|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
- ดีใจเพราะได้เจอคนที่แอบปลื้มอยู่ในใจ
- ย้ายบ้านใหม่ไป blogspot --> bfpinkerton.blogspot.com
- ให้สัมภาษณ์นักข่าว THES
- NYC Marathon draw
- Week 10 : Done with Presentation
- ช่วงนี้รู้สึกเครียด
- My Operatic World
- Endowment, Admission and everything you want to know.
- Feb 4 2006 , Historic Day of Thaiand
- week 3
- เล่าเรื่องเปิดเทอมใหม่ ( School is fun )
- เมื่อผมทดลองจัดอันดับ Ranking มหาวิทยาลัยแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
- Another Thank you letter
- Meet the Blogger- Life in Academia ( in USA)
- White Sox goes to World Series !!!
- PROOF (Miramax 2005)..why is it so special ?
- Nobel prize 2005 and other stuffs
- สัมภาษณ์ผ่าน e-zine
- Meet the like-mind
- Old student back to School..
- Meet the Bloggers
- Update จาก B.F.Pinkerton โดย บีเอฟ
- Update จาก B.F.Pinkerton โดย Scott
- เจอ Royalist ห้องสมุด
- ประชุมสมาคมอธิการบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติ (IAUP XIV Triennial Conference)
- เข้ามารายงานตัว
- ชีวิต มธ
- My Life in Bangkok
- Done!!!! Goodbye the greatest Chicago School..
- กราบแทบเท้าหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
- Memorial Day BBQ
- เมื่อผมหน้าแตกระดับชาติกับ Barack Obama
- เริ่มอยากวิ่งอีกแล้ว..
- Thank God, I didn't go to Harvard (Hilarious)
- ไปเข้าฟัง Thesis proposal
- น้ำอบ..ปริเยศ..ราชดำเนิน..ปิ่น ปรเมศวร์ และ Midway
- Running in Stanford course
- ไปเยี่ยม Palo Alto (ตอน 1)
- อีก 9 weeks- มาดูปาร์ตี้นักเรียนนอก มหาลัยดัง (อิอิ)
- สวัสดีเทอม spring
- อัตราค่าเงินเดือนใหม่นักเรียนทุน กพ.ในอเมริกา..ทำเราปวดหัวใจ
- ศึกชิงนักเรียนระหว่าง มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในอเมริกา (Princeton, Yale, MIT,Stanford) คนไทยมีเอี่ยวไหม?
- My Singing Career (that never happened)
- Sleepless in Chicago - TU nostagia
- เล่าจากชิคาโก: หิมะตกอีกแล้ว
- Blog ของ Professors
- เล่าเรื่อย ๆ
- Finally- I got it
- Obsession !! Excitement !! Agitation !! you name it.
- ปาฏิหาริย์กับการสอบสัมภาษณ์ (รำลึกอดีต)
- Wednesday February 23, 2005: Judgment Day
- Harvard A to Z From Aab to Zeph Greek and everything Crimson in between
- นินทานักวิจัยใหญ่
- โดนยึดอมยิ้มเหมือนกัน
- จะตั้งใจเปลี่ยนนิสัยในการเล่นเวปบอร์ด
- Philantrophy
- Running- my most favorite sport.
- Francis Fukuyama
- Ronald Coase Lecture/ Francis Fukuyama
- General Election Day for Thailand: The unsolved puzzle of TRT in the South?
- Suicide Prevention Day, Maria Callas
- why blogging ? ทำไมถึงต้องมี blog (ของฉัน)
- Fighting with the evils.
- Need Discipline
- ไปเลือกตั้งผู้แทนมาแล้ว..เลือกเบอร์อะไรรู้ไหม?
