบ “The Letter จดหมายรัก”หรือ “เพื่อนสนิท” ที่ผู้ชมคุ้นเคยออกไปหลายปีแสง เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่องที่เบาบางจนสามารถเล่าให้จบได้ภายในไม่กี่บรรทัด ด้วยตัวหนังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบเป็นชิ้นเป็นอันที่จะช่วยขับเคลื่อนให้หนังไปข้างหน้าน้อยมาก (น้อยกว่า Inception สัก 20 เท่าเห็นจะได้) มีมุขตลกแบบลากยาวซึ่งแทบไม่ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะ และชุดเหตุการณ์ยาวยืดเหมือนไม่รู้จบที่สามารถตัดทิ้งออกไปได้ทั้งยวง นั่นทำให้เกิดเป็นรสชาติประหลาด นั่นคือ ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนตอนดูหนังรัก หนังแอ็คชั่นหรือแม้กระทั่งหนังที่มีตลกคาเฟ่เล่น แต่มันดันทำให้ผมคิดถึงหนังยุโรปที่ดำเนินเรื่องเนิบช้าและวนเวียนในอ่างไม่ไปไหน จนผู้ชมหลายท่านที่เชื่อว่าหนังต้องเดินไปข้างหน้าเสมอเกิดความรู้สึกผิดหวังได้ ซึ่งหากวิเคราะห์จริงๆ และการที่เนื้อเรื่องไม่ไปไหน อาจไม่ใช่ความผิดพลาดของตัวผู้กำกับแต่เป็นความตั้งใจที่จะให้การดำเนินเรื่องแบบพายเรือในอ่างสอดคล้องกับเนื้อหาของหนังที่ว่าด้วยการ “ไม่ไปไหนสักที” ของตัวละครและชะตากรรมบ้านเมืองก็ได้ ด้วยลักษณะของหนังตามที่กล่าวบวกกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่พร้อมจะทำให้แฟนๆ เป้าหมายหนังรักกลุ่มใหญ่รู้สึกกระอักกระอ่วนจนถึงขั้นเบือนหน้าหนี เช่น คำหยาบที่มีตลอดทั้งเรื่อง ความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ประเด็นเรื่องการทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวและความขัดแย้งทางการเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่ อย่าว่าแต่ผู้ชมที่คาดหวังจะมาชมหนังรักเลย ผู้ชมทั่วๆ ไปหลายท่านก็เกิดอาการรับไม่ได้จนถึงขั้นอยากเดินออกจากโรงกลางคัน และอาจส่งผลต่อรายได้ที่คงไม่ถล่มทลายเหมือนภาคแรก แต่ในทางกลับกัน ถ้าผู้ชมท่านไหนสามารถคลิกไปกับหนังเรื่องนี้ได้ ท่านก็จะพบว่านี่คือหนังรสชาติใหม่ที่ผู้กำกับกล้าหาญพอที่จะผลักดันมันไปให้สุดทาง ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ ในหนังไทยช่วงยุคหลังนี้ นั่นทำให้แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ “แซ่บ”เหมือนหนังยุคแรกๆ ของเขาแต่ก็ถือว่าเป็นหนังในหนังที่ดีที่สุดของเขาในช่วงหลังนับตั้งแต่บุปผาราตรีเป็นต้นมา

หากว่าเราจะนับว่ามือปืนดาวพระเสาร์เป็นภาคต่อของ “มือปืนโลก/พระ/จัน” หนังเรื่องแรกของยุทธเลิศแล้ว คงต้องบอกว่าภาคต่อตอนนี้ไม่ได้เป็นการกลับไปหารากเหง้าดั้งเดิมของเขา แต่เหมือนเป็นการเอารากฐานความสำเร็จเดิมๆ มาแผ้วถางทางใหม่ให้เขามากกว่า แต่ถึงกระนั้น เอกลักษณ์ที่โดดเด่นในหนังของยุทธเลิศยังคงอยู่ในหนังเรื่องนี้อย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ายุทธเลิศถือเป็นผู้กำกับหนังที่มีลายเซ็นชัดเจนมากคนหนึ่ง และเอกลักษณ์ที่เราสามารถพบได้ในหนังของเขาคือ “ความสนุกบนความลักลั่นไม่ลงตัวของหนัง” ประหนึ่งเพลงแจ๊สที่อาศัยการอิมโพรไวส์มากกว่าเพลงคลาสสิคที่มีการจัดวางองค์ประกอบไว้ชัดเจน หากโลกนี้มีผู้กำกับอย่างยาสึจิโร่ โอสุหรือสแตนลีย์ คิวบริกที่องค์ประกอบทุกอย่างในหนังต้องถูกเซ็ทขึ้นมาอย่างลงตัวเป๊ะๆ ในขณะเดียวกันก็มีผู้กำกับอีกขั้วนึงอย่างพจน์ อานนท์หรือยุทธเลิศ สิปปภาคที่ทำหนังแบบใส่ทุกอย่างที่คิดว่ามันลงมาโดยไม่คำนึงถึงความลงตัวหรือความสมบูรณ์แบบ จนอาจทำให้คนที่รักในหนังดีแบบมาตรฐานทั่วไปเกิดความไม่สบายใจ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้หนังของเขามีชีวิตชีวาถึงขีดสุด หนังเกือบทุกเรื่องของเขามีการเสียดสีสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่หนังมีการสร้างจนทำให้หนังยุทธเลิศมีสถานะเป็นเหมือนจดหมายเหตุประเทศไทยในช่วงนั้นอยู่กลายๆ (เหมือนที่หนังบุปผาราตรีเคยเสียดสี “นักเขียนฉลาดและแฟนของเขา” หรือโกยเถอะเกย์ที่เสียดสีเรื่อง “กู้ชาติ” มาแล้ว)



เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยสิ่งผิดฝาผิดตัว ทั้งประเด็นที่ขนานกันไปตลอดเรื่องอย่างความเป็นชาย – ประชาธิปไตย (นกเขาไม่ขัน-ประชาธิปไตยไม่แข็ง?) การให้เสียงพากย์โดยพันธมิตร การตั้งชื่อตอนแบบงงๆ เหมือนไม่อยากให้ใครจำได้ ซึ่งการอิมโพรไวส์เหล่านี้ มีความเสี่ยงต่อการทำให้หนังออกมาเลอะเทอะได้ แบบที่เราเห็นในบุปผาราตรี ภาค 2-3 มาแล้วแต่มือปืนดาวพระเสาร์กลับไม่ประสบชะตากรรมเหมือนหนังดังกล่าว เหตุเพราะมีการรักษาประเด็นและเส้นเรื่องไว้ได้อย่างดี ซึ่งหนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงหนังอย่างบุปผาราตรีภาคแรก ซึ่งตราบใดที่ผู้สร้างยังคงรักษาเรื่องให้อยู่ประเด็น ผู้ชมก็พร้อมที่จะสนุกไปกับมุขบุปผาปะทะหมอผีทั้งหลายที่ประดังมามากมายเหมือนไม่รู้จบได้อย่างไม่ยากเย็น



เส้นเรื่องหลักของเรื่องออกมาเป็นเส้นตรงง่ายๆ นั่นคือ 108 วิธีแก้ไขปัญหานกกระจอกไม่กินน้ำของตี๋ ซึ่งแค่โดนคริสแตะตัว หรือแค่เห็นคริสในท่าทางเซ็กซี่ก็ทำให้เกิดอาการน้ำกามหลั่งแล้ว ซึ่งปัญหานี้ส่งผลโดยตรงต่อความรักระหว่างตี๋กับคริส นั่นคือ ถ้าตี๋ต้องการที่จะพิชิตใจคริสให้ได้ เขาต้องทำให้นกเขาของเขาแข็งเสียก่อน ซึ่งวิธีที่เขาใช้รักษา มีหลากหลายแบบทั้งการแพทย์แผนจีน แผนแขก แผนโบราณ ไปถึงแผนปัจจุบัน จนถึงขั้นยอมกินน้ำปัสสาวะเพราะหวังว่าอาการนกเขาจะดีขึ้น แต่น่าเศร้าที่ยิ่งรักษานกเขาของเขาก็ยิ่งแย่ลง จากเดิมที่อาการมีแค่น้ำกามหลั่งเร็ว กลับลุกลามไปถึงขั้นนกเขาบวม มีอาการชักกระตุกน้ำลายฟูมปากเวลาเห็นหญิงสาว จนท้ายที่สุดถึงขั้นหลบเข้าไปข้างใน ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจของเพศชายที่ค่อยๆ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้ชัดจากตัวละครเอกเพศชายอาชีพมือปืนในเรื่อง (ดังที่รู้กันว่า ปืนยิ่งเสริมอำนาจความเป็นเพศชายให้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก) ที่ไร้อัตลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจน เปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย (เวลาอยู่กับนางเอก เขาบอกว่าเขาชื่อมาร์ค ซึ่งกรณีทางผู้อ่านจะนำไปตีความอย่างไรก็สุดแท้แต่ ทางผู้เขียนขอไม่แสดงความคิดเห็น) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร่าเลือนและไม่ถูกจดจำ บวกกับนิสัยการเอาแน่เอานอนถือสัจจะอะไรไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากการที่เขาหลอกลวงนางเอกว่า เขาจะมีเพศสัมพันธ์กับใครได้ก็ต่อเมื่อเขารักคนนั้นจริงๆ เพื่อกลบเกลื่อนจุดอ่อนเรื่องนกเขาไม่ขันของเขาจนทำให้นางเอกหลงเชื่อ (ทั้งที่พฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเขา ตรงข้ามกับพฤติกรรมรักจริงที่เขาบอกชนิดที่เรียกได้ว่าคนละเรื่อง) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะที่ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอลงของเพศชาย ซึ่งความอ่อนแอนี้ถูกตอกย้ำถึงขีดสุด ในตอนจบที่ตี๋ถูกตัวละครเพศหญิงใช้ปืน (ซึ่งเป็นอาวุธที่เขาถนัด)ในการทำให้เขาสยบยอม ตรงข้ามกับตัวละครหญิงอย่างคริส ที่ถึงแม้จะมีพฤติกรรมแหกคอกจากพิมพ์นิยมนางเอกแสนดีทั่วไปด้วยการชอบ One Night Stand แต่ที่จริงแล้วเธอก็ยังหลงในวาทกรรมรักแท้ (Platonic Love) ที่พระเอกพร่ำบอกกับเธอ เธอกล้าที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดในเรื่องและเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเธอเองด้วยการแก้ไขปัญหาทั้งหมดในเรื่องด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่พึ่งพาใคร ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์ของนางเอกหนังยุทธเลิศหลายๆ เรื่อง ที่แม้จะเป็นตัวละครที่ถูกกระทำจากเพศชายและสังคม แต่ก็มีบุคลิกซับซ้อนน่าสนใจ และส่วนใหญ่มีความกล้าที่จะลิขิตชีวิตตัวเอง ดังจะเห็นได้จากตัวละคร บุปผา ในบุปผาราตรี, จัน ในมือปืน โลก/พระ/จัน, นางเอกทั้งสองคนในรักสามเศร้า และนางเอกในสายล่อฟ้า เป็นต้น

