พฤษภาคม 2550
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 พฤษภาคม 2550
 

[1/5] ผมฆ่าเวลาไปกับ Pathfinder ไปบริจาคเลือดเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์และ ไปห้อยโหนกับสไปดี้ที่โรง IMAX

.... นานๆทีผมจะทำ Diary ให้คนๆในเฉลิมไทยได้อ่านกัน เพราะมีคนที่เขาทำ Diary เป็นประจำได้ดีกว่าผมหลายๆเท่า ทำให้คนรู้สึกสนุกไปกับ Diary ของคนๆนั้น มาในวันนี้ผมรู้สึกว่าวันนี้รสชาติของผมไม่ได้เจอแค่รสเดียวเท่านั้น แต่ผมได้เจอรสชาติที่มันทำให้ผมรู้สึกไม่จำเจอีกด้วย และมันก็จบลงที่ความสุขที่ผมพยายามจะหามานานมากๆแล้ว ไม่ว่าจะเริ่มต้นที่ความเซ็ง ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น และจบลงด้วยความสุขกับหนังที่ผมเองประทับใจเหลือเกิน จนรู้สึกว่ามันเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตของผม ฉนั้นผมคงจะขอเล่าไปเลยละกัน


.... วันนี้เดิมทีผมคิดจะไม่ดูอะไรก่อนไปดูสไปดี้ที่โรง IMAX เพราะเดิมทีจะไปซ้อมบาสก่อนที่จะไปรับแฟนและก็ไปที่พาราก้อนเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากว่าโรงยิมที่ผมจะไปซ้อมเขายังไม่เลิกเรียนพวกกีฬาซัมเมอร์กันเลย และกว่าที่เขาจะอนุญาติให้พวกนิสิตทั่วไปใช้ได้ ก็ประมาณ 4 โมงเย็นแหละ ผมก็เลยคิดจะไปพาราก้อนเลยละกัน เพราะวันนี้ก็เป็นวันหยุดแรงงานและก็สไปดี้บทที่ 3 น่ะครับ ก็เลยตัดสินใจแบบนั้น และเมื่อไปถึงที่พาราก้อน คนเข้าคิวระห่ำมากๆ ในฝั่งขายตั๋วทั่วไป แต่กลับฝั่งโรง IMAX มีแต่คนลังเลที่คิดจะซื้อทั้งนั้น และก็ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปซื้อด้วย ในเมื่อผมเป็นคนเด็ดเดี่ยว ผมก็เลยตีตั๋วไปเลยครับ 2 ที่นั่ง (รอบ 16.45 ใครดูรอบเดียวกับผมช่วยยกมือด้วยนะครับ!) แต่ว่าตอนที่ไปซื้อตั๋วมันก็เที่ยงๆแล้ว และก็เวลาเหลืออีกเยอะก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี? ก็เลยคิดว่าหาหนังอะไรดูแก้เซ็งหรือฆ่าเวลาซักระยะนึงดีกว่า เพราะว่าจะไม่ใช้เวลาให้เสียดายเปล่า

.... ก็มี Pathfinder รอบ 13.15 ตรงโรงธรรมดาของพาราก้อนเนี๊ยแหละ ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ซื้อตั๋วไปดูเลยอ่ะครับ (ทั้งๆที่รู้ๆอยู่ว่าหนังห๊วยห่วยแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางเลือกก็คงต้องไปดู) ทีนี้หลังจากซื้อตั๋วเสร็จผมก็เดินเล่นไปซักพักนึงอ่ะครับ ก็เดินไปแถวข้างๆโรง IMAX ก็พบว่าวันนี้เขาจัดงาน Green Charity ของคลื่น Green Wave อยู่ด้วย ผมเองก็เห็นว่าเขามีบริจาคเลือดกันด้วย ผมก็รู้สึกอยากจะช่วยพวกเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็ถ้าบริจาคไป ครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมบริจาคด้วย ฉนั้นผมก็ตัดสินใจที่จะไปกรอกฟอร์มเขียวและต่อคิวเพื่อที่รอเวลาก่อนที่จะเข้าไปดูหนังทั้ง 2 เรื่องนี้ในวันนี้! แต่คิวยาวมากๆแล้วก็คนกับขยับกันช้ามากๆ แบบว่าพอถึงส่วนที่เจ้าหน้าที่จะตรวจเอาแบบฟอร์มก่อนที่จะเข้าไปตรวจเลือดและบริจาคเลือด ก็กินเวลาผมจนถึง 13.35 เลยล่ะครับ ฉนั้นผมก็เลยให้เจ้าหน้าที่เขาตรวจแบบฟอร์มเสร็จ และผมก็บอกเขาว่า "เดี๋ยวตอนบ่ายสามกลับมาอีกที" เขาก็ตอบกลับมาว่า "กลับมาอีกทีก็ได้ แต่ไม่มั่นใจว่าเขาจะยังรับเลือดอยู่รึเปล่า" ผมก็เลยหวั่นๆใจว่า ถ้ากลับมาอีกทีจะได้บริจาคเลือดรึเปล่า??? แต่ก็คิดว่างานแบบนี้มันคงไม่เลิกง่ายๆหรอก ก็ไปดู Pathfinder ก่อน ก่อนที่จะกลับลงไปเพื่อบริจาคเลือด

