Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
20 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
บทที่ 10 อีกเสี้ยวของความคิด [ถึง]

ภาพบรรยากาศภายนอกที่เคลื่อนไหวผ่านตาไปหลายต่อหลายฉากเพราะรถยนต์คันสวยที่กำลังขับเคลื่อนพุ่งตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ผมเองไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวมานานสองนานได้ รอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกอิ่มเอมใจและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะทุ่งหญ้าด้านนอกที่เขียวชอุ่ม เพราะต้นตาลสูงละลิ่วที่โอนเอนพลิ้วไหวตามสายลมเอื่อย เพราะนกพิราบสีขาวตัวใหญ่ที่พากันเดินเล่นไปมาอยู่บนทุ่งนาสีสวยสดซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนเมืองกรุงทุกคนได้เห็นแล้วรู้สึกปิติยินดีชื่นชมกับธรรมชาติที่ดูสดชื่นของมัน หรืออาจเพราะ.....

เรื่องบางเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใส่เอาไว้ในหัวสมองโดยที่มิอาจจะบังคับให้เลิกนึกถึงมันได้...

“พ...พี........พีรวิชญ์”

ลำคอที่พลันแห้งผากไปชั่วขณะทำให้ยากต่อการเปล่งเสียง ผมอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง สายตาเลื่อนลอยอย่างไร้จุดหมายเพราะกำลังตกใจและมึนงงกับเสียงปลายสายที่โทรเข้ามาแจ้งข่าวร้ายที่ทำให้หัวใจของผมต้องกระตุกอย่างแรง

“ละ..แล้วเค้าเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ตอนที่เค้าอยู่ที่ไหน”

ทันทีที่เสียงคู่สนทนาตอบกลับมาผมก็รีบกดวางสายแล้วพุ่งตัวออกจากห้องไปยังที่ที่หัวใจของผมเรียกหา ที่ๆผมรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเค้าขึ้นมาจริงๆหัวใจของผมนั่นแหละที่จะต้องเจ็บก่อน เพราะ..เพราะหัวใจของผมอยู่ที่เค้า

“ไม่น่าเกินสองอาทิตย์” ผมพูดตามคนที่อยู่ปลายสายก่อนที่จะสิ้นสุดบทสนทนา
“ครับ ยังไงช่วยจัดการด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

หลังจากที่ผมคุยกับทางบริษัทประกันรถยนต์เรื่องการจัดการนำรถของพีรวิชญ์เข้าไปเคลมที่ศูนย์เรียบร้อย จิตใจของผมก็จดจ่ออยู่บนท้องถนนที่แสนจะติดขัดและไม่เอื้อต่อการเดินทางอันเร่งรีบของผมซักเท่าไหร่ เป็นครั้งแรกที่คนใจเย็นอย่างผมจะรู้สึกถึงความชักช้าอืดอาดของรถแท็กซี่ที่ผมกำลังนั่งอยู่ เส้นทางที่แออัดยัดเยียดไปด้วยการจราจรที่แน่นขนัดยิ่งทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวายใจ ทำไมรถถึงต้องมาติดเอาตอนนี้ด้วยนะ! ผมชะโงกหน้าไปเร่งพนักงานขับรถอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากคำตอบว่า “กรุงเทพมันก็อย่างี้แหละครับคุณ” ให้ตายเถอะ ผมไม่ได้อยากรู้นะว่าถนนในกรุงเทพโดยปรกติมันเป็นยังไง สิ่งที่ผมอยากรู้ในตอนนี้ก็คือ ทำยังไงผมถึงจะสามารถพาตัวเองไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดได้ ในเมื่อตอนนี้หัวใจของผมมันวิ่งนำร่างกายไปถึงยังจุดหมายเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าตัวของผมยังคงติดแหงกอยู่กับการจราจรอันน่าเวียนหัวบ้าบอนี่ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือ ยื่นเงินให้กับคนขับแล้วเปิดประตูลงไปจากรถ ก้าวขึ้นซ้อนรถจักรยานยนต์รับจ้างที่จอดอยู่ไม่ไกลหวังว่าขนาดที่เล็กย่อมของมันจะสามารถขับซอกแซกพาผมไปยังจุดหมายได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น และในที่สุดร่างกายของผมก็วิ่งมาถึงจุดๆเดียวกับหัวใจจนได้...

“ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกับคนไข้คะ”

“เอ่อ..ญาติครับ”

“อ๋อค่ะ เดี๋ยวรบกวนนั่งรอซักครู่นะคะ แค่หัวแตกนิดหน่อยเท่านั้น ทำแผลซักครู่ก็เสร็จ จากนั้นก็รับยาพากลับบ้านได้ค่ะ”

เฮ้อ...

ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าผมถอนหายใจออกไปดังมากแค่ไหน รู้สึกโล่งใจกับคำอธิบายจากปากของคุณพยาบาล ในที่สุดผมที่เริ่มสลบจิตสงบใจของตัวเองได้ก็ยอมที่จะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้เพื่อรอให้คนที่ผมเป็นห่วงออกมาจากการปฐมพยาบาล

ฉับพลันสมองของผมก็ดันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้นมา เสียงของเค้าที่ตะคอกใส่หน้าผมเพื่อประชดแดกดันเรื่องพี่นิคมันทำให้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่มีอยู่ลึกๆลอยขึ้นมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง อีกทั้งยังภาพของคุณไอริน หญิงสาวแสนสวยที่คอยยืนพะเน้าพะนอเคียงข้างพีรวิชญ์มาตลอดวันนี้ทั้งวัน หรือบางที...พีอาจจะดีใจมากกว่าก็ได้ ถ้าคนที่เค้าออกมาจากการทำแผลแล้วได้เห็นเป็นคนแรก คือผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่แสนจะรวยเสน่ห์คนนั้น..

ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า ในเมื่อเค้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว..จะมีประโยชน์อะไรที่ผมจะต้องมาอยู่ที่ด้วยล่ะ อีกทั้ง...เค้าเองก็คงจะยังโกรธผมอยู่ แต่ผมก็เดินไปไหนไม่ได้ไกลเพราะเสียงเรียกจากคุณพยาบาลคนเดิม

“คุณคะ คุณ จะไปไหนคะ..”

ผมหันหน้ากลับไป ตั้งใจจะบอกกับเค้าว่า “เค้าโตแล้ว คงจะกลับบ้านเองได้” แต่แล้วภาพที่ผมเห็นก็ปิดปากผมเสียจนเงียบสนิท พีรวิชญ์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นถูกนำออกมาในสภาพที่ยังคงไร้สติ ผมรีบปราดเข้าไปหาด้วยสีหน้างุนงง

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะครับ ก็ไหนว่าไม่เป็นอะไรมากไง”

พยาบาลคนนั้นยิ้มกว้างให้ผมด้วยไมตรี ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้ผมคลายกังวล

“ดิฉันลืมบอกไปน่ะค่ะ ว่าเค้าเมาด้วย”

เมา ???

“ตกลงว่าที่เค้าขับรถไปชนกับต้นไม้เนี่ยก็เพราะว่าเค้าดื่มอย่างนั้นเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ หรือว่าคุณจะให้เค้าพักที่โรงพยาบาลก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านดีคะ แต่จริงๆแล้วเค้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พากลับบ้านไปดูแลตามปรกติพรุ่งนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะค่ะ”


ผู้ชายสองคนที่กอดคอกันกลมขึ้นคอนโดในสภาพทุลักทะเลคงจะไม่ใช่ภาพที่น่ามองซักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องมาสนใจในเวลานี้ ในเมื่อคนข้างๆผมยังคงหลับไม่ได้สติ ผมประคองร่างของเค้าเข้ามาในอาคารอย่างชนิดที่เรียกว่า‘เหนื่อย’ และต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว ขายาวๆของเค้าที่เดินเซไปเซมาคล้ายกับว่าทรงตัวไม่อยู่นั้นยิ่งสร้างความยากลำบากให้กับผม ตัวที่โตกว่าผมบางครั้งก็ทำท่าเหมือนจะเซถลาล้มมาทับจนผมแทบจะยืนประคองเอาไว้ไม่ไหว แต่ยังไงก็ช่าง สุดท้ายผมก็พาเค้ามาถึงห้องจนได้.....

