ฉันเป็นดั่งนกไร้ขา บินไปบินมาไร้จุดหมาย โอกาสลงดินนั้นไซร้ ต่อเมื่อความตายมาเยือน
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

แนะนำให้ดู - "The Social Network" : You don't get to 500 million friends without making a few enemie

แนะนำให้ดู - "The Social Network"

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเวบ Poppaganda

//www.poppaganda.net/entertainment/628/

ผู้เขียนขอขอบคุณบก.ตี้ ผู้เอื้อเฟื้อพื้นที่ให้บทความนี้ครับ






ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ facebook เวบไซต์ซึ่งก่อตั้งโดยมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 6 สำหรับคนยุคใหม่ส่วนใหญ่ไปแล้ว ถัดจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย ยารักษาโรค และรถยนต์ สำคัญแค่ไหน ดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของใครหลายคนที่ตื่นเช้ามา ฟันยังไม่ทันแปรง ข้าวปลายังไม่ทันกิน กิจกรรมแรกหลังจากเช็ดขี้ตาเสร็จก็คือ เข้าไปสำรวจในเฟซบุ๊คตัวเองและเพื่อนๆ ว่า มีข่าวคาว เอ๊ย ข่าวคราวอะไรให้อัพเดทบ้าง เพื่อนที่ไปแฮงค์เอาท์ด้วยกันเมื่อคืนกลับบ้านถูกไหม ผักในฟาร์มของเราโดนขโมยหรือเปล่า ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของพี่เบิร์ดเพราะหรือไม่ คดียุบพรรคเป็นยังไง มีใครกำลังจะออกจากบ้านหรือกลับเข้าบ้าน คำคมเท่ๆ ประจำวันนี้ของพี่นักเขียนคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ทำให้เฟซบุ๊คจึงกลายเป็นนวัตกรรมเล็กๆ (ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่เล็กแล้ว) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ขึ้นชื่อว่าเป็นประเด็นที่โด่งดังและน่าสนใจแล้ว จึงไม่พลาดที่ทางพจน์ อานนท์ เอ๊ย (ขออภัย บทความนี้เขียนผิดบ่อย) ทางฮอลลีวู้ดจะหยิบเอาวัตถุดิบดังกล่าวมาดัดแปลงเป็นหนัง ซึ่งหนังที่มีเนื้อหาว่าด้วยการกำเนิดขึ้นของ facebook ก็ได้มีโอกาสเข้ามาฉายในประเทศไทยสัปดาห์นี้แล้ว หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The Social Network หรือในชื่อไทยทับศัพท์ว่า เดอะโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค (ขอบคุณพี่คนตั้งชื่อไทยมากที่ไม่ได้ตั้งชื่อหนังในแนว หักเหลี่ยมเฟซบุ๊คคนมหาประลัยล้างโลก อะไรทำนองนี้) พอบอกว่าเป็นเรื่องราวของคนคิดค้นเฟซบุ๊ค หลายคนอาจทำหน้าเอียนด้วยคาดเดาว่าหนังจะออกมาน่าเบื่อ หรือเต็มไปด้วยการบิ้ลด์อารมณ์ในฉากวีรกรรมของพระเอกในการสร้างเฟซบุ๊คตลอดทั้งเรื่อง ท่านผู้อ่านที่คิดแบบนี้จนพาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมตีตั๋วเข้าชมหนังเรื่องนี้ต้องขอบอกว่า น่าเสียดายที่ท่านกำลังจะพลาดหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดแห่งปี (อย่างน้อยก็ในคามคิดผม) เพราะตัวหนังจริงนั้นไม่ธรรมดา หนังมีลูกเล่นในการนำเสนอ ซับซ้อนหักเหลี่ยมเฉือนคม มีแง่มุมชวนคิด และสนุกชวนติดตามมากกว่าหนังแอ็คชั่นหลายเรื่องเสียอีก ซึ่งล่าสุดหนังเรื่องนี้ก็ได้ติดอันดับหนึ่งหนังแห่งปีของนิตยสาร Sight and Sound ไปเรียบร้อยแล้ว (โดยมีหนังเรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ ตามมาติดๆ เป็นที่สอง ท่านสามารถดูลิสต์รายชื่อภาพยนตร์ที่ติดอันดับทั้งหมดได้จากเวบนี้ //mubi.com/lists/18291 ) และเป็นที่คาดหมายกันว่า หนังเรื่องนี้น่าจะมีสิทธิ์ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาใหญ่ๆ อย่างผู้กำกับ บท ดารานำชาย รวมไปถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย

The Social Network ดัดแปลงมาจากหนังสือ The Accidental Billionaire ของเบน เมซริส (ปัจจุบันมีฉบับแปลไทยแล้วในชื่อว่า “แบบว่า บังเอิญรวย” โดยสำนักพิมพ์มติชน) ซึ่งเป็นหนังสือที่ถูกเขียนจากมุมมองของฝ่ายตรงข้ามกับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังเรื่องนี้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากทั้งตัวมาร์คและทางบริษัทเฟซบุ๊คอย่างสิ้นเชิง





หนังเล่าเรื่องของมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ตั้งแต่ช่วงที่เขาเพิ่งก่อตั้งเวบ facebook ขึ้นมาใหม่ๆ จนถึงช่วงที่เขากลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนี้ โดยเป็นการเล่าสลับกันระหว่างตัวเขาและเพื่อนๆ กลุ่มที่ช่วยเหลือเขาจนมีวันนี้ได้ (หนังมีการเล่าเรื่องในสไตล์หนังเรื่อง Rashomon ซึ่งพอเปลี่ยนคนเล่า มุมมองที่มีต่อเหตุการณ์นั้นก็เปลี่ยนตาม) แต่สุดท้ายมิตรภาพระหว่างเพื่อนก็จบลงเอยด้วยความขัดแย้ง โดยจุดกำเนิดของเรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ค ( เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก) อกหักจากสาวที่เขาชอบ เขาจึงแปรความโกรธแค้นเป็นพลังด้วยการทำเวบไซต์หนึ่งขึ้นมาซึ่งมีชื่อว่า facemash โดยเอารูปเพื่อนนักศึกษาหญิงที่เขาแอบดาวน์โหลดมาจากศูนย์ข้อมูลของมหาวิทยาลัยหลายรูป มาโพสต์เป็นคู่แล้วให้เพื่อนๆ โหวตกันว่าสาวคนไหนฮ็อตกว่ากัน ซึ่งลงเอยด้วยการมีผู้เข้าเวบไซต์นี้ถล่มทลายจนทำให้ระบบอินเตอร์เน็ทของมหาวิทยาลัยล่มและเขาได้รับเสียงด่าทอจากการกระทำเหยียดเพศในครั้งนี้มากมาย แต่นั่นก็เป็นการจุดประกายที่ทำให้เขาเห็นถึงประสิทธิภาพของระบบสังคมออนไลน์ บวกกับไอเดียเพิ่มเติมที่เขาได้มาจากพี่น้องฝาแฝดวิงเคิลวอสและดิฟยา นาเรนทราซึ่งชวนเขามาร่วมทำเวบไซต์ harvardconnection.com ด้วยกัน (ซึ่งตอนหลังเขาก็เบี้ยวไม่ยอมทำด้วยจนถูกคนกลุ่มนี้ฟ้องร้องเรื่องถูกมาร์คขโมยไอเดียในภายหลัง) ทำให้มาร์คได้สร้างเครือข่ายออนไลน์ที่สามารถใช้ได้เฉพาะในเครือข่ายมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเท่านั้นอย่าง the facebook ขึ้นมา (ซึ่งตอนหลัง เปลี่ยนชื่อเป็น facebook เฉยๆ) โดยเวบไซต์นี้มีความพิเศษคือ เราสามารถเห็นถึงรูป-ข้อมูล-ข้อความของคนที่เราได้โดยมีข้อแม้ว่าคนนั้นต้องอนุญาตให้เราเป็นเพื่อนก่อน โดยมาร์คได้รับความช่วยเหลือจากเอดัวโด้ แซฟเวอริน (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) เพื่อนสนิทที่สุดของเขาซึ่งให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินทุนและจัดการเรื่องทิศทางธุรกิจ เมื่อเวบไซต์ได้รับความนิยมข้ามมหาวิทยาลัย ทำให้ฌอน ปาร์คเกอร์ (จัสติน ทิมเบอร์เลค) ผู้ก่อตั้งเวบไซต์ดาวน์โหลดเพลงชื่อดังอย่าง Napster เห็นถึงศักยภาพของเวบไซต์นี้และได้เสนอตัวเข้ามาช่วยมาร์คในเรื่องการหาแหล่งทุน ซึ่งเป็นที่มาของความขัดแย้งและการทรยศหักหลังระหว่างมาร์คและเอดัวโด้ในที่สุด
ด้วยความที่เนื้อเรื่องถูกกำหนดให้เกิดขึ้นก่อนที่เฟซบุ๊คจะได้รับความนิยมถึงขนาดนี้ ทำให้ตัวหนังได้หยอดลูกเล่นต่างๆ ที่ทำให้คนเล่นเฟซบุ๊คต้องอมยิ้ม เช่น การตั้งค่า status โสด เป็นต้น นอกจากนั้น หนังยังให้ภาพที่ลักลั่นและชวนให้ขบขันมากมาย เช่น มาร์คซึ่งเป็นผู้สร้างเวบไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์กลับกลายเป็นคน Nerd ที่เข้าสังคมไม่เก่ง (ซึ่งอาจมองหนังเรื่องนี้ว่าเป็นารประกาศชัยชนะของเนิร์ดก็ได้) แถมพูดเร็วจนเพื่อนรอบตัว (รวมถึงคนดูอย่างพวกเราด้วย) ฟังแทบไม่ทันในชีวิตจริง และสิ่งที่ชวนให้รู้สึก irony คือ สุดท้ายคนที่สามารถสร้างเครือข่ายเพื่อน 500 ล้านคนทั่วโลกกลับไม่สามารถรักษาเพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของเขาได้

