Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2554
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 

คุณคือชีวิตของผม

นาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่าแล้ว แต่คนหน้าคมที่ถูกเข็นเข้าห้องไอซียูเมื่อสามชั่วโมงก่อนยังไม่ออกมาซักที..................

ก้องบดินทร์ผุดลุกผุดนั่งอยู่หน้าห้อง สมองของเขามึนตื้นไม่รับรู้สิ่งใด เสียงสะอื้นของเขาขาดหายเป็นห้วงๆ น้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากดวงตากลมโตไม่ขาดสาย

‘พี คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ ผมยอมแลกกับอะไรก็ได้เพื่อให้คุณกลับมาหาผมนะพี’

ครู่ต่อมา.....พยาบาลวิ่งเข้าออกห้องไอซียูกันให้วุ่น ก้องบดินทร์ใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาแล้วเอ่ยเสียงเครียด

“คุณคะ....คุณคือญาติของผู้ป่วยที่ชื่อพีรวิชญ์ใช่ไหมคะ ตอนนี้ผู้ป่วยเสียเลือดมาก และตอนนี้ทางโรงพยาบาลกำลังขาดแคลนเลือดกรุ๊ปโอ เราต้องการผู้บริจาคเลือดให้ผู้ป่วยด่วนที่สุด”

เมื่อก้องบดินทร์ได้ฟังคำพูดจากพยาบาลสาว หัวใจของเขากระตุกวูบ หน้าที่ซีดอยู่แล้วกลับซีดลงไปอีก จนพยาบาลต้องเอ่ยขึ้นว่า

“คุณคะ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าคุณซีดมาก คุณน่าจะพักผ่อนก่อนนะคะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร ตราบใดที่เพื่อนผมยังไม่พ้นขีดอันตราย ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น คุณพยาบาล......ผมมีเลือดกรุ๊ปโอ คุณต้องการแค่ไหนคุณเอาไปได้เลย คุณเอาไปได้เท่าที่คุณต้องการเลย หมดตัวผมเลยก็ได้ แต่คุณต้องช่วยคุณหมอรักษาเพื่อนผมให้ได้นะครับ นะครับ......”

“ค่ะ ค่ะ คุณใจเย็นๆนะคะ ถ้าคุณประสงค์จะบริจาคเลือดเดินตามดิฉันมาที่คลังเลือดเลยค่ะ”
.
.
.
ก้องบดินทร์รู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานนับชั่วกัลป์....เกือบชั่วโมงแล้วที่เขาบริจาคเลือดให้กับพี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณหมอจะออกมาห้องผ่าตัดเลยซักนิด ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลัวเท่านั้น นานแล้วที่เขาไม่เคยเกิดความรู้เช่นนี้ นับตั้งแต่พี่กิ่งจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ เขากลัวว่าจะต้องสูญเสียพีไป พีรวิชญ์คือคนที่เปรียบเสมือนลมหายใจของเขา หากพีรวิชญ์ต้องจากเขาไปอีกคน เขาจะอยู่ได้อย่างไร ชีวิตในวันข้างหน้าของเขาคงไม่มีความหมาย หากร่างกายและหัวใจต้องแยกจากกัน............

ก้องบดินทร์หยุดความคิดของตัวเองลงฉับพลัน เมื่อคุณหมอในชุดสีเขียวเข้ม เดินออกมาจากห้องที่มีหัวใจของเขานอนอยู่ เขา ถลาเข้าไปหาคุณหมอ และละล่ำละลักถามถึงอาการของคนรักทันที
“คุณหมอครับ เพื่อนของผมเป็นยังไงบ้าง เขาปลอดภัยดีใช่ไหมครับ เมื่อไหร่เขาจะออกจากห้องไอซียู แล้วเมื่อไหร่เค้าจะฟื้นครับหมอ หมอตอบผมซิหมอ หมอ.............”
“เอ่อ......คุณใจเย็นๆ และตั้งสติก่อนนะครับ ตอนนี้เพื่อนของคุณพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เนื่องจากรถที่พุ่งชนรถของเพื่อนคุณขับมาด้วยความเร็วสูง ทำให้กระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 หัก หมอได้ตรวจดูแล้วพบว่าไม่มีผลกระทบต่ออวัยวะใดในทรวงอก แต่เมื่อผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาแล้ว อาจมีอาการเจ็บหน้าอก และหายใจสั้น คุณต้องให้เพื่อนของคุณหายใจเข้าลึกๆ และพยายามไอออกมา เพื่อลดอาการปอดแฟบ และปอดอักเสบ หมอคิดว่าอีกประมาณไม่เกิน 3-6 สัปดาห์ กระดูกซี่โครงของเพื่อนคุณก็จะเชื่อมติดกันดังเดิม สรุปโดยภาพรวมแล้วไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”