“ทำไมถึงได้ตัวหนักอย่างนี้นะ”

“นี่!! อย่าทับมาสิ มันหนักนะ!!”

ผมพูดในขณะที่ร่างของเค้าเอนเข้ามาหาในลักษณะที่แทบจะกอดผมเอาไว้ ผมดันเค้าออกแล้วใช้ความพยายามอีกครั้งเพื่อลากเค้าขึ้นไปบนห้องนอน แต่พอประตูห้องถูกเปิดออกมาได้ไม่ทันไร ร่างของเค้าก็เซลงมาดันจนผมถอยร่นไปติดกับผนัง ร่างสูงๆของเค้าเบียดจนผมแทบจะเข้าไปสิงในกำแพงได้อยู่แล้ว กลิ่นแอลกอฮอล์ที่อยู่ในตัวเค้าแรงเตะจมูกจนอดไม่ได้ที่นึกอยากจะเวียนหัวแทน กินไปได้ยังไงเยอะขนาดนี้ ผมออกแรงดันตัวเค้าให้ออกไปไกลๆ แต่ไหงใบหน้าของเค้ากลับเขยิบใกล้เข้ามาเสียได้ แก้มอุ่นๆของเค้าถูไถกับจมูกของผมอย่างไม่ได้ตั้งใจจนผมเองรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งตัว ยิ่งออกแรงดันผมก็เหมือนจะอุปมาได้ว่าตัวเค้าก็ยิ่งหนักขึ้นเหมือนกำลังแข็งขืนผมอยู่ นี่เค้ากำลังแกล้งผมอยู่รึเปล่าเนี่ย ถ้าเค้าไม่ได้เมานะผมอาละวาดแน่ แต่เห็นสภาพเค้าแล้วก็ต้องยอมๆไม่ถือสา ออกแรงเฮือกสุดท้ายผลักจนเค้ากระเด็นไปนอนอยู่บนเตียง

เฮ้อ.... เหนื่อยชะมัด

“อ้าว! เฮ้ย!!~ ปล่อยนะ ปล่อย!!”

ก็ไอ้บ้าพีน่ะสิ ผมแค่จะเดินเข้าไปดูใกล้ๆว่ายังหายใจดีอยู่มั้ย อยู่ๆคนไร้สติ? ก็กระชากมือผมจนล้มลงไปนอนทับเค้า หน้าของผมซุกลงไปบนอกของเค้าพอดิบพอดี ผมรีบดันตัวเองให้ลุกออกจากร่างที่สลบเหมือดอยู่บนเตียงแต่ก็กลับทำไม่ได้ เค้ายกแขนขึ้นมารวบผมเอาไว้จนกระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้เลย แล้วสุดท้ายก็ตามสเต็ปเก่าๆที่ผมเคยเห็นตามละครน้ำเน่าทั่วไป เค้าพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน ผมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไอ้บ้านี่มันเมาจริงรึเปล่าเนี่ย!! ผมพยายามดิ้นให้ตัวเองหลุดออกจากการกดทับของคนตัวโต แต่เค้าก็เอาข้อศอกมากั้นผมเอาไว้ไม่ให้พลิกตัวหนีไปไหนได้ แถมยังส่งยิ้มกรุ้มกริ่มกับสายตาเยิ้มๆนั้นมาให้อีก

“คุณเมาจริงรึเปล่าเนี่ย ออกไปนะ!!” มือของผมดันหน้าอกของเค้าจนสุดกำลังแต่ก็ไม่เป็นผล หนำซ้ำใบหน้าคมคายนั้นยังก้มลงมาใกล้ผมขึ้นไปอีก มือไม้ของผมทุบรัวๆลงไปตามตัวของเค้าไปทั่วไม่ว่าจะเป็นแขน หัวไหล่ หน้าอก เพื่อให้ตัวเค้าเลิกแกล้งผมซะที

“เอาจมูกออกไปนะ~!! นี่!!” ผมพูดขึ้นเมื่อเค้าฝังจมูกลงมาที่คอ ไม่แค่นั้นยังซุกไซร้มันลงมาที่ข้างหู แก้ม แล้วก็หัวไหล่ของผมอีก ทีนี้มือของผมก็เริ่มจะหาเป้าหมายที่แท้จริงได้ว่ามันควรจะจัดการกับใบหน้าที่ซุกซนของเค้าเสียมากกว่า ผมจึงใช้มือดันหน้าเค้าให้ออกไปห่างๆ แต่กลับถูกเค้าจูบหนักๆลงบนฝ่ามือของผมแถวยังคว้าข้อมือของผมไปรวบเอาไว้ทั้งสองข้างอีก นี่มันอะไรกัน ไหนหมอบอกว่าเมาอยู่ไง ทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้ แถมยังดื้อด้านเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกับตอนปกติไม่มีผิด! ผมกระเสือกกระสนสุดชีวิต สุดท้ายเท้าของผมที่พอจะสามารถหาพื้นที่ยกมันขึ้นมาได้ก็จัดการยันที่ตัวเค้า แล้วออกแรงถีบจนสุดกำลัง

ตุ้บ!!

“โอ๊ย!!!”

ผมหายใจหอบด้วยความเหนื่อยที่ต้องสู้กับแรงเจ้าเล่ห์ของคนเมา รีบยันตัวเองลุกขึ้นไปดูสภาพคนที่ถูกผมถีบจนกลิ้งตกไปอยู่ที่พื้น พีรวิชญ์นอนขดเป็นกิ้งกือ ตัวงอเสียราวกับว่าเจ็บปวดมากมาย หึ! ผมเคยถูกเค้าแกล้งเจ็บแบบนี้มาแล้วครั้งนึง คราวนี้ผมไม่หลงกลคุณง่ายๆหรอก ก็แค่ถีบเข้าไปที่ท้องจะเจ็บซักแค่ไหนกัน ไม่ได้ถีบโดน...เอ๋! เค้าใช้มือทั้งสองข้างกุมจุดบอบบางที่สุดของร่างกายที่มนุษย์ผู้ชายทุกคนบนโลกพึงจะต้องทะนุถนอมเอาไว้ด้วยใบหน้าซีเซียวหรือพูดง่ายๆมันออกจะเขียวจัดซะมากกว่า รึว่า..รึว่าผมถีบไปโดน..
ผมอึ้งไปเล็กน้อยเพราะผมเองก็รู้ดีว่าจุดนั้นเป็นจุดที่ควรต่อการทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่งมากแค่ไหน แค่เพียงโดนกระแทกกับอะไรเล็กน้อยก็เจ็บเสียจนปางตายแล้ว แล้วนี่ผมใช้กำลังถีบมันเข้าไปจนเต็มแรง...

โถ..น่าสงสาร...