- Vissi darte, vissi d'amore (I lived for art, I lived for love)
- Tosca: Recondita Armonia
- B.F.Pinkerton will see TOSCA today
- Workshop
- วิธีแก้ง่วง
- ง่วงทั้งวัน
- พายุหิมะ และ ชีเปลือย
- ง่วง ๆ มึน ๆ สุดท้ายมีของดีมาฝาก (for economist)
- สัปดาห์แห่ง Dr.Martin Luther King, Jr. (2)
- My face hurt , my lips bled
- สัปดาห์แห่ง Dr.Martin Luther King, Jr. (1)
- เพื่อนห้องไกลบ้าน(1)
- วันแรก กับ pantip blog
|
|
|
|
|
week 3
เล่าเรื่องเรียนและชีวิตทั่ว ๆ ไป
ผ่านไปสามอาทิตย์ของการเปิดภาคเรียนใหม่แล้วครับ ยังรู้สึกว่าทำงานน้อยอยู่แล้ว จะต้องทำงานให้หนักมากขึ้น เพราะเทอมนี้ผมลงทะเบียนเรียนถึง 22 credits ( 6 วิชา )ไม่รู้จะหนักไปถึงไหน จริง ๆ ลงเอยไปแล้วที่ 5 วิชา แต่อาจารย์ที่ปรึกษาเขาก็มาชักชวน กึ่งบังคับ ให้ไปลงวิชาที่เขาเปิดสอน ก็ไม่มีอะไรมากครับ พบกัน 5 ครั้ง อาทิตย์ละ ชั่วโมงครึ่ง เป็นวิชาสัมมนา Economics of Education Workshop อภิปรายเรื่อง Paper ต่าง ๆ กัน เน้นเรื่อง Academic Test กับ achievement อื่น ๆ ของชีวิต เช่น ความก้าวหน้าทางการศึกษา, รายได้หลังจากจบไปแล้ว และก็ต้องเขียน Paper 10 หน้า หนึ่งชิ้น โดยคาดว่าเนื้อหาคงจะอยู่ที่การวิเคราะห์ทั้งเห็นด้วยและคัดค้านกับการใช้คะแนนสอบมาพิจารณา โดยเฉพาะในแง่ statistical validity และอาจจะในแง่ของความคิดพื้นฐานว่า คะแนนสอบ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ผมคิดว่าทุกคนคง take it for granted อยู่แล้วว่าการใช้คะแนนมาวิเคราะห์ เป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาในตัวมันแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากนักการศึกษา ที่เขามักจะมองด้วยสายตาแห่งความสงสัย (Skeptical) ในมิติว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่คะแนนสอบ ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ถึงสนใจแต่เรื่องนี้กันนะ.... วิชานี้คงเชิญนักวิชาการเรื่องนี้มาพูดคุยบางคน เช่น Rick Hanushek ( บรรณาธิการของ Handbook of Economics of Education ที่กำลังจะออกเร็ว ๆ นี้)
เช้านี้จะมีนักวิชาการคนสำคัญ คนโปรดของผมคือ Prof. Cornel West มาพูดที่ โรงเรียน แต่ผมคงไม่ไป เพราะอยากพักผ่อนมากกว่า หวังว่าเขาคงเก็บเป็น Video เอาไว้ดูแบบแห้ง ๆ วันหลัง Cornel West เป็นนักวิชาการที่เป็นเสาหลักคู่กับ Henry Louis Gates Jr. อยู่ที่คณะ African & African American Studies แห่ง Harvard แต่ภายหลังเกิดขัดแย้งกับอธิการบดี Larry Summers อย่างรุนแรง ในเรื่องที่ Summers กล่าวตักเตือนเรื่องที่ Cornel West ทะลึ่งไปออกสื่อมากเกินไป เช่น ออกเทปเพลงแร๊ป ไม่ทำตัวให้สมเป็นนักวิชาการ ( ทั้ง ๆ ที่ เขาเป็นคนที่เก่งมากทีเดียว ) West ก็เลยหนีไปอยู่ Princeton เสียเลย หลังจากนั้น อาจารย์คนอื่น ๆ ใน department ก็ได้ทยอย ย้ายออกจาก African American Studies Program ที่ Harvard กันหลายคน ก็เป็นเรื่องโด่งดังในวงการมหาวิทยาลัยพอสมควร
อาทิตย์หน้าในวิชาสัมมนาเขาจะเชิญ อดีต สมาชิกของ Admissions Committee ของ Stanford University มาคุยในห้องเรียน คงจะได้รับทราบข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกนักศึกษา undergraduate และการแข่งขันระหว่างโรงเรียนชั้นนำในการแย่งเด็กเก่ง ๆ การพิจารณา Financial Package เพื่อดึงดูดใจ คิดว่าน่าสนใจ