____________________________________________________
มาพูดถึงตัวหนัง Pathfinder [SPOIL*** ถ้าไม่อยากดูก็อ่านได้นะครับ] อยากบอกเลยนะครับ ขณะที่ดูเนี๊ย ผมภาวนาขอให้หนังสั้นๆและก็ขอให้จบประมาณบ่ายสามตรงหน่อย ซึ่งก็จะดีมากๆ แต่หนังกลับบอก "เห่ย แบบไม่เวิร์คมากๆ" อ่ะครับ คือเรื่องราวหนังน่าสนใจนะ เล่าย้อนเรื่องราวของดินแดนอเมริกาก่อนที่ Christopher Columbus จะตามหาดินแดนแห่งนี้เจอในอีกหลายปี ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องราวนึง ที่คนไม่คิดนึกถึงและไม่มีใครรู้มาก่อนก็คือ เรื่องราวของพวกบาบาเลี่ยน กับพวกอินเดียนแดง ที่พวกเขามีเรื่องราวกับการต่อสู้ในช่วงระยะนึง เมื่อคนอินเดียนแดงเผ่านึง ได้พบเด็กชายที่รอดชีวิตจากเรือไวกิ้ง ทางเผ่าคนอื่นๆไม่คิดจะรับเด็กคนนี้ไว้ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะถ้าไม่รับเด็กคนนี้เด็กก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไหนก็เลยรับเขา พอโตขึ้นเด็กกลับมีวิถีชีวิตแบบพวกอินเดียนแดงมากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับอยู่ดีในเผ่า และก็พวกบาบาเลี่ยนก็มาฆ่าคนในหมู่บ้านของพระเอก และครอบครัวที่เลี้ยงพระเอกตั้งแต่เด็ก พระเอกเลยแค้นก็เลยขอต่อกรกับพวกบาบาเลี่ยน แต่ต่อกรไปมายังไงไม่รู้? พระเอกกลับกลายเป็นผู้ถูกล่าซะแทน

ผมคงไม่พูดมากนะ หนังก็แบบว่าเนื้อหาน่าสนใจ ฉากโหดก็เยอะอยู่พอควร แต่หนังออกแนวเห่ยมากๆ หนังแบบว่าไม่สามารถคุมโทนตัวเรื่องมันเองอย่างทั่วถึง หนังเดินเรื่องเอื่อยจัดๆ แล้วแบบว่าไม่สามารถใส่อะไรให้คนสนใจไปตัวหนัง คนดูส่วนใหญ่ก็คงภาวนาไม่ต่างจากผมแน่ๆแหละว่า "อยากให้หนังจบเร็วๆ" หรือ "เมื่อไหร่หนังจะจบอ่ะ" แบบว่าไม่มีอะไรในนั้นเลยอ่ะครับ ที่จริงมีหลายส่วนที่หนังพอทำให้มันสนุกได้บ้าง แต่มันกลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกับคนดู แม้แต่นิด (แบบเดียวที่หนังแบบ Battlefield Earth และ Eragon ทำไว้ ) อีกอย่างนักแสดงผมว่าน่าจะแสดงได้ดูน่าเชื่อถือกว่านี้นะ มันเหมือนกับว่าแสดงตามที่บทมันบอก ไม่ได้ตีความหรือทำอะไรก่อนเล่นเลยซักนิด แล้วก็ตัวละครในเรื่องออกแนวไม่ค่อยฉลาดไงไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าใบ้ที่แบบว่า เขาไม่ให้ตามยังจะตามเขามาอีก พวกอินเดียนที่มาช่วยพระเอกกลับไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย แล้วหลังจากนั้นพระเอกยอมแพ้ง่ายเกินไปรึเปล่า??? ที่สำคัญทำไมไม่ให้ตัวละครในเรื่องทุกๆตัวพูดภาษาอังกฤษล่ะ ทั้งๆที่พวกพระเอกพูดภาษาอังหฤษตลอดทั้งเรื่อง แต่ไอ้พวกตัวร้ายนี่พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันก็ไม่เท่ห์เลย อีกอย่างจำได้ว่าในตัวอย่างเรื่องนี้มีเลฟิซีน พอดูไปดูมาหนังจะจบแล้ว ไม่เห็นมีอะไรในก่อไผ่ พระเอก Karl Urban นี่เทียบกับตอนที่เขาเล่นหนังเรื่องก่อนๆแทบจะไม่ได้เลย แต่นางเอกเนี๊ยถึงแม้จะแสดงไม่ดีก็ตาม แต่ก็สวยเหมือนคนไทยนะ