ผมนึกตกใจได้เพียงชั่วครู่เท่านั้นแหละ ไม่นานความรู้สึกตลกขบขันก็เข้ามาแทนที่ ผมปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาอย่างสะใจ สมน้ำหน้า...ฉวยโอกาสแม้กระทั่งตอนเมา จากนั้นร่างที่นอนคุดคู้อย่างจะเป็นจะเป็นจะตายเมื่อครู่ก็สงบนิ่ง ดวงตาคมเข้มที่เยิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์และแสดงอาการปวดร้าวเมื่อกี๊ปิดลง ผมมองพีรวิชญ์ที่แน่นิ่งไปคล้ายว่าจะหลับไปด้วยความเมามากกว่าด้วยแรงถีบ เดินเข้าไปใกล้แล้วใช้ปลายเท้าสะกิดๆแต่ก็ไม่มีการตอบรับ จะมีก็เพียงเสียงงึมงำๆในลำคอเหมือนคนเมาทั่วๆไป ผมลากเค้าขึ้นมานอนบนเตียงอีกครั้ง ค่อยๆใช้ผ้าขนหนูสีขาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำสะอาดสัมผัสไปที่ใบหน้าเพื่อช่วยให้สบายเนื้อสบายตัวขึ้น ใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์น้ำเมาดีกรีสูงทำให้ใบหน้าหล่อๆของเค้ามีสภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย ที่มุมปากยังปรากฏให้เห็นถึงรอยช้ำเลือดช้ำหนองจากการฟาดฟันกับพี่นิคในวันนี้ได้อย่างชัดเจน ผมใช้ผ้าอีกผืนเช็ดเลือดที่ซึมอยู่ออกอย่างเบามือ หยุดการเช็ดตัวเอาไว้ชั่วครู่ อุปกรณ์ทำแผลกล่องใหญ่ถูกนำออกมาใช้งาน เริ่มจากการล้างแผลให้สะอาดเสียก่อนจากนั้นก็ใช้น้ำอุ่นประคบให้หายบวมโดยระวังไม่ให้กระทบกับปากแผล และปิดท้ายด้วยการทายาเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น

“เพราะผมแท้ๆเลยคุณถึงเป็นแบบนี้ ผมขอโทษ” นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่นั้นน้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงแค่เห็นสภาพของเค้าในตอนนี้ สภาพเมามายไร้สติ สภาพใบหน้าที่มีแผลฟกช้ำ ผมยื่นปลายนิ้วมือไปแตะที่แผลนั้นเบาๆด้วยความรู้สึกสงสาร ก่อนจะเผลอเกลี่ยไปที่แก้มของเค้าไปมาราวกับว่าจะปลอบประโลมเด็กน้อยที่กำลังเสียใจจนต้องพาตัวเองไปดับความเจ็บช้ำโดยการดื่มด่ำกับแอลกอฮอล์ อยู่ๆมือของพีก็คว้ามือของผมเอาไว้ พร้อมกับเสียงงึมงำฟังไม่ค่อยจะได้ศัพท์ที่ครางออกมาจากลำคอ ผมนิ่ง เพื่อตั้งใจฟัง

“ผมขอโทษ ก้อง ผมขอโทษ”

หยดน้ำใสๆที่ไหลระรินออกมาจากหางตาของพีทำให้ผมอดกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ปลายนิ้วของผมเช็ดไปที่หางตาของเค้าก่อนจะทำแบบเดียวกันที่หางตาของตัวเอง พีบีบมือของผมไว้แน่น แนบมันไว้กับข้างแก้มที่ร้อนผ่าวของตัวเองเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังเรียกร้องความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ผมปล่อยเลยตามเลยให้เค้าจับมือเอาไว้แบบนั้น พยายามใช้มือข้างเดียวที่เหลือในการเช็ดตัวให้เค้าต่อ แต่รู้สึกว่ามันลำบาก แต่ผมไม่สามารถบิดผ้าด้วยมือข้างเดียวได้ สุดท้ายผมก็ต้องค่อยๆดึงข้างนั้นให้ออกจากการจับกุมของพี

“พี ปล่อยก่อนนะ” ผมเริ่มออกเสียงเบาๆเมื่อเค้ายังจับมันเอาไว้แน่น แล้วเริ่มออกแรงอีกนิด

“พี ปล่อยก่อนได้มั้ย” ผมเร่งให้เสียงดังขึ้นเล็กน้อย ใช้มืออีกข้างที่ว่างมาช่วยแกะมือของเค้าออก ทำไมถึงจับแน่นอย่างนี้เนี่ย

“พี แบบนี้ผมเช็ดตัวให้คุณไม่ได้” ผมเริ่มงอแงเมื่อเค้าไม่ยอมปล่อยเสียที แล้วถ้าผมไม่ได้อุปมาไปเอง ผมรู้สึกว่าแรงจับมันจะแน่นขึ้นด้วย ตกลงคุณหลับจริงรึเปล่าเนี่ยฮะ!?!!

คราวนี้ผมลองยืนขึ้นแล้วใช้ขาข้างหนึ่งยันกับขอบเตียงเอาไว้เพื่อเพิ่มแรงดึง มืออีกข้างก็แกะมือเค้าออก สุดท้ายแรงดึงของคนที่นอนหลับไม่มีสติ?อยู่บนเตียงก็ทำให้ผมเซลงไปนอนอยู่ข้างๆ

“เฮ้ย!! ” จะอะไรซะอีก ก็ไอ้บ้านี่สิรวบผมเข้าไปกอดเอาไว้จนแน่น จับหัวผมให้ซุกลงไปกับอกอุ่นๆของเค้า ปลายคางก็กดลงกับศีรษะของผม ยกขาข้างนึงขึ้นมาก่ายผมเอาไว้แทบจะทั้งตัว มือใหญ่ของเค้าลูบผมของผมไปมาๆ ผมขยับตัวเพื่อให้ออกจากการเป็นหมอนข้างของคนเมาแต่พีรวิชญ์กลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนสุดท้ายผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลย กว่าผมจะหลุดจากการเป็น‘หมอนข้าง’ของเค้าได้ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง หลังจากที่รอให้เค้าหลับสนิท ผมถึงได้ค่อยๆขยับตัวเองออกมาและเริ่มทำการเช็ดตัวให้เค้าอย่างจริงจังเสียที

“เฮ้อ!..”

ตีห้าแล้ว ว่าไปผมก็ชักจะง่วงแล้วเหมือนกันนะ ทำไมคุณถึงดื้ออย่างนี้เนี่ย ถ้านอนนิ่งๆแบบนี้ตั้งแต่แรกก็เสร็จไปตั้งนานแล้ว ผมเริ่มปลดกระดุมกระดุมเสื้อเชิ้ตของเค้าแล้วถอดมันออกเพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนให้ ไม่ลืมที่จะใช้ผ้าขนหนูที่ชุ่มน้ำสะอาดเช็ดตัวให้เค้า มือของผมที่เลื่อนไปมาอยู่ที่แผงอกกว้างโดยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวกั้นเอาไว้ระหว่างมือผมกับอกแกร่งที่เปลือยเปล่าทำให้ผมเกิดอาการร้อนๆหนาวๆแปลกๆ อยู่ๆใจก็เต้นคล้ายว่าจะออกมาระเบิดอยู่ข้างนอก ใบหน้าร้อนผ่าว ผมรีบๆเช็ดแล้วรีบๆเอาเสื้อนอนมาเปลี่ยนให้ ต่อไปก็ท่อนล่าง...