“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ขอบคุณมาก” ก้องบดินทร์ถลาเข้าไปเขย่ามือคุณหมอด้วยความดีใจ แววตากลมโตที่เมื่อสักครู่แห้งผากบัดนี้ส่องเป็นประกาย เขารู้สึกว่าเขาได้หัวใจของเขากลับคืนมาแล้ว ความกลัวเมื่อสักครู่มลายหายไปสิ้น ต่อจากนี้ไปเขาจะดูแลพีรวิชญ์อย่างดีที่สุดจนกว่าหัวใจของเขาจะหายดีและกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง
.
.
.
ก้องบดินทร์นั่งมองหน้าคนหน้าคมที่หลับสนิทอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล มือของเขาจับมือของพีรวิชญ์ไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะสูญเสียเขาไป ยามที่เขาคิดถึงสายตาที่อ่อนโยน และแววตาเจ้าเล่ห์ที่คนบนเตียงมักส่งออกมาให้เขาอย่างสม่ำเสมอเขาจะรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจทุกครั้ง จะดีแค่ไหนกันนะหากพีรวิญช์ฟื้นขึ้นมาและมองเขาด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยนอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา......

เขานึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่พีรวิชญ์จะประสบอุบัติเหตุ

เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน ขณะที่ก้องบดินทร์กำลังเก็บของจะกลับบ้าน เสียงริงโทนที่ตั้งไว้เฉพาะสายของพีรวิญช์ก็ดังขึ้น คนหน้ากลมอมยิ้มกับหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปหาคนหน้าคมที่อยู่ปลายสาย

‘มาถึงแล้วเหรอคุณพี ผมกำลังรีบเก็บของ กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ’

‘คร้าบ เร็ว ๆ นะคร้าบ ผมคิดถึงคุณใจจะขาดรอน ๆ แล้วล่ะ’

‘ฮึ่ย....คุณนี่ เว่อร์ได้ตลอดเวลาเลยนะ’ คนตาโตเสียงเขียวใส่โทรศัพท์ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสายตอบกลับมา

‘หึๆ ถึงผมจะเว่อร์ แต่คุณก็ชอบใช่ม๊า ผมรู้นะว่าคุณกำลังเขินหน้าแดง เพราะคุณน่ะเหวี่ยงใส่ผมอีกแล้ว’

‘คนบ้า.........’

พูดได้แค่นั้น ก้องบดินทร์ก็ทำแก้มป่อง และกดตัดสายโทรศัพท์ไป ก่อนจะยิ้มเขินๆ และเดินออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่พีรวิชญ์กำลังขับรถ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น หลังจากที่เขาต่อสัญญาณบูลธูทเชื่อมระหว่างหูฟังกับโทรศัพท์แล้วจึงกรอกเสียงตอบกลับไปในสาย

‘ไง...ไอ้เชฐ ทำไมวันนี้แกโทรหาฉันได้วะ’ พีรวิชญ์นิ่งฟังเสียงจากปลายสายชั่วครู่จึงตอบกลับไปว่า

‘วันอื่นไม่ได้เหรอวะ วันนี้วันศุกร์ฉันต้องอยู่กับ ‘ครอบครัว’ ของฉัน’ คนหน้าเข้มเน้นเสียงคำว่าครอบครัว แถมส่งสายตาวิบวับมาให้คนนั่งข้างๆ จนก้องบดินทร์รู้สึกร้อนวูบๆ ที่ใบหน้า แต่เมื่อเห็นพีรวิชญ์นิ่งฟังข้อความจากปลายสาย เขาก็สังเกตเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของคนรัก

พีรวิชญ์นิ่งไปอึดใจ ก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับไปอีกครั้ง

‘เฮ้ย.....อย่ากดดันกันนักสิวะ เดี๋ยวฉันของถามแฟนฉันก่อน แล้วฉันโทรกลับ แค่นี้นะเว้ย ขับรถอยู่’

เมื่อพีรวิชญ์วางสายไปแล้ว ก้องบดินทร์ก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า