โดยรวม .... เหมาะดูเฉพาะการฆ่าเวลาเท่านั้นอ่ะครับ ไม่ว่าจะขณะที่รอแฟนเอย? หรือรออะไรบางอย่างน่ะครับ เป็นหนังที่มาในแนวแบบ Eragon ดูจบแล้วไม่ควรไปนึกถึงอีก มีเป็น DVD ก็ไม่ควรซื้อ เพราะมันเป็นหนังอันตรายอ่ะครับ เสียดายเวลา เสียดายเงิน เสียดายที่ FOX ลงทุนสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาครับ! แล้วก็ไปรู้มาอีกว่าเรื่องนี้เป็นรีเมคของหนังนอร์เวย์ที่เคยชิงออสการ์ตอนปี 1987 เรื่อง Ofelas ซะด้วย ก็เลยเข้าใจว่าทำไมหนังชวนให้คนเบื่อง่าย มากกว่าให้คนจดจำนะเนี๊ย?

______________________________________________________


ที่จริงผมเริ่มลุกออกจากที่นั่งตั้งแต่หนังยังไม่จบเลยอ่ะครับ ก็ยืนเมื่อยรอให้หนังจบซะที จะได้รีบซิ่งเกียร์ม้าลงไปข้างล่าง เพื่อไปบริจาคเลือดให้เสร็จ (หนังจบประมาณ บ่ายสามยี่สิบ เลยต้องซิ่งหนักไปกว่าเดิม) พอลงไปข้างล่าง ก็ตรงงาน Green Charity ที่เขาจัดตอนนั้นก็เริ่มมีพวกศิลปิน-ดารามาพอสมควรแล้ว คนดูและคนที่อยู่แถวนั้นก็เยอะขึ้นตามระเบียบแหละครับ ผมก็รีบแทรกเข้าไปตรงที่เขาปริจาคเลือด คราวนี้คิวไม่ยาวกว่าครั้งก่อน แต่ก็ต้องรอนานอยู่เหมือนกัน (ประมาณ 20-30 นาทีได้) พอเข้าไปข้างในที่เขาให้บริจาคแล้ว ก็ตรวจชีพจรและตรวจเลือด แต่พอมาตรวจเสร็จก็รออีกซักระยะแหละครับ เพราะว่าก็ต้องรอคิวที่จะเข้าไปบริจาคเลือดอ่ะครับ แล้วพอถึงคราวผม

ผมยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเคยบริจาคไปนั้น ผมไม่รู้สึกอะไรเลยซักนิดขณะที่กำลังให้เลือด ในครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ ผมแทบไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เพราะขณะที่ให้เลือดผมก็ฟัง IPOD ของผมอยู่อ่ะครับ ก็เลยเพลินไปกับการฟังเพลง ทำตัวสบายๆไปเรื่อยๆและก็รอเวลาจนกว่าการให้เลือดครั้งนี้จะเสร็จ ขณะพยาบาลที่คุมอยู่แถวนั้น เขายังบอกว่า "อืม ... เก่งจริงๆ แสดงว่ามือโปร" ผมก็แอบอมยิ้มเล็กๆน้อยๆอ่ะครับ! ที่จริงคิดว่าอีก 3 เดือนถ้าเขามีงานไหน ก็จะไปให้เลือดกับเขาต่ออ่ะครับ เพราะผมเป็นคนๆนึงที่กล้าจะทำอะไรที่ผมกำลังเผชิญหรืออาจไม่ยินยอมบ้างก็ตาม! แต่ที่ทำไปก็เพื่อบุญที่ตัวเองจะได้รับ และเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยอ่ะครับ