เข็มขัดหนังยี่ห้อดีถูกปลดออกอย่างเบามือ ถ้าพีตื่นมาตอนนี้นะเค้าจะต้องคิดอะไรไม่ดีแน่ๆเลย จากนั้นกางเกงขายาวก็หลุดออกมาจากเรียวขาแข็งแรง เอิ่ม...ส่วนกางเกงใน..เอาไว้คุณตื่นมาแล้วเปลี่ยนเองก็แล้วกันนะ ผมรีบใส่กางเกงที่เข้าคู่กับเสื้อนอนเมื่อครู่ให้อย่างลวกๆโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองมาที่เค้า ถึงผมกับเค้าจะแต่งงานกันแล้วและผมกับเค้าเองก็คงจะเคยเห็นอะไรของกันและกันมาจนหมดไส้หมดพุงแล้ว แต่สำหรับผมซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่จำเรื่องราวในตอนนั้นไม่ได้ คงจะไม่แปลกที่จะไม่อยากเห็นมันในตอนนี้

ผมหาววอดออกมาก่อนจะนั่งลงที่ข้างเตียงเพื่อให้ถนัดต่อการใช้ผ้าขนหนูเช็ดลำแขนอีกข้างที่เหลือ เรื่องราวอันวุ่นวายในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกเพลียและล้าไปหมด อีกทั้งแรงกายเฮือกสุดท้ายของผมมันคงจะหมดไปตั้งแต่ตอนที่ผมเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเพื่อรอให้เค้ากลับมาตอนเกือบจะตีสามด้วยกระมัง ผมหาวขึ้นมาอีกครั้ง สะบัดหัวเพื่อไล่ความง่วงงุน ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย เช็ดตัวให้พีเสร็จก่อนหลังจากนั้นก็คงจะได้ไปจัดการกับตัวเองเสียที..แต่ว่า...
ตอนนี้ตาของผมมันชักจะปรือเต็มที่แล้ว เหมือนภาพตรงหน้ามันลางเลือนลง ก่อนจะดับมืดเป็นสีดำเพื่อพาให้ผมเข้าสู่ห้วงนิทรา....



“ก้อง...ก้อง”

เสียงครางเรียกเบาๆของคนที่หลับอยู่บนเตียงปลุกให้ผมต้องตื่น ผมรีบลุกขึ้นไปดู และแล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมตกใจจนแทบจะเสียสติ พีรวิชญ์นอนส่ายหน้าไปมาพลางขมวดคิ้วแน่นคล้ายกับกำลังฝันร้าย และสิ่งที่ทำให้ผมแทบอยากจะกรีดร้องออกมานั่นก็คือน้ำสีแดงเข้มที่ไหลออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างของพี ผมทำอะไรไม่ถูกยิ่งไปกว่าเก่าเมื่อเค้าใช้สองมือยกขึ้นกุมขมับตัวเอง พร้อมกับอาการกระสับกระส่ายและแข้งขาที่เริ่มสะบัดดิ้นพรวดพราดเหมือนกับคนที่กำลังเจ็บปวดเจียนตาย ผ้าห่มที่จากเดิมมันถูกเลิกออกมาอยู่ที่ปลายเท้าเพราะผมหลับไปเสียก่อนจะได้คลุมมันให้กับเค้าบัดนี้ถูกถีบเสียจนกระเด็นกระดอนจนมันตกลงไปอยู่ที่พื้น ผมรีบขึ้นไปโอบกอดเค้าเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนก ใช้ปลายนิ้วมือเช็ดเลือดที่จมูกของเค้าออกแต่เค้ากลับดิ้นพรวดพราดรุนแรงไม่ยอมให้ผมได้เข้าใกล้ วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่สติอันที่มีเหลือเพียงน้อยนิดของผมพอจะนึกได้นั่นก็คือการโทรศัพท์เรียกให้รถพยาบาลมารับ

“พี อย่าเป็นอะไรนะ ....” ผมที่นั่งอยู่เคียงข้างเค้าบนรถพยาบาลได้แต่พร่ำบอกคำเดิมๆอยู่อย่างนั้น พีรวิชญ์คว้ามือผมเอาไว้แน่นราวกับว่ากลัวว่าผมจะหายไปไหน

“ก้อง คุณอย่าทิ้งผมไปไหนนะ คุณอยู่กับผมนะ ผมกลัว ก้อง” พีละล่ำละลักบอกผมด้วยเสียงที่สั่นเครือ กวาดสายตามองไปรอบๆคล้ายกำลังหวาดวิตก หายใจหอบไม่ต่างจากคนที่จวนเจียนจะขาดใจ

“พี ผมอยู่นี่ ผมอยู่นี่ครับ”

“เข้าไม่ได้นะคะ เข้าไม่ได้ ญาติรออยู่ข้างนอกนะคะ” เหมือนภาพที่เคยเห็นบ่อยๆตามละครทีวีทั่วไป ญาติที่เดินกึ่งวิ่งมาพร้อมกับเหล่าบุรุษพยาบาลและนางพยาบาล พลางจับมือคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้ พร่ำบอกคำปลอบประโลมต่างๆว่า ‘อย่าเป็นอะไรนะๆ’ ก่อนจะต้องมาหยุดยืนเพียงลำพังอยู่ที่หน้าห้องไอซียู มองดูเตียงที่ถูกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเข็นเข้าไปเพื่อทำการรักษา แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจาก...รอคอย...

ผมทรุดตัวนั่งลงกับเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดแรง น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้มานานหลายนาทีถูกปล่อยออกมาเป็นทางหยดแล้วหยดเล่าจนชื้นแฉะเต็มข้างแก้ม ก่อนที่มันจะหายไปชั่วครู่ด้วยมือที่ยกขึ้นมาปาดมันออก แต่ไม่นานน้ำตาหยดใหม่ก็ไหลออกมาอีก และคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกว่าผมจะได้พบกับเค้า...ที่ออกมาจากห้องฉุกเฉินในสภาพที่ปลอดภัย..


สัมผัสบริเวณแก้มทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ผมค่อยๆลืมตาขึ้นทำให้ได้พบกับว่าเหตุการณ์เลวร้ายน่ากลัวเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน ฝันร้ายที่ทำให้ผมหวาดผวาและเฝ้าภาวนาว่าอย่าได้มีวันเกิดขึ้นจริง ผมเงยหน้าขึ้นไปพบกับพีรวิชญ์ที่ตื่นแล้วและเค้าก็กำลังมองผมอยู่ มือเจ้าของสัมผัสบางเบาที่แก้มของผมก็คือเค้าเอง ผมรีบคว้ามือของเค้าเอาไว้ด้วยความดีใจ

“พี คุณฟื้นแล้ว” ผมรีบพาตัวเองขึ้นไปนั่งข้างๆ ประคองให้พีลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง พีฟื้นแล้ว...แค่เห็นภาพเค้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมแบบนี้ผมก็รู้สึกดีใจอย่างที่สุดแล้ว เพียงนึกถึงความฝันอันเลวร้ายเมื่อครู่มันก็ทำให้หัวใจของผมรู้สึกเหมือนถูกบีบจนใกล้จะสลาย หากฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมา..ผมยังคิดภาพไม่ออกเลยว่าตัวผมจะเป็นอย่างไร


“ร้องไห้ทำไมครับ หืม” พีถามพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน รู้สึกผิด..ตอนนี้ผมรู้สึกผิดเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะผมพีก็คงไม่ต้องดื่มเหล้าเมามายเสียจนทำให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้


“ผมขอโทษนะพี ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องแบบนี้ คุณรู้มั๊ยผมกลัวแทบตายตอนที่พยาบาลโทรมาบอกผมว่าคุณนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต”

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยนะ ผมเองนั่นแหละที่ประมาท ดื่มเยอะซะขนาดนั้นแล้วยังจะไปขับรถอีก นี่ผมไม่ตายก็บุญแล้วนะ...”

ก่อนที่จะมีถ้อยคำอื่นๆหลุดออกมาทำร้ายความรู้สึกผมไปมากกว่านี้ ผมรีบใช้มือยกขึ้นมาปิดปากที่ปล่อยวาจาไม่น่าฟังนั้น ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากว่ามันเกิดขึ้นกับเค้าจริงๆมันจะเป็นอย่างไร แล้วผมจะเป็นอย่างไร...