หากมาร์คเป็นพระเอกของเรื่องนี้ ตัวขโมยซีนตัวจริงของหนังเรื่องนี้ได้แก่ เอดัวโด้ ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ค (มิตรสหายหลายท่านของผมยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัวแสดงในเรื่องนี้หล่อน่ากินเป็นที่สุด) แม้เขาจะมีส่วนร่วมในการถือกำเนิดขึ้นมาของเฟซบุ๊คน้อยกว่ามาร์ค (พูดตรงๆ คือ ถึงไม่มีเอดัวโด้ เฟซบุ๊คก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้ถ้าไม่มีมาร์คก็ไม่มีทางที่เฟซบุ๊คจะเกิดขึ้นมาได้) แต่เขาก็เป็นคนที่คอยช่วยเหลือมาร์คและผลักดันให้เวบไซต์นี้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างสุดฝีมือ ชะตากรรมของเขาในตอนท้ายจึงสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ชมถึงขีดสุด
สิ่งที่โดดเด่นในเรื่องนี้ คือ การที่ตัวละครทุกตัวในเรื่องไม่มีใครดีจัดหรือเลวจัดจนทำให้คนดูสามารถเชียร์ได้อย่างเต็มที่ ตัวละครทุกตัวล้วนแต่มีความเป็นมนุษย์ มีแง่มุมเห็นแก่ตัวกันทั้งสิ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวละครทั้งหลายในเรื่องนี้สามารถสะท้อนถึงคนในเจเนเรชั่นนี้ได้อย่างลงตัว นั่นคือ หลงทาง บวกกับต้องการความรักและความเคารพนับถือ ซึ่งนั่นทำให้ในอนาคต หนังเรื่องนี้มีสิทธิ์ถูกพูดถึงในฐานะหนังของยุคสมัย 2010 (เช่นเดียวกับที่หนังอย่าง Easy Riders กลายเป็นหนังที่สื่อถึงยุคสมัยฮิปปี้ช่วง 1960 ได้อย่างลงตัว)

ตัวมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ค ยังสะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของ American Dream ที่ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาว ตัวละครมาร์คเหมือนเป็นเวอร์ชั่นอัพเดทของชาร์ล ฟอสเตอร์ เคนจากหนังเรื่อง Citizen Kane (หนังคลาสสิคที่นักเรียนหนังทุกคนต้องเคยดู) ดังจะเห็นได้จาก สิ่งที่พระเอกทุ่มเททำไปทั้งหมดนั้นเป็นผลมาจากปมในจิตใจบางอย่างของเขา และสุดท้ายเมื่อเขาประสบความสำเร็จ กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน มีพร้อมทุกอย่างแล้ว เขากลับไม่สามารถใช้เงินซื้อในสิ่งที่เขาต้องการนั่นคือ ความรัก ได้เลย

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว คงต้องยอมรับคนอเมริกันอย่างหนึ่ง นั่นคือ เรื่องความใจกว้าง ด้วยหนังชีวประวัติเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาในตอนที่เจ้าของเรื่องยังไม่ตาย (หนังอเมริกันเชิงชีวประวัติที่ไม่ได้สร้างจากชีวิตคนที่ใกล้เสียชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว ล่าสุดที่ผมคิดออกก็มีแต่ W หนังชีวประวัติจอร์จ ดับยา บุชของผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตนเท่านั้น) อีกทั้งผู้สร้างยังใส่ความดราม่าและแง่มุมเลวร้ายให้กับตัวละครชื่อดังอย่างครบครัน จึงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเรื่องนี้เหตุเกิดที่ประเทศไทย หนังเรื่องนี้คงไม่มีโอกาสถูกสร้างขึ้น ถือถ้าเกิดมีการสร้างขึ้นจริงก็คงมีท่าทีซาบซึ้งในวีรกรรมของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ไม่ออกมาแซ่บเผ็ดร้อนเหมือนเวอร์ชั่นนี้เป็นแน่ (ซึ่งนั่นถือเป็นปัญหาของการไร้ซึ่งคุณภาพของหนังไทยในยุคหลังๆ ซึ่งอิงกับลักษณะ “บ้าศีลธรรมอันดี” ของสังคมไทย เนื่องจากหนังจะออกมาดีส่วนหนึ่งเกิดจากลักษณะของการวิพากษ์สังคมและตัวละครที่เป็นสีเทา ซึ่งเราไม่มีทางเจอลักษณะแบบนี้ในหนังไทยที่ขนาดการกินเหล้าในหนังยังถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงในสายตาของกองเซนเซอร์)

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของเดวิด ฟินเชอร์ซึ่งดูจากองค์ประกอบโดยรวมแล้ว ต้องถือว่านี่ถือเป็นหนังในระดับท็อปฟอร์มของเขา หนังออกมาไม่น่าเบื่อ ชวนให้ติดตาม มีเทคนิคที่น่าสนใจ มีการเล่าเรื่องซึ่งตัดสลับอดีตและปัจจุบันได้อย่างไหลลื่นและไม่สับสนซึ่งชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Slumdog Billionaire ทีได้ออสการ์หนังยอดเยี่ยมเมื่อ 2 ปีก่อน คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเขาเป็นผู้กำกับอเมริกันยุคใหม่ที่น่าสนใจที่สุดในยุคนี้คนหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า สไตล์การกำกับของเขาดูจะไปได้ดีกับเนื้อเรื่องแนวมืดๆ นัวร์ๆ อย่าง Seven, Fight Club หรือ Zodiac มากกว่าหนังแนวฟีลกู้ดสดใส (ซึ่งนั่นก็ทำให้หนังอย่าง The Curious Case of Benjamin Button ของเขาที่ได้ชิงออสการ์เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นหนังที่ผมชอบน้อยที่สุด ในบรรดาหนังทุกเรื่องของเขา) สไตล์การกำกับของเขาทำให้หนังเรื่องนี้ที่ถึงแม้ฉากส่วนใหญ่จะเป็นฉากคนคุยกันหรือฉากคนพิมพ์อะไรยุกยิกหน้าคอมพิวเตอร์เรื่องนี้ กลับชวนให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและสัมผัสถึงบรรยากาศกดดันได้ดีกว่าหนังแอ็คชั่นที่มีคนถือปืนไล่ยิงกันหลายเรื่องเสียอีก
แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ช่วยยกระดับหนังเรื่องนี้ขึ้นมาจากหนังโชว์เทคนิคธรรมดา ได้แก่บทภาพยนตร์ของอารอน ซอร์กิน ผู้เคยฝากผลงานไว้จากซีรีย์ระดับรางวัลอย่าง The West Wing (เป็นซีรีย์ที่สนุกมาก ใครที่ชอบซีรีย์แนวการเมือง ห้ามพลาด) แม้ตัวละครในเรื่องจะพูดกันเร็วเป็นจรวดจนอ่านซับแทบไม่ทัน แต่บทพูดในเรื่องล้วนหักเหลี่ยมเฉือนคม ชวนให้ตีความต่อ และเต็มไปด้วยมุขตลกร้ายที่ขำจริงอะไรจริง

นอกจากนั้นแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างการตัดต่อ การออกแบบฉาก และดนตรีประกอบหนังที่ชวนให้รู้สึกระทึกใจยิ่งกว่าหนังเขย่าขวัญเรื่องไหน ก็อยู่ในระดับสุดยอดและช่วยทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ถ้าพลาดต้องถือว่าเป็นบาป สำหรับท่านผู้อ่านที่รักหนังทุกท่าน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ต้องตื่นเช้าเพื่อมาอัพสเตตัส เป็นคนที่ต้องรีบกลับบ้านมาเก็บผักในเกมทุก 3 ชั่วโมง หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้จักมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์คหรือเฟซบุ๊คเลยก็ตาม




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2553
4 comments
Last Update : 16 ธันวาคม 2553 8:28:56 น.
Counter : 4626 Pageviews.

 

ไปดูแล้วครับ

 

โดย: อัสติสะ 16 ธันวาคม 2553 8:44:12 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: นนนี่มาแล้ว 16 ธันวาคม 2553 10:28:42 น.  

 

หนังดีครับ

 

โดย: joblovenuk 16 ธันวาคม 2553 23:09:28 น.  

 

ดูมาแล้ว หนังดีครับ

 

โดย: คนขับช้า 21 ธันวาคม 2553 1:01:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ฟ้าดิน
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ความจำสั้น ความฝันยาว.....
Friends' blogs
[Add ฟ้าดิน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.