ก็หลังจากที่ผมบริจาคเลือดเสร็จแล้ว ผมเองก็คิดว่าคงจะต้องรอแฟนซักแป็บก่อนเข้าในโรง IMAX ซึ่งผมเองก็รอแถวโรง IMAX แหละครับ! ซึ่งเมื่อหลังจากที่บริจาคเลือดเสร็จไปก็เหลือ 25 นาที ก่อนที่หนังจะเริ่มน่ะครับ! ผมเองก็โทรหาแฟนผม เพื่อตื๊อเขาให้รีบมาเร็วๆ แต่ .... วันนี้แปลกกว่าครั้งก่อนๆ เพราะผมไม่ต้องไปตื๊อเขาอ่ะครับ คือขณะที่ผมโทรไป พอโทรศัพท์ติด ผมก็ถามว่าอยู่ตรงไหนอ่ะ? เขาก็บอกอยู่ข้างหลังนายอ่ะ คือแบบว่าวันนี้เธอมาตามนัดเวลาเปี๊ยๆ จะมีไม่กี่ครั้งที่เธอจะทาตามนัด แต่คราวนี้ผมคิดว่า เธอคงอยากมาร่วมประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ IMAX กับผมอีกซักครั้ง (หลังจากที่เคยร่วมประสบการณ์มาแล้วครั้งนึงในตอนไปดู Happy Feet) และเธอก็คงอยากดู Spider-Man 3 มากๆเลยมาตรงเวลาขนาดนี้! แล้วเมื่อผมกับเธอมาพร้อมกันอยู่ตรงหน้าโรง IMAX แล้ว เราก็จูงไปด้วยกันเพื่อเข้าไปรับประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ IMAX อีกครั้ง และหวังว่าครั้งนี้คงไม่แพ้กับครั้งที่แล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไง ถ้าเป็นหนังดีๆที่เธออยากดูผมก็เต็มใจที่พาเธอมาดู

(อีกทีนะครับ ถ้าใครดู Spider-Man 3 ที่โรง IMAX วันนี้ รอบ 16.45 ช่วยออกเสียงหน่อยนะครับ!)

เมื่อเข้าไปในโรง IMAX คนก็แน่นโรงแบบที่ไม่ค่อยเห็นในโรง IMAX แบบนี้บ่อยๆน่ะครับ คือปกติมันไม่แน่นขนาดนี้ (ขณะตอนไปดู Superman Returns จำได้ว่ามันยังเหลือ 2 แถวหน้านะ) ซึ่งมาในครั้งนี้มันเต็มโรงแบบระห่ำมากๆอ่ะ จนแทบจะไม่เห็นที่ว่างเหลือไว้ซะกะที่เลยอ่ะครับ! แต่ก็นะภาคนี้คนรอมา 2-3ปีขนาดนี้ ถ้าคนไม่เยอะก็คงแปลกไปอีกอย่างอ่ะครับ!

อยากบอกว่า พอหลังจากการสรรเสริญพระบารมีเสร็จน่ะครับ ผมเองก็ได้ชมตัวอย่างหนังที่มาใหม่โคตรๆ แบบว่าพึ่งเอามาลงในเน็ตไม่กี่ชม.นี้ แต่ได้ดูแบบเวิร์ดพรีเมียร์ครั้งแรกกับตัวอย่างเรื่อง Fantastic Four: The Rise of Silver Server ที่แบบว่า สามารถทำให้คนดูคาดหวังว่า นี่จะเป็นหนังที่ดีกว่าภาคแรกแน่ๆนะ??? (หรืออาจจะแย่กว่าเดิม?) ผมคงไม่ต้องเล่าสรรพคุณของตัวอย่างหนังเรื่องนี้มากอะไรนะครับ เพราะออนให้ได้ดูกันแล้วนะครับ
//images.apple.com/movies/fox/fantastic_4-silver_surfer/fantastic4silversurfer-tlrj_h480p.mov

และเมื่อหนังตัวอย่างจบไป ก็มี Introduction เกี่ยวกับโรง IMAX ทำได้แจ๋วมากๆอ่ะครับ ตระการตาสุดๆ แบบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีพนักงานพูดก่อนหนังเริ่มและตอนหนังจบอีกต่อไปแล้ว! แบบว่าทำ Introduction ได้แจ๋วมากๆ (แบบว่าถ้าใครดูรอบเดียวกับผมก็จะรู้เลยว่า มันอลังการขนาดไหน!) แล้วก็พอจบ Introduction ก็มี ตัวอย่าง HP5 ในแบบ IMAX ด้วย เจ๋งไปอีกแบบแฮะ!