‘มีอะไรเหรอพี ผมเห็นสีหน้าคุณไม่ค่อยดีเลย’

‘คุณจำเพื่อนผมได้ไหม เชษฐา คนที่คุณเคยเจอที่สนามแข่งรถไง เมื่อวันก่อนมันไปแข่งรายการใหญ่แล้วได้ที่หนึ่ง มันเลยชวนผมไปงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของมันที่ร้านอาหารแถวๆ สนามค่ำนี้ แต่ว่า......วันนี้เป็นวันของเรา ผมอยากจะดินเนอร์กับคุณที่คอนโดของเราสองต่อสองมากกว่า แต่ไอเชฐมันก็เซ้าซี้บอกผมว่าทุกคนมาร่วมงานกันหมด จะเหลือก็แต่ผมคนเดียว ผมก็เลยบอกมันไปว่า ไว้ให้ผมขออนุญาตคุณก่อน แล้วค่อยโทรกลับ ว่าแต่ว่าคุณแฟนของผมจะอนุญาตให้ผมไปหรือเปล่าคร้าบ’ พีรวิชญ์อธิบายออกมายาวยืด ก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อย และส่งสายตาวิบ ๆ ออดอ้อนคนรัก

เมื่อก้องบดินทร์ได้เห็นท่าทางของคนรักก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะตอบกลับไปหาคนข้างๆ

‘ถ้าคุณอยากจะไปก็ไปเถอะพี นานแล้วเหมือนกันนะที่คุณไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องมาทำให้ชีวิตส่วนตัวของคุณต้องเสียไป ออกไปหาเพื่อนๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน เพราะคุณเนี่ยยิ่งไม่ค่อยมีใครคบอยู่ด้วย หากไม่ติดต่อกับเพื่อนบ้างผมว่าคุณคงไม่มีใครคบจริงๆ’ ก้องบดินทร์ลอยหน้าลอยตาตอบ ฝ่ายคนนั่งข้างๆ ได้ฟังประโยคแรก ๆ ก็ซึ้งดีอยู่หรอก แต่ไอ้ประโยคหลัง ๆ ฟังดูแล้วมันขัดหูพิก๊ลพิกล แต่เขาก็ได้แต่ยิ้มให้กับกิริยาของคนรักอย่างนึกเอ็นดู

‘คร้าบ ขอบคุณคร้าบคุณก้อง ผมรู้ว่าแฟนผมน่ะน่ารักเสมอ.....แต่ก้อง ผมอยากบอกให้คุณรู้ไว้นะ ว่าคุณไม่เคยทำให้ชีวิตส่วนตัวของผมเสียไป ผมยินดีและเต็มใจที่จะอยู่กับคุณตลอดเวลา เพราะอะไรรู้ไหมก้อง เพราะคุณคือคนคนเดียวที่ผมรัก และคุณก็เป็นชีวิตของผม ถึงผมจะไม่มีใครคบก็ไม่เป็นไรหรอก ผมมีคุณเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว’

เมื่อก้องบดินทร์ได้ฟังคำบอกรักจากชายหนุ่มข้างๆ เขาก็หลบสายตาหวานๆ ที่คนหน้าเข้มส่งมาให้ แล้วแกล้งเหวี่ยงใส่ชายหนุ่มแบบที่เคยทำกับเขาเป็นประจำ

‘แต่คุณห้ามกลับเกินสี่ทุ่ม แล้วพอถึงร้านแล้วต้องโทรมาบอกผมด้วย เข้าใจไหมครับ คุณพีรวิชญ์’

‘คร้าบ เข้าใจแล้วคร้าบ ผมจะเป็นเด็กดี อยู่ในโอวาท โทรหาคุณทุกชั่วโมงเลยดีม่ะ’

‘เว่อร์ตลอดอ่ะพี’

‘แล้วรักป่ะล่ะ’ พูดไม่พูดเปล่าแต่ส่งสายตาพาใจละลายมาให้คนนั่งข้างๆ ได้อายหน้าแดง

‘ขับรถดีๆ เลยพี มาจ้องผมแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เสยท้ายใครเค้าเข้าหรอก’

เมื่อพีรวิชญ์ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะและขับรถต่อไปอย่างอารมณ์ดี ไม่ว่าจะวันไหนๆ เขาก็ไม่เคยเบื่อที่จะหยอกล้อคนรักของตนเลย