“อย่าพูดอย่างนี้อีกนะพี เรื่องความเป็นความตายใครเค้าเอามาพูดเล่นกัน” ผมหยุดเค้าด้วยคำพูดจริงจัง แต่เค้ากลับทำเป็นเรื่องสนุกสนานโดยการฉวยโอกาสจูบที่มือของผมเสียจนผมสะดุ้งเฮือกรีบเอามือออกมาแต่ก็ไม่ทันคนเจ้าเล่ห์ พีรวิชญ์คว้ามือผมเอาไว้ได้หนำซ้ำยังเล่นทีเผลอด้วยการคว้าผมเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว ผมออกแรงดิ้นอย่างขัดใจที่พีไม่รู้จักแยกแยะเวลาเล่นเวลาจริงจัง ผมกำลังพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแท้ๆแต่เค้ากลับยังทำเป็นสนุกไปได้ แต่ผู้มีแรงเยอะกว่าย่อมได้เปรียบ เค้ากระชับกอดผมแน่นขึ้น แถมปลายจมูกแหลมๆของเค้ายังโฉบลงมากดแรงๆบนแก้มของผมอีก การกระทำของเค้าทำให้ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนผ่าว หัวใจเกิดเต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมาดิ้นพราดๆ ผมเลยได้แต่ปกปิดอาการเขินอายนั้นด้วยการนิ่งแล้วเสมองไปที่พื้น

“ก้อง คุณเลิกคบกับไอ้พี่นิคอะไรนั่นเถอะนะ” พีรวิชญ์ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงได้แต่นั่งเงียบ ผมกำลังสับสน หากผมยังไม่มั่นใจกับคำตอบของตัวเองผมก็ควรจะนิ่งดีกว่าที่จะตอบออกไปแล้วไม่สามารถแก้ไขคำตอบได้

“คุณไม่ได้รักมันใช่มั๊ย” รักงั้นหรือ..ผมรู้เพียงว่าผมมีความรู้สึกดีๆให้กับพี่นิค ความรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้รับความช่วยเหลือและกำลังใจดีๆจากผู้ชายคนนั้น ความรู้สึกที่ไม่เคยทำให้ผมต้องผิดหวังและเสียใจ

“พี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวผมเองรู้สึกยังไง ผมไม่รู้ว่าผมรักพี่นิคหรือเปล่า ที่ผมตัดสินใจคบกับเค้าเพราะผมเห็นว่าเค้าดีกับผมมาตลอด ต่างจากคุณที่คอยแต่จะทำให้ผมเสียน้ำตา”

“ผมขอโทษนะก้อง ผมขอโทษ”

“ผมรู้แต่เพียงว่าตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณกับพี่นิคมันแตกต่างกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร กับพี่นิค ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่กับคุณผมมักจะใจเต้นรัวทุกทีที่คุณเข้ามาใกล้ ผมชอบที่จะเหวี่ยงวีนใส่คุณในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำแบบนี้กับใคร ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องน้อยอกน้อยใจคุณในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องทั้งๆ ที่คนอื่นก็ทำกับผมแบบเดียวกัน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกยังไง พี.......ผมขอเวลาอีกสักหน่อยได้มั๊ย อย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรผมตอนนี้เลยนะ”

หลายๆครั้งที่ผมคล้ายจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ผมรักพี ใช่..ผมรักพีรวิชญ์ แต่เมื่อใดที่เค้าทำให้ผมเสียใจ อีกด้านหนึ่งของห้วงความรู้สึกมันก็จะต่อต้านขึ้นมาว่าผมไม่ได้รักเค้า..เค้าทำให้ผมร้องไห้หลายต่อหลายครั้งขนาดนี้แล้วผมจะไปรักเค้าได้ยังไง และผมก็ไม่ควรจะไปรักเค้าด้วย..ใครอาจจะมองว่าผมโลเลหลายใจ แต่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ และผมก็เชื่อว่าบนโลกอันแปลกประหลาดใบนี้ยังมีคนอีกหลายคนที่เป็นแบบผม แบบที่ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเลือกใครไม่ได้เสียที... บางครั้งเหตุผลก็ใช้กับความรักไม่ได้ และบางครั้งความรักก็จะใช้เพียงความรู้สึกเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าจะให้ดี มันควรจะต้องมาคู่กัน ทั้งเหตุผล และความรู้สึก มิใช่หรือ...


“คิดอะไรอยู่ครับก้อง”

ภาพทั้งหมดถูกหมุนตลบจนกลับมาที่ปัจจุบันราวกับม้วนวีดีโอที่ถูกกลอถอยหลัง ความคิดในภวังค์ของผมเมื่อครู่พังทลายหายไปจนสิ้นเพราะพี่นิคที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับพูดขึ้นทำลายความเงียบ เอ่อ...ความเงียบของพี่นิคคนเดียว...

ผมหันไปภายนอกรถแล้วก็พบว่ามันเปลี่ยนจากภาพวิวธรรมชาติที่เห็นในตอนแรกเป็นตึกรามบ้านช่องที่บ่งบอกว่าเรากำลังเข้าสู่ใจกลางเมือง วันนี้พี่นิคจะมาทำธุระที่ต่างจังหวัด เกี่ยวกับเรื่องที่ดินอะไรก็ไม่รู้ที่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะยุ่งด้วยซักเท่าไหร่ พี่นิคชวนให้ผมมาเป็นเพื่อน ผมซึ่งเห็นว่าก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ก็เลยตอบตกลง และตอนนี้เราก็กำลังเดินทางกลับ

“นั่งยิ้มมาตลอดทางเลย คิดเรื่องพี่อยู่รึเปล่า” ผมสะดุ้งอย่างลืมตัว จะบอกได้ยังไงล่ะว่าเจ้าของเรื่องที่ผมกำลังนั่งนึกถึงไม่ใช่คนขับรถที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เป็นพีรวิชญ์..ผมเลยได้แต่ยิ้มบางๆตอบกลับไป หวังว่าเค้าจะไม่ถามอะไรต่อ และมันก็ดูน่าจะเป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อพี่เค้ายิ้มตอบกลับมา

“พี่ดีใจนะที่วันนะที่ก้องยิ้มได้ วันนี้พี่เห็นก้องยิ้มได้ทั้งวันเลยนะ ตั้งแต่มาจนกลับใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วเนี่ย”

“หรอครับ” จริงหรือ นี่ผมนั่งยิ้มหน้าบ้านแบบนั้นตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยหรือเนี่ย พลันพอนึกไปถึงเรื่องที่ทำให้ผมนั่งยิ้มมาได้ทั้งวันแล้วก็อดรู้สึกร้อนๆหนาวๆไม่ได้ รู้สึกตัวรุมๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ก้องหน้าแดงใหญ่แล้ว เขินพี่งั้นเหรอ” พี่นิคหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าสองมือของผมยกแปะที่ข้างแก้มโดยอัตโนมัติ รู้สึกร้อนที่ใบหน้าจริงๆด้วย ไม่ได้การล่ะ ควรจะเลิกคิดแล้วกลับมาทำตัวให้เป็นปรกติก่อนที่พี่นิคจะถามอะไรมากไปกว่านี้จะดีกว่า ถึงตอนนี้ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทั้งที่ตัวผมอยู่กับคนข้างๆ แต่หัวของผมกลับนึกถึงแต่เรื่องของคนอีกคน

“เอ้อจริงสิ..เมื่อวานน่ะพี่โกรธจริงๆนะ ก้องไม่น่าไล่ให้พี่กลับไปเลย ตกลงว่าเค้าได้ทำอะไรก้องรึเปล่า”

“เอ่อ..เปล่าครับ กว่าเค้าจะกลับมาก็เกือบจะตีสามอยู่แล้ว แล้วก็เมามากด้วย... ” ประโยคหลังมันเบางลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะมันทำให้ภาพเหตุการณ์ตอนที่เค้าเมาเมื่อคืนมันย้อนขึ้นมาให้ผมเห็นอีกครั้ง คนเจ้าเล่ห์พอเมาขึ้นมาก็ยังทำตัวเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากตอนไม่เมาเลยซักนิด กะล่อน ฉวยโอกาส พอตื่นมาตอนเช้า หายเมาแล้วก็ยัง... ใบหน้าเกิดร้อนวูบวาบขึ้นมาเสียเฉยๆ รีบหันความสนใจไปที่เรื่องอื่นก่อนดีกว่า