ซึ่งประเด็นการสุดทางของความเป็นชายดังที่กล่าวไว้ข้างบนนั้น ดูจะเป็นเส้นขนานกับการสุดทางของการเมืองในฉากหลังเรื่อง ดังจะเห็นว่าตัวละครในช่วงต้นมองเห็นว่าการแก้ปัญหาการเมืองนั้น ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ฆ่านักการเมืองให้หมด แต่สุดท้ายตัวละครในช่วงท้ายก็ตระหนักว่า “ถ้าฆ่านักการเมืองหมดแล้วจะเหลือใครให้เราได้เลือกอีก” ซึ่งการแก้ปัญหาทางการเมืองของตัวละครในเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาเรื่องนกเขาของตี๋ ไรเฟิลนั่นคือ ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ความพยายามอยู่ที่ไหนความล้มเหลวอยู่ที่นั่น จนในที่สุดก็เข้าสู่สภาวะ “สุดทางแล้ว” ดังที่เพลงประกอบหนังเรื่องนี้ว่าไว้

กล่าวโดยสรุปคือ หนังชี้ให้เห็นถึงโลกที่เปลี่ยนแปลง และประเทศไทยที่ต่อจากนี้ไปไม่เหมือนเดิม ทั้งวาทกรรมปิตาธิปไตย (หรือความคิดชายเป็นใหญ่) ทั้งวาทกรรมที่ว่าจะแก้ปัญหาการเมืองต้องตัดตอนนักการเมืองออกจากวงจรไปให้หมด ทั้งวาทกรรมสมานฉันท์ (ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาของคริสและพ่อในช่วงต้นเรื่อง) กลายเป็นเรื่องตกยุคที่ไม่สามารถนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้เหมือนอย่างเคย ถึงแม้ว่าตัวละครรุ่นเก่าจะพยายามยื้อเวลาไม่ยอมวางมือให้คนรุ่นใหม่ อย่างจะเห็นได้ชัดจากตัวละครมือปืนตาเดียวผมยาว นักฆ่ารุ่นเก่าที่ฆ่านักฆ่ารุ่นใหม่อย่างโหดเหี้ยมเนื่องจากต้องการรักษาตำแหน่งของตัวเองให้นานที่สุด ซึ่งสุดท้ายสักวันเขาก็ต้องพ่ายแพ้แก่กาลเวลาอยู่ดี

ถึงแม้หนังจะจบลงด้วยบทเพลง สุดทางแล้ว แต่ก็ใช่ว่าหนังเรื่องนี้จะไร้ซึ่งความหวัง เมื่อนกเขาที่หลุบเข้าไปของตี๋ยังพอมีทางรักษา ความรักยังพอมีทางสานต่อ ส่วนการเมืองที่หนังไม่ได้บอกตอนจบไว้ ก็ทิ้งเป็นความหวังให้ผู้ชมว่า สุดท้ายหนทางคลี่คลายน่าจะยังมีอยู่ ในเมื่อคนรุ่นใหม่อย่างคริสได้ตาสว่าง มองออกแล้วว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่แท้จริงแล้วมัน bullshit และพึงหลีกเลี่ยงแค่ไหน

มือปืนดาวพระเสาร์ (Saturday Killer) กำกับ-เขียนบท ยุทธเลิศ สิปปภาค แสดง โหน่ง ชะชะช่า, คริส หอวัง, พิชญ์นาฏ สาขากร



Create Date : 02 มกราคม 2554
Last Update : 2 มกราคม 2554 10:36:54 น. 1 comments
Counter : 6169 Pageviews.

 
อ่านในนี้ ตัวโต อ่านง่ายกว่าใน FB


โดย: calcium_kid วันที่: 4 มกราคม 2554 เวลา:2:46:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.