ฝ่ายก้องบดินทร์เมื่อได้ฟังคำพูดเลี่ยนๆ ฉบับที่พีรวิชญ์เท่านั้นจะทำได้เขาก็แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางคิดอยู่ในใจด้วยความขวยเขิน

‘เฮ้อ... ทำไมหัวใจผมต้องเต้นระรัวเหมือนจะหลุดออกมาจากอกอย่างนั้นนะ แล้วดูสิผมไม่เคยสู้สายตาวิบวับคู่นั้นของคุณได้เลยสักที’ ถึงก้องบดินทร์จะคิดอย่างนั้น แต่เขากลับอมยิ้มอย่างมีความสุข
.
.
.
จะห้าทุ่มแล้ว แต่พีรวิญ์ยังไม่กลับมา ก้องบดินทร์กระสับกระส่ายด้วยความเป็นห่วง แถมพาลจะหงุดหงิดเอาเสียดื้อๆ

‘พีนะพี ไหนว่าจะกลับไม่เกินสี่ทุ่ม แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ผมไม่น่าอนุญาตให้คุณออกไปเลย แล้วคุณจะปิดโทรศัพท์ทำไมเนี่ย คนมันเป็นห่วงคุณรู้บ้างไหม คอยดูนะ ถ้าคุณกลับมาผมจะให้คุณนอนนอกห้อง ไม่ว่าคุณจะง้อผมยังไงผมก็จะไม่ใจอ่อนเลยคุณพี’ ก้องบดินทร์พึมพำอย่างหงุดหงิด สายตาจับจ้องแต่หน้าจอโทรศัพท์ราวกับว่าจะสื่อข้อความไปถึงคนในความคิดได้

ในขณะที่เขากำลังนั่งจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่นั่นเอง โทรศัพท์ภายในคอนโดก็แผดเสียงดังขึ้น ใครกันนะที่โทรเข้ามาเบอร์ห้อง เท่าที่เขาจำได้ เขาและพีรวิชญ์ไม่ค่อยได้บอกเบอร์โทรศัพท์ภายในคอนโดให้ใครรู้มากนัก จะมีก็แต่คนในครอบครัวของก้อง และเพื่อนที่สนิทจริงๆ ของทั้งคู่อีกไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อก้องบดินทร์เดินไปรับโทรศัพท์ สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลง น้ำใสๆ ไหลลงจากตา มือข้างที่ถือหูโทรศัพท์อยู่สั่นระริก และหูโทรศัพท์ก็ร่วงลงมา คนร่างอวบรีบหุนหันออกจากห้องไปโรงพยาบาลโดยไม่แยแสหูโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้นแม้สักนิด
.
.
.
ความคิดของก้องบดินทร์สะดุดลงเมื่อรู้สึกว่ามือหนาที่เขากุมอยู่ขยับเขยื้อน เขายิ้มออกมาอย่างดีใจ น้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ที่เขาไม่ต้องสูญเสียคนรักไป

“พี.....พีครับ.....คุณเป็นยังไงบ้าง” ก้องบดินทร์ถามคนหน้าคมที่นอนอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง พร้อมกับลูบไล้ใบหน้าของคนรักอย่างแผ่วเบา

เมื่อคนหน้าคมได้ยินเสียงทุ้มนุ่มคุ้นหู เขาพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้ากลมๆ และดวงตาใสซื่อที่จ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง เขาก็รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ ความเจ็บปวดทั้งหลายดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงไปเพียงเพราะเขาได้เห็นใบหน้าของก้องบดินทร์

“ก้อง.....ผมหลับไปนานแค่ไหน.......แต่ผมดีใจนะที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าคุณเป็นคนแรก” คนบนเตียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็เจือไปด้วยรอยยิ้ม และส่งแววตาทอประกายอ่อนหวานทอดมองคนที่อยู่ข้างเตียง แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็เลือนหายไปเมื่อเห็นก้องบดินทร์ร้องไห้ออกมาปิ่มว่าจะขาดใจ

“อ้าว......เฮ้......แล้วกัน.......ก้อง........คุณร้องไห้ทำไมเนี่ย ผมยังไม่ตายสักหน่อย หรือว่าคุณเสียใจที่เห็นผมฟื้นขึ้นมา” คนหน้าเข้มแกล้งงอนใส่คนรัก แถมเบือนหน้าหนีคนข้างๆ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าจริงๆ แล้วก้องบดินทร์ร้องไห้เพราะอะไร