“ถ้าไม่ใช่เพราะก้องไล่พี่กลับนะ พี่ไม่ยอมจริงๆด้วย แล้วนี่ก้องจะต้องอยู่กับมันไปอีกนานแค่ไหนครับ จะออกมาอยู่หอที่โรงพยาบาลเมื่อไหร่”

ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก หลังจากที่คำถามของพี่นิคทำให้ผมต้องชะงักไปพักใหญ่ ผมก็ได้แต่นั่งนิ่ง ทบทวนว่าสิ่งที่ผมควรจะทำต่อไปคืออะไร ผมยอมรับว่าเมื่อวานตอนที่พีออกไปข้างนอกหลังจากที่เราทะเลาะกันใหญ่โตนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก สุดท้ายผมที่กำลังเครียดและไม่รู้ว่าจะควรจะต้องทำยังไงก็ต้องออกปากขอร้องให้พี่นิคกลับบ้านไปก่อน เพราะถ้าจะให้ผมที่กำลังกระวนกระวายใจกับปัญหาที่ยังเคลียร์กับพีไม่ได้ ต้องมาทนนั่งฟังพี่นิคพูดอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังอีกตั้งมากมายก็คงจะไม่ไหว สุดท้ายผมก็เลยต้องหักหาญน้ำใจเอ่ยปากขอให้พี่เค้ากลับออกไปในที่สุด จากนั้นไม่นานนักผู้หญิงคนเดียวในห้องอย่างไอรินก็กระทืบเท้าปึงปังเดินออกจากห้องไป

พอนึกถึงไอรินแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เมื่อวานก่อนที่เธอจะออกไป เธอหันมาส่งสายตาชนิดที่ว่า ‘กินเลือดกินเนื้อ’ ให้กับผม พอผมขมวดคิ้วตอบกลับเป็นคำถามว่าทำไมเธอกำลังคิดอะไร ทำไมถึงต้องทำหน้าอย่างนั้น เธอก็ทำเพียงหัวเราะในลำคอด้วยเสียงที่เยียบเย็นฟังดูไม่ค่อยจะน่าไว้ใจซักเท่าไหร่ ไม่ใช่เสียงหัวเราะที่เกิดจากการมีความสุข แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แสดงความเย้ยหยันอยู่ในที นี่ผมคิดมากไปเองรึเปล่า..

ผมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของคนข้างๆเมื่อตัวเองตื่นจากภวังค์ความคิดต่างๆที่ล่องลอยออกไปไกลจากขอบเขตพื้นที่การสนทนาบนรถคันสวย เจ้าของมือใหญ่ที่ถูกผมปฏิเสธเมื่อกี๊หันมามองผมด้วยสีหน้าที่มีเครื่องหมายคำถาม

“เราเป็นแฟนกันนะก้อง จับมือกันไม่ได้งั้นหรือ” เมื่อพี่นิคเห็นว่าผมไม่ตอบพี่เค้าก็คว้ามือผมไปกุมไว้อีกครั้ง ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มันก็คงจะไม่แปลกใช่มั้ยที่คนที่เค้าคบกันจะมีการแสดงความรักโดยการจับมือกันบ้าง แต่สัมผัสอุ่นๆที่มือของพี่นิคกลับทำให้ผมรู้สึกไม่ชิน และต่อต้านมันอยู่ลึกๆ ไม่เหมือน....

อีกครั้งที่ความเงียบเริ่มเข้ามาครอบคลุม นั่นเพราะสมองของผมมันเริ่มจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว อดนึกเปรียบเทียบความรู้สึกที่ผมมีระหว่างพี่นิคกับพีรวิชญ์ไม่ได้ กับพี..เมื่อคืนผมเป็นห่วงเค้ามาก การดูแลปรนนิบัติเค้าในขณะที่เค้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ทำให้ผมลดความรู้สึกผิดลงไปได้บ้าง อยากให้เค้ารู้สึกสบายตัว อยากให้เค้ามีความสุข อีกทั้งผมยังเผลอไผลปล่อยตัวเองทำอะไรต่อมิอะไรไปตามที่เค้านำทางอีกต่างหาก แต่กับพี่นิค แค่จับมือผมยังไม่อยากจะยินยอม ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ผมแค่รู้สึกไม่ยินดีกับมันเท่าไหร่ พอพูดถึงตรงนี้ไม่รู้จะมีใครเข้าใจผมบ้างรึเปล่า ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ก็คือ พีขอให้ผมเลิกกับพี่นิค..หรือจริงๆแล้วผมควรจะทำแบบที่พีขอจริงๆเสียที.. ผมสูดหายใจเข้าแรงๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

“พี่นิคครับ...”

“เออก้อง เดี๋ยวเราแวะซื้อของที่ห้างข้างหน้ากันหน่อยได้มั้ยครับ พี่อยากจะซื้อของหน่อยอ่ะ

“เอ่อ..ได้ครับพี่นิค” พอผมตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ คนข้างๆก็กลับพูดแทรกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่นิคหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าที่เจ้าตัวว่า ก่อนจะหันมาถาม

“แล้วเมื่อกี๊ก้องจะพูดอะไรนะครับ”

ผมเคยได้ยินว่า ถ้าคิดจะทำอะไรก็ต้องรีบทำทันทีที่นึกได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราอาจจะไม่กล้าลงมือทำ พูดง่ายก็คือ ถ้ามีเวลาให้สมองได้หยุดคิด ความลังเลก็จะเข้ามาแทนที่ทันที

ตอนนี้...ผมเชื่อทฤษฎีที่ว่าเข้าแล้วล่ะ เชื่ออย่างสนิทใจเลยด้วย เพราะพอจะพูดมันขึ้นมาอีกที ผมก็ไม่กล้าซะแล้ว...

เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่พี่นิคเดินซื้อของมันช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเลยเกินเมื่อผมไม่ได้มีสมาธิกับการเดินห้างสรรพสินค้านี่เลย นั่นเพราะผมดันคิดถึงแต่เรื่องนั้นน่ะสิ เรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดเมื่อกี๊แต่ก็ไม่ได้พูด แต่ถึงผมจะเดินใจลอยคิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้แต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะรับรู้ได้ว่าพี่นิคน่ะชวนผมคุยนู่นนี่ตลอดเวลา จุดที่ผมกับพี่นิคยืนอยู่ในตอนนี้นั่นก็คือแผนกเครื่องครัว นั่นทำให้ผมเองที่พอจะถนัดในเรื่องการเข้าครัวอยู่บ้างเริ่มหลุดออกจากกรอบของเรื่องที่ยังคิดไม่ตก หันมาสนใจกับข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ตรงหน้าบ้าง

“เอ๋..พี่นิคชอบทำกับข้าวเหรอครับ” พี่นิคหันมายิ้มให้ผม แล้วก็เล่าเรื่องบางเรื่องให้ฟัง

“ที่พี่ชอบทำมากที่สุดก็คือเบเกอร์รี่ ก้องจำไม่ได้เหรอว่าพี่มีร้านเค้กน่ะ ที่พี่เคยพาก้องไปไงครับ”

ผมพนักหน้าหงึกหงักเมื่อนึกขึ้นได้ จริงสิ ตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นที่ระยองแล้วเราแยกกับพีแล้วกลับมาพร้อมกับพี่นิค ตอนนั้นพี่นิคก็พาผมไปที่ร้านเค้กของเค้า

“เค้ก...เค้กชาเขียว” ปากของผมเอ่ยออกไปเบาๆโดยไม่รู้ตัว พี่นิคหันมาทำตาโต สีหน้าบ่งบอกถึงความดีใจอย่างปิดไม่อยู่ รีบถามผมทันที

“ก้องจำได้แล้วใช่มั้ยครับ ที่พี่เคย..”