แต่สิ่งนึงที่ผมว่าไม่ไหวเกี่ยวกับโรงภาพยนตร์ IMAX และเบื่อเต็มทีที่ทุกๆคนมาดูอ่ะ คือพวกคนดูที่ชอบมาไม่ตรงเวลาอ่ะ คือมันก็น่าจะมีกฎเฉพาะที่นี่หน่อยว่าไม่ควรมาเลทช่วงเวลาที่หนังเริ่มไปแล้ว! เพราะว่าก่อนหนังเริ่มไป 2-3 นาทีก็มีคนถยอยเข้ามากันแทบจะไม่หยุดเลย แล้วก็ประมาณพวกที่ชอบมาสายจะชอบเข้าไปนั่งอยู่ลึกมากๆด้วย เห้อ! เบื่อ!!!!! เวรกรรมจริง!!!! แล้วก็เรื่องเด็กอีก ผมไม่คิดว่าโรง IMAX นี่จะพาพวกเด็กเล็กๆเข้ามาดูได้นะ เพราะว่าโรงมันใหญ่มากๆ มันจะสร้างความไม่ชินให้กับเด็กอยู่เหมือนกัน วันนี้ขณะที่ดูก็มีเด็กร้องแงๆอยู่แถวล่างๆน่ะครับ แทนที่แม่เด็กจะพาเด็กออกไป กลับกลายเป็นว่าทำให้เด็กที่อยู่ในโรงอีกฝั่งนึงร้องไห้ตามไปด้วยอีก (โอ๊ย! กรรมของตูจริงๆ!!!! )



เอาล่ะมาพูดถึงหนังกันดีกว่า (ไม่ SPOIL นะครับ) ที่จริงรู้สึกคันปากมากๆหลังจากที่ออกจากโรงมาแล้ว และก็รู้สึกเลยว่าวันนี้เต็มอิ่มมากๆกับ Spidy ในภาคนี้ คือในความรู้สึกของผม ก่อนเข้าไปดูมันก็น่าจะทำได้ดีในระดับ แบบว่าคงเป็นอีก 1 หนังฮีโร่ที่อยู่ในดวงใจผมตลอดไป แต่พอได้จริงๆ

นี่ไม่ใช่แค่ 1 ในหนังที่ผมชอบประจำปีนี้ และเป็น 1 ในหนังฮีโร่ในดวงใจผม แต่นี่คืองานระดับชิ้นเอกของไอ้แมงมุม เพราะหนังเรื่องทำให้หนังไตรชุดไอ้แมงมุม หลายเป็นงานระดับมาซเตอร์พีซแบบ LOTR และ Star Wars ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอ่ะครับ คือเรียกได้ว่าภาคนี้เป็น The Return of The King และ Revange of The Sith ของหนังชุดไอ้แมงมุมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะครับ

แถมในความรู้สึกของหนังภาคนี้เหมือนกับว่า ทุกๆอย่างมันสมบูรณ์และเข้าที่แล้วอ่ะ ไม่อยากให้มันเพิ่มเติมอะไรอีกแล้ว! (คือไม่จำเป็นภาคต่อหนังชุดนี้ก็สมบูรณ์แล้วแหละ) เพราะถ้าจะมีภาคต่อไป ผมว่าคงต้องรออีกซีกระยะนึงหน่อย ถึงจะมีได้แต่ว่าหนังไตรภาคชุดนี้มันลงตัวของมันแล้ว (ซึ่งความรู้ของหนังภาคนี้ มันจะไม่ต่างกับ The Return of The King ซักเท่าไหร่)