“ไม่ใช่นะพี....ฮึก...ผมดีใจมากต่างหากที่คุณฟื้น....ฮึก.....แต่ตอนที่คุณหลับไป ผมกลัวมากเลยคุณรู้ไหม ผมกลัว.....ฮึก.....ว่าจะต้องสูญเสียคุณไป....ฮึก......คุณเคยบอกว่าผมคือชีวิตของคุณ...ฮึก....แต่สำหรับผมแล้ว....ฮึก....คุณก็คือชีวิตของผมเหมือนกัน....ฮึก.....ถ้าไม่มีคุณอยู่ ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง....ฮึก.....ชีวิตที่ไม่มีหัวใจ มันจะอยู่ได้ยังไงอ่ะพี..........ฮึกๆ......ฮึกๆ” ก้องบดินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น ยิ่งพูด น้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหลออกมาไม่ขาดสาย พีรวิชญ์เห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือหนามาลูบผมนุ่มสั้นที่อยู่บนศีรษะของก้องบดินทร์อย่างอ่อนโยน พร้อมกับเอ่ยปลอบใจคนรัก

“ชู่วววววว........นิ่งซะนะคร้าบคุณก้อง โอ๋ๆๆๆๆ ผมก็อยู่นี่แล้วไง ตากลับมาหายายแล้วนะคร้าบ ไม่ร้องแล้วนะคนดี ไหน....คุณช่วยยิ้มหวานๆให้ผมหน่อยได้มั๊ย ผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ”

ก้องบดินทร์ได้ฟังดังนั้นก็รีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า พร้อมกับส่งยิ้มที่หวานที่สุดให้แก่พีรวิชญ์
“เฮ้อ....อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย” พีรวิชญ์อดยิ้มไม่ได้กับความน่าเอ็นดูของคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ก้อง........คุณรู้อะไรมั๊ย จริงๆ แล้วผมก็กลัวไม่น้อยไปกว่าคุณเลย ผมกลัวที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคุณอีก ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผมคิดถึงแต่คุณ คิดถึงแต่ความทรงจำดีๆ ระหว่างเรา แต่ว่า........ในเมื่อไหนๆ ผมก็กลับมาแล้ว ใจคอคุณไม่คิดจะรับขวัญแฟนของคุณหน่อยเหรอคร้าบ” พีรวิชญ์ส่งเสียออดอ้อน พร้อมกับส่งรอยยิ้มละลายขั้วโลกให้กับคนข้างเตียง แล้วเอียงแก้มข้างหนึ่งไปให้คนรัก เป็นสัญญาณว่าก้องบดินทร์ควรจะรับขวัญเขาอย่างไร ซึ่งหากคนหน้ากลมสังเกตดีๆ ก็จะเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ แบบที่เขาคิดถึงมาตลอดยามที่พีรวิชญ์ยังไม่ฟื้น

เมื่อก้องบดินทร์เห็นท่าทางของคนหน้าเข้มที่อยู่บนเตียง สีหน้าของเขาก็ซับสีเลือดขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงไปหาแก้มของคนรัก

‘เอาน่า....ผมจะตามใจคุณสักหน่อยก็แล้วกัน นี่ผมเห็นคุณป่วยอยู่นะเนี่ย ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าผมจะทำอะไรแบบเนี้ย’ ก้องบดินทร์คิดอยู่ในใจอย่างเขินๆ แต่แล้วคนหน้ากลมก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อจู่ๆ พีรวิชญ์ก็หันหน้ากลับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว จนทำให้ริมฝีปากของคนทั้งคู่สัมผัสกัน

เนิ่นนานในความรู้สึก............ก้องบดินทร์หลับตาพริ้ม ซึมซับรสสัมผัสที่คนหน้าคมบรรจงถ่ายทอดมาให้แก่เขาอย่างสุขใจ คนที่อยู่บนเตียงใช้สองมือประคองใบหน้าของคนรักไว้มั่น ริมฝีปากหนาบดเบียดกับกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเคล้าเคลียกับพวงแก้มเนียน เปลือกตาคู่สวย และซอกขอขาวๆที่น่าสัมผัสนั่น แต่แล้วคนทั้งสองก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเจ๊ตุ่มดังมาจากหน้าห้อง