“เคยสอนก้องทำเค้กชาเขียว” ผมพูดต่อด้วยความรู้สึกคุ้นเคย ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตัวเอกในภาพนั้นก็คือผมกับพี่นิค และสถานที่ก็คือที่คอนโดของพีรวิชญ์ พี่นิคกำลังสอนผมทำเค้กชาเขียวด้วยความกระตือรือร้น ส่วนผมเองก็ยิ้มอย่างมีความสุข เราสองคนคุยกันไปทำกันไปอย่างสนุกสนาน

พี่นิคยิ้มกว้างพร้อมกับท่าทีที่ดูตื่นเต้น

“พี่ดีใจมากเลยที่ก้องจำเรื่องระหว่างเราได้”

ผมยืนนิ่งไปซักพักเพื่อพยายามลำดับความคิดว่าอะไรคือเหตุการณ์ต่อจากนั้น

“โอ้โห...หน้าตาน่ากินนะเนี่ย ไหน ผมขอชิมหน่อยซิว่าฝีมือแฟนผมจะอร่อยขนาดไหน” ฉับพลันภาพในห้วงความทรงจำที่ถูกลืมไปนานแสนนานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พีรวิชญ์ยืนมองเค้กชาเขียวที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยรอยยิ้มกว้าง เค้าใช้ปลายนิ้วปาดครีมสีเขียวเข้มขึ้นมาแล้วป้ายลงที่แก้มของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ...

“พี นี่คุณทำอะ...” ผมโวยวายเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแกล้ง แต่ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากบางเฉียบของอีกคนก็โน้มลงมาสัมผัสกับครีมที่อยู่บนแก้มของผม เค้าละเลียดชิมรสของมันอย่างนุ่มนวลจนเจ้าของแก้มนั่นอึ้งไป ตามด้วยสายตาวิบวับที่ส่งมายิ่งทำให้ใบหน้าของผมแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“อืม.....อร่อยจริงๆด้วย หวานมากเลย ผมชอบจัง”

“เขินพี่เหรอครับ” ผมตื่นจากความคิดในอดีตที่อยู่ๆมันก็จู่โจมเข้ามา รู้ตัวอีกทีมือของผมมันก็แตะอยู่ที่แก้มซะแล้ว ผมรีบลดมือลงเมื่อเสียงของพี่นิคทำให้ผมกลับเข้าสู่เหตุการณ์ในปัจจุบัน

“ท..ทำไมเหรอครับ”

“ก็พี่เห็นก้องหน้าแดงใหญ่เลย วันนี้เป็นอะไร เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็เขิน หืม..”

นั่นสิ นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย ตอนอยู่บนรถก็รู้สึกวูบวาบตอนนึกถึงเรื่องที่คอนโด มาตอนนี้ก็ดันหน้าแดงเมื่อภาพในความทรงจำเก่าๆเริ่มปรากฏขึ้นมา แม้จะลางเลือนแต่มันก็ทำหัวใจของผมเต้นแรงเสียจนแทบจะควบคุมไม่อยู่

“พี่นิคช่วยเล่าเรื่องวันนั้นให้ก้องฟังหน่อยได้มั้ยครับ เป็นไงมาไงพี่นิคถึงมาสอนก้องทำเค้กชาเขียวได้”

“ก็พี่เป็นเพื่อนกับพี่แก้วไงครับ พี่แก้วบอกว่าก้องอยากทำเค้กชาเขียวให้..”

“ช่างเถอะ” อยู่ๆพี่นิคที่กำลังเริ่มต้นเล่าด้วยสีหน้ามีความสุขก็พลันหุบยิ้มลงแล้วก็ตัดจบมันเสียเองซะอย่างนั้น ผมเห็นพี่นิคกำลังตีสีหน้าหงุดหงิดผมจึงไม่ได้ซักต่อ

ตอนนั้นผมอยากจะทำเค้กชาเขียวให้พีใช่มั้ย.. เอาเป็นว่า ผมจะไม่ถามต่อก็แล้วกันนะครับ

แต่ว่าความทรงจำครั้งเก่าที่มันฉายขึ้นในหัวราวกับว่ามันคือภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวอันแสนจะสวยงามนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่าผมกับพีรวิชญ์ในช่วงก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุนั้น เรามีความสุขกันมากแค่ไหน..ความทรงจำที่สุดจะหอมหวานเหล่านั้น จะเป็นอะไรมั๊ยถ้าผมนึกอยากจะได้มันกลับมาอีกครั้ง

พี่นิคได้ของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ ท่ามกลางความแน่นขนัดบริเวณที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าเชื่อดัง รถยนต์ส่วนตัวพากันวิ่งเข้าวิ่งออกมากมาย คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ อีกทั้งยังเป็นสัปดาห์ที่อยู่ในช่วงต้นเดือนซะอีก เป็นเวลาที่ดีที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งนี้จะเปิดต้อนรับนักช็อปทั้งหลายให้ได้มาจับจ่ายซื้อของทั้งสิ่งจำเป็นและไม่ได้จำเป็นกับชีวิตประจำวัน ส่วนผมเองก็ที่เดินใจลอยตามพี่นิคออกมาจนถึงที่จอดรถก็ได้แต่เงียบงันเหมือนกำลังตกอยู่ในโลกของตัวเอง นั่นก็เพราะว่าสมองของผมมันกำลังวกกลับไปครุ่นคิดถึงเรื่องเก่าที่ยังคิดไม่ตกนั่นอีกครั้ง ถ้าผมไม่แน่ใจว่าผมรักพี่นิครึเปล่า ผมก็ไม่ควรจะรั้งเค้าเอาไว้ คนดีๆอย่างพี่นิคยังมีคนอีกมากมายที่เค้าควรจะได้พบ และคนคนนั้นคงจะไม่ใช่ผม...

“ก้องมีเรื่องจะคุยกับพี่นิคครับ”

“ก้องว่าอะไรนะ” พี่นิคเอียงหูเข้ามาใกล้เพราะฟังไม่ถนัด ก็แน่ล่ะที่นี่คือที่จอดรถที่กำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถที่วิ่งโฉบไปโฉบมาเพื่อแย่งกันหาที่จอดรถกันให้วุ่นวาย เสียงแตรรถก็พากันแทรกเข้ามาในโสตประสาทการได้ยินเสียจนน่าปวดหัว

“เอาไว้ถึงรถก่อนก็ได้ครับ” ถ้าคุยตอนนี้สงสัยจะไม่รู้เรื่องแน่ พี่นิคมองซ้ายมองขวาเพื่อจะพาผมเดินข้ามไปอีกฝั่งที่รถของเค้าจอดเอาไว้ เค้าคว้ามือผมเข้าไปจับเอาไว้แน่นเหมือนกับผมเป็นเด็กๆที่ผู้ใหญ่อย่างเค้าต้องพาข้ามถนน ผมออกแรงดึงมันออกตามสัญชาตญาณแต่นั่นกลับทำให้ผู้ใหญ่ที่ว่ากระชับมือให้แน่นขึ้น ผมก็เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย หรือว่าผมควรจะพูดมันตอนนี้เลย สี่พยางค์เท่านั้น ถ้าผมพูดมันตอนนี้เลยพี่เค้าอาจจะปล่อยมือผมในทันทีเลยก็ได้

“พี่นิคครับ”

พี่นิคหันมาตามเสียงเรียก ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป อยู่ๆรถยนต์สีขาวที่เพิ่งเลี้ยวออกมาจากที่ไหนซักแห่งก็พุ่งตรงมาที่เราสองคนอย่างเร็วราวกับหมายจะคร่าเอาชีวิตของคนสองคนเป็นการลงโทษที่มัวแต่เซ่อซ่ายืนขวางทางรถวิ่ง พี่นิครีบหันตัวเองมาบังผมเอาไว้จนกลายเป็นว่าผมตกอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว และแทนที่ผมจะหลับตาปี๋ด้วยความกลัวหรือลุ้นระทึกว่านี่จะคือเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตตัวเองรึเปล่า ผมกลับได้แต่ลืมตาค้างด้วยความอึ้ง ร่างกายแข็งทื่อขยับไปไหนไม่ได้เมื่อเห็นว่ารถคันนั้นกำลังวิ่งเข้ามาใกล้จนไม่น่าจะเบรกอยู่ ผมกำลังจะตาย..