ที่จริง Spider-Man 3 นี่เป็นหนังที่มีความเป็น Fiction มากกว่าภาคก่อนๆ แต่ในความขณะเดียวกันความ Reality ของมัน กลับไปอยู่ที่ความรู้สึกของตัวละครซะมากกว่า ที่จะทำให้เรื่องราวของหนังเหมือนอยู่ในโลกความเป็นจริงแบบใน 2 ภาคที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ แต่ถึงแม้มันอาจจะดูเป็น Fiction มากกว่า 2 ภาคก่อนก็ตาม แต่ในความรู้สึก ผมว่านี่เป็นหนังไอ้แมงมุมที่เคารพต้นฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างแท้ที่จริงครับ ซึ่งถ้าคุณได้เห็นตัวร้ายในเรื่องคุณจะเห็นว่า ตัวร้ายในภาคนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับในการ์ตูนซักเท่าไหร่ (แต่สมจริงกว่า! โดยเฉพาะ Venom นี่ เนี๊ยแหละตามที่ผมจินตรนาการไว้เลย ) ขณะที่มีตัวละครใหม่ๆที่เคยอยู่ในการ์ตูน แต่มาดัดแปลงใหม่มาให้เขากับหนังอย่าง Captain Stacy และ Gwen Stacy

แต่ภาคนี้ไม่ได้พูดถึงแค่ Peter Parker และ Spider-Man อย่างเดียว แต่หนังยังส่งบทดีๆที่ประโยชน์ 2 ตัวละครนี้ ที่ 2 ภาคก่อน พวกเขาเป็นเหมือนแค่น้ำจิ้มของเรื่องที่แค่เคียงข้าง Peter Parker และ Spider - Man เท่านั้น แต่ในภาคนี้พวกเขาคือคนเสริมพลังที่เกิดขึ้นจริงๆในหนังชุดนี้ นั่นคือ Mary Jane Watson และ Harry Osborn เพราะว่าไม่มีอีกแล้ว ที่ Mary Jane จะเอาแต่ร้องกรี๊ดและทำหน้าสวยๆ แบบเครื่องเคียงของหนังชุดนี้ แต่เธอจะได้ใส่ความรู้สึกเกี่ยวกับเธอที่แท้จริงในหนังเรื่องนี้ Harry บทภาคนี้จะไม่ออกแนวภาค 2 อีกแล้ว แต่จะมีอารมณ์หลากหลายมากขึ้น จนเราสามารถรู้สึกคิดถึง Harry จาก Spider - Man ภาคแรกได้เลย

ส่วน Spider - Man มีอะไรมากกว่าเดิมมากขึ้น เพราะภาคนี้จะไม่ใช่ประมาณแบบภาคก่อนว่า เป็นฮีโร่ต้องอดทนหน่อย แต่คราวนี้หนังได้เปลี่ยนซับเจ็คตัวมันเองว่า ด้านสว่าง หรือ ด้านมืด เลือกเอาอะไรที่คุณพอใจและคิดว่ารู้สึกดีที่สุด แต่คุณจะเห็นว่า ไม่ว่า Peter หรือ Spidy จะอยู่ด้านไหน เขาก็ยังรัก MJ สุดที่รักของเขาอยู่ดีแหละ (แต่จะออกมาแบบไหนนั้น ไปพิสูจน์ด้วยตาของคุณเองละกันครับ!) แต่อยากบอกว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่ Peter หรือ Spidy เข้าสู่ด้านมืด เข้าดูดีและดูเท่ห์กว่าที่เราคิดเสีย แถมกวนเท้าได้ใจมากๆ

ภาคนี้ ตัวร้ายก็จะมีประมาณเลวก็จริง แต่ยังมีคุณธรรมอยู่ เลวก็จริง แต่ก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรไป หรือเลวสุดขั้วไปเลย ผมชอบ Spidy ภาคนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวร้ายมันเยอะเท่านั้น แต่มันสามารถแตกคะแหนงได้ว่า ผู้ร้ายที่เราจะได้เห็นนั้น ต่างก็ไม่ได้จะเหมือนกันซะหมดไปหรอก (แต่เกี่ยวกับ Venom เนี๊ย คันปากจริงๆ อยากจะเล่า แต่ก็เล่าไม่ได้เดี๋ยวสปอยอ่ะ)

แต่ที่ของภาคนี้ที่ดีสุดๆจริง ยิ่งกว่าฉาก Action หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในหนังก็คงเป็น ทุกๆตัวละครมีประโยชน์เหมือนกันหมด แต่มันแตกต่างที่ว่าใครมีประโยชน์ตรงไหนบ้างเท่านั้น