“นี่....ไอ้เจ๋ง แกถือปิ่นโตให้มันดีๆ หน่อยได้มั๊ย เดี๋ยวซุปไก่ตุ๋นที่ป้าฟองอุตส่าห์ต้มมาให้คุณพีกินก็หกหมดหรอก” เจ๊ตุ่มพูดพลางเปิดประตูเข้ามาในห้องคนไข้ที่พีรวิชญ์พักฟื้นอยู่

“โธ่เจ๊.....เจ๊ก็เห็นอยู่ว่าของออกจะเยอะแยะขนาดเนี้ย แล้ว ’ไมเจ๊ไม่ช่วยผมถือบ้างล่ะ”

“อ๋อ........เดี๋ยวนี้แกเถียงชั้นเหรอ เถียงชั้นเหรอ.....หะ” พูดไม่พูดเปล่าแถมฟาดฝ่ามือใส่แขนของเด็กหนุ่มไม่ยั้ง

“โอ๊ยยยยยย เจ๊........เจ็บนะ เดี๋ยวซุปอะไรเนี่ยของเจ๊ ก็ได้หกไปจริงๆ หรอก”

“เอาล่ะๆ พอกันได้แล้วทั้งสองคนนั่นแหละ นี่มันโรงพยาบาลนะ ไม่ใช่ตลาดสด ทะเลาะกันอยู่นั่น เกรงใจพ่อพีเค้าบ้างสิ” ป้างฟองห้ามทัพของทั้งสองคนเมื่อเห็นว่าชักจะทะเลาะกันไปเลยเถิด ก่อนจะหันมาพูดกับคนที่อยู่บนเตียง ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“หมดเคราะห์หมดโศกกันสักทีนะลูกนะ เจ็บอะไรตรงไหนบ้างหืม......ต่อไป จะขับรถขับราต้องระวังมากกว่านี้นะ เราระวังของเราก็จริง แต่คนอื่นเค้าไม่ระวังให้เรา เราเลยต้องระวังตัวเป็นสองเท่า เข้าใจไหมลูก”
“ครับคุณแม่ ต่อไปผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ” เขากล่าวกับป้าฟองพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆ ให้ “แม่ยาย” ซึ่งตั้งแต่ป้าฟองยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับก้องบดินทร์ เขาก็เนียนเรียกป้าฟองว่าแม่มาตั้งแต่บัดนั้น และป้าฟองก็ไม่ได้ว่าอะไร เหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่าพีรวิชญ์คือ “เขยเล็ก” ของครอบครัว

“แล้วทำไมวันนั้นพีถึงขับรถเร็วล่ะลูก” ป้าฟองเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

“ผมรีบกลับบ้านนะครับ พอดีผมรู้ว่ามีใครบางคนหงุดหงิดงุ่นง่านคอยผมอยู่ที่คอนโด” พูดเหมือนจะตอบคำถามของ “แม่ยาย” แต่พีรวิชญ์กลับส่งสายตาวิบๆ ไปให้คนแก้มป่องที่ตอนนี้ได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางห้อง ก้องบดินทร์เหมือนจะได้ยินเสียงหึๆ เบาๆ ดังมาจากชายหนุ่ม ‘ฮึ่ย.......ฝากไว้ก่อนเถอะคุญพีรวิชญ์”

“แต่ถึงจะรีบยังไง เราก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ขอให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนนะพ่อพี แม่ล่ะ พอได้ยินข่าวจากตาก้องก็ตกอกตกใจกันทั้งบ้าน......อ้อ.....วันนี้แม่ทำซุปไก่ตุ๋นมาให้พ่อพีด้วย ทานเยอะๆ นะ จะได้หายไวๆ.....เอ้า....ตาก้องยืนเฉยอยู่ได้ มาช่วยแม่หน่อยเร็ว” ป้าฟองเอ่ยกับชายหนุ่มอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปสั่งงานให้ก้องบดินทร์ดูแล “ลูกรัก”

“โถ่.......แม่คร้าบ.......ผมกับพีใครเป็นลูกแม่กันแน่อ่ะ” ก้องบดินทร์ตัดพ้อมารดาเสียงอ่อย พร้อมกับยื่นชามซุปไก่ตุ๋นไปให้คนบนเตียง

“ก้อง ป้อนผมหน่อยสิ”

“คุณซี่โครงหักนะ ไม่ได้เป็นง่อย แขนขาก็ใช้งานได้ กินเองสิครับ” ก้องบดินทร์เริ่มเหวี่ยงใส่คนรัก โทษฐานที่ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า