เอี๊ยดดดดด~~~!!!

เสียงล้อที่ครูดไปกับถนนเพราะการเหยียบเบรกอย่างกะทันหันของคนขับเรียกความสนใจของผู้คนรอบข้างให้หันมามองเป็นจุดเดียว รวมทั้งช่วยดึงสติของร่างที่กำลังใช้ตัวเองบังให้ผมปลอดภัย พี่นิคเงยหน้าที่กดลงกับหัวไหล่ของผมแล้วหันไปมองที่รถคันสวยที่เป็นดังมัจจุราชที่กำลังเปลี่ยนใจไม่เอาชีวิตของเราไป ก่อนจะหันไปมองที่ผมซึ่งยังคงไม่ได้สติ ตากลมโตของผมยังเบิกโพลงค้างอยู่อย่างนั้น

“ก้อง...ก้องครับ ไม่เป็นไรนะ” มืออุ่นๆที่ตบที่แก้มของผมเบาๆช่วยเรียกผมให้ตื่นจากความฝันที่จู่โจมเข้ามาในตอนกลางวันแสกๆกลางห้างดัง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ก้องโอเคมั้ย” ผมพยักหน้าตอบไปอย่างเบลอๆ ตอนนี้ตาของผมยังลอยอยู่เลย ผมรอด..นี่ผมไม่ตายงั้นหรือ..

จากนั้นคนเจ้าของรถสีขาวก็รีบวิ่งลงมาจากรถ ขอโทษขอโพยด้วยความตื่นตกใจ พี่นิคเองก็ขอโทษกลับบอกว่าเป็นความผิดของเราเองที่มัวแต่หยุดยืนคุยกันทั้งๆที่เป็นทางรถวิ่ง บทสนทนาเหล่านั้นมันไม่ได้เข้าหูผมเลยซักนิด ผมได้ยินเพียงแค่เสียงพูดรัวๆของคนสองคนตรงหน้า สติของผมคงยังไม่กลับมาเป็นปรกติดี ทันทีที่ประตูรถถูกปิดลงโดยพี่นิค และเข็มขัดนิรภัยที่ถูกคาดให้เรียบร้อยโดยคนคนเดียวกัน ผมที่นั่งอยู่บนเบาะสีเทาหม่นเรียบร้อยดีแล้วได้แต่เหม่อมองไปข้างหน้าด้วยความสะเทือนใจ แต่มันยังมีสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งได้มากกว่านั้น

“เหตุการณ์แบบนี้มัน...”

คนสองคนพากันวิ่งหนีอะไรซักอย่างก่อนจะพากันวิ่งข้ามถนน..

ผมเริ่มยกมือขึ้นแตะที่ขมับ..

รถที่วิ่งมาอย่างเร็ว...ผู้ชายที่หน้าเหมือนผมผลักคนอีกคนที่วิ่งมาด้วยกันให้ออกไปให้พ้นเส้นทางอันตรายของชีวิต....

ภาพมืดดำลงพร้อมกับเสียงร้องของคนที่ถูกผมผลักตะโกนออกไปอย่างบ้าคลั่ง แรงเขย่าจากอ้อมกอดที่กำลังโอบร่างที่แน่นิ่งของผมเอาไว้

“ตอนที่คุณกำลังจะเปิดตา ผมเป็นห่วงคุณมากเลยนะ” คนสองคนที่หยอกล้อกันอยู่ในครัวที่บ้านของผม

“ตัดสกินเฮดเลยดีม๊ะ”

“อย่าไปตัดนะ”

“ทำไมอ่ะ สบายดีออก”

“ผมไม่ชอบ”

“อ๋อออออ กลัวผมไม่หล่อใช่ม้า...”



“ปวดหัวจัง..”

“เป็นอะไรก้อง ได้รับบาดเจ็บเหรอ” ผมเอามือกุมขมับ ส่ายหัวตอบพี่นิคที่เพิ่งขึ้นมานั่งอีกฝั่ง อยากจะได้ความทรงจำเก่ากลับมา แต่ทุกครั้งที่มันมีบทบาทต่อชีวิตประจำวัน ความเจ็บปวดก็จะแล่นขึ้นมาร้าวอยู่ในหัว และดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงเหลือเกิน...



Create Date : 20 พฤษภาคม 2554
Last Update : 29 พฤษภาคม 2554 1:28:33 น. 4 comments
Counter : 498 Pageviews.

 
อ่านเพลินมากเลยค่ะ..

อ่านไปลุ้นไปว่าจะความจำจะกลับมาตอนไหน..

น้องก้องจะจำพีร์ได้หรือเปล่า..

และเมื่อไหร่พี่นิคและไอรินจะหลุดไปจากวงจรชีวิตของทั้งคู่เสียที..

มีแต่คำถามในใจตลอดการอ่านฟิค..ลุ้นระทึกมากค่ะ


โดย: ไข่มุกดำ IP: 49.229.217.248 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:1:12:56 น.  

 
ลุ้นให้น้องก้องจำได้แล้วกลับไปรักกับพีเร็วๆ สลัดไอ้พี่นิคทิ้งซะที น่ารำคาญมากกกกกกกกกกกก
สงสารพีสุดๆแล้วด้วย....ทรมานใจเพราะความรักหลุดลอยมานานแล้ว Y^Y


โดย: Lookwha IP: 118.174.166.243 วันที่: 23 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:59:56 น.  

 
น่ารักมากค่ะ ก้องบดินทร์ ลุ้นให้จำได้ ซะที สงสารคุณพีรวิชญ์ ตัวดำ ตาดำ เป็นหมีแพนด้า หมดแล้ว อิๆๆๆ ^______^"


โดย: lek^lek. IP: 223.204.8.113 วันที่: 27 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:44:43 น.  

 
ก้องเกือบจะจำได้แล้ว !!!
คุณพีร์ .. อดทนรอก้องอีกนิดนะคะ ^^


โดย: sky IP: 124.122.25.135 วันที่: 28 พฤษภาคม 2554 เวลา:0:00:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biomedical_girl
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นนัก (หัด) เขียน ที่ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องสั้นเรื่องแรกมาจากความน่ารักของตัวละคร พีรวิชญ์ และ ก้องบดินทร์ จากละครเรื่องพรุ่งนี้ก็รักเธอ โดยปกติจะเป็นนักศึกษาทุนในระดับปริญญาโทสาขาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ที่ความเวิ่นเว้อบังเกิดก็จะแปลงร่างจากสาวเนิร์ด เป็นสาววายทันที ^^" นอกจากนี้ยังชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ และมีความใฝ่ฝันว่าสักวันฉันจะได้ออกเทป (หุหุ) บางครั้งในเวลาว่างๆ ก็จะแต่งเพลง แต่งกลอน ออกมาอยู่เสมอ จนบางครั้งคนรอบข้างถึงกับแซวว่าเธอน่าจะไปเรียนอักษรหรือนิเทศมากกว่าชีวโมเลกุลนะ --"
New Comments
Friends' blogs
[Add biomedical_girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.