จะเรียกได้ว่า การที่ผมไปห้อยโหนกับสไปดี้พร้อมกับแฟนผมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่มันจะเป็นห้อยโหนแบบครบทุกรสชาติหรือเต็มอิ่มอย่างเดียว แต่อยากให้ทุกๆคนรับทราบคุณจะไม่รู้สึกอินกับการห้อยโหนครั้งนี้กับสไปดี้หรอก ถ้าคุณไม่ไปห้อยโหนที่ IMAX อยากบอกว่าถึงแม้หนังจะไม่ใช่ 3 มิติ แต่นี่คือประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่คุณจะได้รับจากการดูเรื่องนี้ที่ IMAX ครับ อยากบอกว่า ถ้าคุณไปห้อยโหนแบบโรงปกติ คุณจะไม่รู้สึกเข้าถึงหนังแบบเดียวที่ผม ได้รับประสบการณ์ครั้งนี้หรอกครับ บอกได้เลยว่า IMAX เรื่องนี้ทำลืมหนัง IMAX เรื่องก่อนๆที่ผมดูมาได้เลยครับ

และผมจะบอกได้เลยว่า Spider - Man 3 ให้ความเต็มอิ่มมากกว่าหนังภาคก่อนๆของ Spider - Man อีกอ่ะครับ และที่แน่ๆ ภาคนี้มันสมบูรณ์ลงตัวของมันแล้วอ่ะ (ผมจึงเห็นด้วยกับทีมสร้างหนังชุดนี้เลยว่า เราเต็มที่แล้วแหละ)

(นี่เป็นแค่ส่วนย่อยๆเกี่ยวกับความเห็นผมต่อ Spider - Man 3 เท่านั้น เดี๋ยวผมจะเขียนเต็มๆให้อ่านแน่ๆ)

และเมื่อหนังจบลงแน่นอน ก็ผมกับแฟนไปหาอะไรกินอ่ะครับ ร้านที่ไปกินนี่ ผมแนะให้ทุกๆคนในเฉลิมไทยไปอุดหนุนกันหน่อย เป็นแซนวิชที่อร่อยพอควร ชื่อร้านว่า Subway น่ะครับ! เป็นแซนวิชที่ไม่ค่อยมีคอลเลสเตอรอลสูงนักเท่าไหร่! ราคาอาจแพง แต่ของมีคุณภาพครับ!

จากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันล่ะครับ ผมเองก็ได้ทำบุญและเต็มอิ่มกับหนังที่สุดๆจริงๆในปีนี้ แค่นี้ผมก็คุ้มเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้วล่ะครับ!

สรุปแล้ว: ขอโทษทีที่บรรยายไอ้หนัง Pathfinder ซะเยอะไปหน่อย เยอะกว่า Spider - Man 3 แต่ผมแค่เล่าคร่าวๆเท่านั้น ผมก็คิดว่าเดี๋ยวเขียน Spidy 3 ให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ แล้วผมก็จะพูดในส่วนที่หนังได้บอกกับคนดูเอาไว้ และก็คง SPOIL ให้หมดอ่ะครับ แต่วันนี้ผมอิ่มบุญและอิ่มใจมากๆครับ!

เพิ่มน่ะครับ*** แนะนำว่าก่อนดู Spider-Man 3 ขอให้ไปดู Spider-Man 2.1 ก่อนอ่ะครับ เพราะมันจะมีรายละเอียดบางอย่างจากหนังฉบับพิเศษนี้จะถูกพูดถึงในภาค 3 ก็มีอยู่บ้างอ่ะครับ และก็คงจะขอแนะให้ไปดูที่ IMAX อ่ะครับ เพราะมันแจ๋วมากๆ แบบคุณเองเห็นแล้วก็ต้องทึ่งเลย

ปล. วง Snow Patrol มาร้องเพลงให้กับ OST Spider-Man 3 ด้วย ถ้าใครชอบวงนี้ ก็ไปหามาซื้งฟังนะครับ เพราะแทบทุกๆเพลง




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2550
2 comments
Last Update : 2 พฤษภาคม 2550 10:56:07 น.
Counter : 757 Pageviews.

 
 
 
 
แวะมาชมครับ ถ้ามีโอกาสคงหาทางแวะไปชม แมงมุม3 บ้างครับ
 
 

โดย: สอระ (สอระ ) วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:29:47 น.  

 
 
 
ยาวมาก ๆ ค่ะ แต่ว่าอยากไปดูจัง อิอิ
 
 

โดย: yoyo_ying99 วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:45:07 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

billy bob
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add billy bob's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com