“แต่ผมไม่ค่อยมีแรงนี่คุณ ก่อนหน้านี้คุณก็เคย ‘ป้อน’ ผมไม่ใช่เหรอ น่านะ.....ก้อง......คุณ ‘ป้อน’ ผมอีกครั้งนะ ผม ‘หิว’ ” พีรวิชญ์เน้นเสียงคำว่า ป้อน และ หิว แถมส่งสายตากรุ่มกริ่มมาให้คนแก้มป่องอย่างเปิดเผย

ฝ่ายคนถูกมองก็ได้แต่ยืนหน้าแดงแล้วแดงอีก ก่อนจะวางชามลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“แต่ตอนนี้ผมปวดฉี่ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ ส่วนซุปเนี่ย ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน ผมว่านะคุณน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแลหรอก ดูท่าทางแล้วคุณไม่เหมือนคนป่วยหนักเลยนิ สงสัยคุณคงจะถึกเหมือน............ ช่างมันเถอะ อยากเป็นตัวอะไรเติมเอาเองแล้วกันนะคุณพี” ก้องบดินทร์ยิ้มยียวนแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที แต่ก้าวยังไม่ถึงสองก้าวดีก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงพีรวิชญ์ตะโกนตามหลังมา

“อ้าว.....ก้อง.........คุณเพิ่งจะรู้เหรอว่าผมถึก” คนหน้าคมหัวเราะอย่างเต็มเสียง เมื่อคนแก้มป่องหันมาทำหน้าเหวี่ยงใส่

“ฮึ่ยยยยยยยยยยย..............” คนตาโตรีบจ้ำอ้าวไปยังห้องน้ำในห้องพักฟื้นทันที ก็ขืนอยู่นานกว่านี้สิ พีรวิชญ์ต้องได้เห็นเขาตัวแดง หูแดงแน่ๆ
.
.
.
หลังจากที่พีรวิชญ์ต้องอุดอู้อยู่ในโรงพยาบาลมาหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้เขาก็ได้กลับมาพักฟื้นอยู่ที่คอนโดอีกครั้ง คนหน้าเข้มอาการดีวันดีคืนเพราะก้องบดินทร์คอยดูแลปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ขาด ระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งดูทีวีหลังทานอาหารค่ำ พีรวิชญ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ก้อง.....ขอบคุณมากนะครับ ที่คุณอยู่ดูแลผมมาตลอด และไม่ทิ้งกันไปไหน ผมรู้สึกโชคดีจังเลยที่มีแฟนที่น่ารักอย่างคุณ”

“ก็ผมจะทิ้งคุณไปได้ยังไงหล่ะ ก็ในเมื่อผมรั.........เอ่อ.......ผม”

“คุณทำไมก้อง.........” คนหน้าคมยิ้มเจ้าเล่ห์ เขี้ยวเสน่ห์ของคนตรงหน้าทำเอาก้องบดินทร์ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“..............”

“ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะทำโทษนะ”

“.............”

“หนึ่ง”

“.............”

“สอง”

“.............”

“สาม”

ทันทีที่สิ้นเสียง พีรวิชญ์โฉบหน้าคมๆ เข้าไปใกล้ๆ แก้มเนียนของคนรัก ก้องดินทร์ใช้สองมือยันหน้าอกเขาไว้ทัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

“ผมตอบก็ได้ ผมตอบแล้ว ผมตอบแล้ว....เอ่อ......ผมแค่จะบอกว่า ผม......เอ่อ......ผมรักคุณ” คนที่เพิ่งตอบคำถามเสร็จก้มหน้างุดๆ เพราะความเขินอาย แต่แล้วเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อพีรวิชญ์เชยคางเขาให้เงยรับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาที่ปากคู่สวย สัมผัสนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน ทำให้ก้องบดินทร์เคลิ้มไปกับรสสัมผัสนั้น เหมือนเวลาหยุดหมุนลงชั่วขณะ เนิ่นนานกว่าคนหน้าเข้มจะยอมผละจากริมฝีปากที่แสนจะยั่วเย้านั้น ก่อนที่จะกระซิบที่ข้างหูคนรักอย่างอ่อนหวาน

“ก้อง.....ผมก็รักคุณ”

เมื่อก้องบดินทร์ได้ยินคำบอกรักจากคนตรงหน้าเค้าก็ช้อนสายตาหวานๆ ขึ้นสบตากับชายหนุ่ม แล้วเขาก็ได้เห็นแววตาที่อบอุ่นจริงใจทอดมองกลับมา พีรวิชญ์ทาบทับริมฝีปากของตนลงไปที่ปากนุ่มสวยนั้นอีกครั้ง สัมผัสนั้นอ่อนหวาน ก่อนจะค่อยๆ รุกเร้า และเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ พีรวิชญ์สำรวจริมฝีปากคู่นั้นอย่างหลงใหล ตักตวงความหวานจากกลีบปากสวยไม่สิ้นสุด ทันใดนั้นเสียงกาต้มน้ำก็ดังขึ้น ทำให้ก้องบดินทร์ออกจากภวังค์แล้วโวยวายด้วยน้ำเสียงที่เอาเรื่อง

“ไหนคุณบอกว่าถ้าผมตอบจะไม่ทำโทษผมไง”

“แล้วใครบอกล่ะคร้าบ ว่าผมทำโทษคุณ ผมน่ะให้รางวัล กับความน่ารักของคุณต่างหาก” พีรวิชญ์หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี

ส่วนก้องบดินทร์ที่ไม่เคยเถียงชนะคนหน้าเข้ม ก็ได้แต่เดินหนีผละไปชงชาในครัว พลางคิดอยู่ในใจ

‘ฮึ่ย.....เนี่ยนะคนเจ็บ........พีนะพี ทำโทษกับให้รางวัล ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย’

แต่ก้องบดินทร์คงจะไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้เขากำลังอมยิ้มน้อยๆ อยู่ และก็ไม่พ้นสายตาของคนหน้าเข้มซะด้วยสิ




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2554
6 comments
Last Update : 2 พฤษภาคม 2554 14:20:57 น.
Counter : 1235 Pageviews.

 

มดขึ้นแย้ววอ่าาา...อิอิ^^

 

โดย: สาวน้อย IP: 180.183.169.62 4 พฤษภาคม 2554 2:47:25 น.  

 

หวานได้ใจ จริงๆ เฮ้อ !!!! อิ่มอก อิ่มใจ สงสัยวันนี้ นอนฝันดีแน่เลยเรา

 

โดย: lek^lek. IP: 49.48.141.24 4 พฤษภาคม 2554 3:35:00 น.  

 

ซึ้งใจจัง..ซึ้งใจกับความรัก ความห่วงใยของคนทั้งคู่มากๆ

อ่านอย่างมีความสุขมากมายจริงๆ

 

โดย: ไข่มุกดำ IP: 223.204.114.6 1 มิถุนายน 2554 17:59:37 น.  

 

เข้ามา่อ่านอีกรอบ ด้วยความคิดถึง
ขอขอบคุณสำหรับฟิคหวานๆ ซึ้งๆ ของก้องพีนะจ๊ะน้องเอส




 

โดย: thenok 4 มิถุนายน 2554 4:03:45 น.  

 

หวานใช่ย่อยนะคุณพีร์...ขนาดเจ็บขนาดนั้น...

 

โดย: P'wara Sfc IP: 125.26.237.9 29 ธันวาคม 2554 23:00:13 น.  

 

อิ๊อ๊างงง เขินว่ะ! ///

 

โดย: Boboman~! IP: 118.172.9.208 14 มกราคม 2555 17:15:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


biomedical_girl
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นนัก (หัด) เขียน ที่ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องสั้นเรื่องแรกมาจากความน่ารักของตัวละคร พีรวิชญ์ และ ก้องบดินทร์ จากละครเรื่องพรุ่งนี้ก็รักเธอ โดยปกติจะเป็นนักศึกษาทุนในระดับปริญญาโทสาขาชีวเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ที่ความเวิ่นเว้อบังเกิดก็จะแปลงร่างจากสาวเนิร์ด เป็นสาววายทันที ^^" นอกจากนี้ยังชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ และมีความใฝ่ฝันว่าสักวันฉันจะได้ออกเทป (หุหุ) บางครั้งในเวลาว่างๆ ก็จะแต่งเพลง แต่งกลอน ออกมาอยู่เสมอ จนบางครั้งคนรอบข้างถึงกับแซวว่าเธอน่าจะไปเรียนอักษรหรือนิเทศมากกว่าชีวโมเลกุลนะ --"
New Comments
Friends' blogs
[Add biomedical_girl's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.