อีกอาทิตย์เขาจะเชิญ อดีตผู้อำนวยการ Athletics Department ของ Stanford คือ Ted Leland มาคุยในเรื่องบทบาทของ student-athlete หรือกระบวนการ recruit นักกีฬา ฯ การสร้าง balance ระหว่าง academic และ athletic ซึ่งเป็นสิ่งที่ Stanford จะต้องพิจารณาให้แตกต่างจาก โรงเรียนอื่น ๆ ที่เป็นโรงเรียนทาง Academic อย่างเดียว อย่างเช่น Chicago, MIT, Caltech หรือ พวก Ivy League ส่วนใหญ่ จนไปถึงโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับกีฬามาก เช่นพวก Powerhouse อย่าง USC, OSU, Michigan, Notre Dame, Texas และอื่น ๆ เท่าที่ทราบมา ตอนนี้ Stanford ค่อนข้างจะเจอปัญหากับวงการ College Sports ที่มันเริ่มต่อสู้กันอย่างเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น เพราะ Stanford ยังต้องการเงินสนับสนุนจาก Alumni อยู่ ซึ่งจะเกิดได้ ก็ต้องมีทีมกีฬาที่เก่ง สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ แต่ถ้าหากจะก้าวไปสู่จุดแชมเปี้ยนในยุคนี้ มันต้องทำงานหนักทุ่มเทต่างจากยุคก่อน ที่กีฬามหาวิทยาลัยเป็นเรื่องของนักเรียน มากกว่านักเรียนกีฬามืออาชีพ มาก ทั้งการจ้างโค้ชเก่ง ๆ ราคาแพง ( บางโรงเรียนเขาจ้าง Head Coach ถึงปีละ 1 ล้านเหรียญ ) หรือไป recruit นักกีฬาประเภทเก่งสุดยอดเข้ามา โดยอาจจะต้องยอมผ่อนคลายทั้ง มาตรฐานการรับเข้า และการเรียนของพวกเขา
แต่ Stanford ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะเป็นเหมือนการสร้างภาพลักษณ์อีกแบบให้กับมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เขายังต้องการคนที่ทั้งเก่งในกีฬา และก็ต้องการเข้ามาเพื่อการเรียนเป็นหลักอย่างแท้จริง ดังนั้นต้องมีมาตรฐานทางการเรียนในระดับหนึ่ง ( ยกตัวอย่าง ไทเกอร์ วู๊ด เป็นทั้งนักกีฬายอดเยี่ยม วินัยสูง และเป็นนักเรียนที่ดี ว่ากันว่า Stanford ติดต่อไปตั้งแต่เขาอายุได้สิบสี่ ปีเท่านั้นเอง และก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามาก ในแง่การได้มาเป็น walking presenter ให้มหาวิทยาลัย )
ดังนั้นตอนนี้ ทางกีฬาของสแตนฟอร์ด เขาก็เริ่มจะมีปัญหาบางอย่างแล้วล่ะ ปกติ สแตนฟอร์ดจะรับนักกีฬาแบบให้ทุน เข้ามาประมาณปีละ 200 คน มีเงื่อนไขของทุน ที่จะต้องซ้อมตามเวลาที่กำหนด แข่งให้โรงเรียน นักกีฬาเก่ง ๆ หลายคน ที่พวกแมวมองไปตามล่ามา ก็ไม่สามารถ ผ่านมาตรฐานของ admission ได้ ซึ่งพวกโค้ช ก็ต้องทำใจ แม้ว่าจะเสียดายความสามารถมากก็ตาม นักกีฬาส่วนใหญ่จะไม่สามารถลงทะเบียนวิชาตอนบ่ายได้ เพราะต้องให้เวลากับการซ้อม แต่เด็กพวกนี้ก็ต้องเรียน ทำการบ้าน สอบ เหมือน ๆ กับนักเรียนธรรมดาคนอื่น ซึ่งค่อนข้างจะหนัก ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ลองอ่านได้จากคอลัมน์ จาก Stanford Magazine คงจะเห็นภาพพอสมควร
link ที่เกี่ยวข้อง - The business of Sports - Bring you a game (article from Stanford magazine) - The Game of Life : College Sports and Educational Values
การเมืองภาค อัคร..ยำ ประเทศไทย
จะว่าไปแล้วอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เสียเวลาจำนวนพอสมควรกับการติดตามข่าวของ นายกทักษิณ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งตั้งแต่การสัญจรเดินสายรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จนไปถึงรายการ reality show อาจสามารถ และการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับ Temasek ของสิงค์โปร์ นับว่าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ชุมนุม 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งอาจจะมีการสร้างม๊อบมาชนม๊อบกัน จากกลุ่มของนายยุทธ ตู้เย็น ผู้อื้อฉาว จากการเกณฑ์ข้าราชการ ลูกจ้าง จากกรมอุทยานหลายคันรถบัส เข้ามาป่วนที่สวนลุม จนมีการจุดระเบิดประทัดและมีผู้หญิงอุ้มลูกบาดเจ็บ (ลองนึกดูว่าถ้ามันไปโดนเด็กล่ะ จะเป็นอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า ทำไมมันไม่คิดบ้าง) แต่สุดท้าย นายยุทธ ตู้เย็น ก็ออกมาพูดอย่าง ไม่เป็นลูกผู้ชาย ว่าตนเองไม่รู้เรื่องใด ๆ กับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องน่าอดสูมาก แต่ความต้องการอำนาจ และความต้องการเอาใจนาย มันไม่เข้าใครออกใคร .....
ส่วนเรื่องใหญ่กว่านั้น คือเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ป ผมก็เห็นเช่นเดียวกับ ท่านผู้รู้ท่านอื่น ๆ และก็เสียใจแทนประเทศไทย ที่ได้นักสัมปทาน นักเซ็งลี้ นักปั่นราคาขาย ไม่ได้คิดจะสร้างพื้นฐานอะไรในระยะยาวให้กับประเทศ มาเป็นผู้บริหารประเทศ น่าเสียใจที่ท่านมักจะชอบอ้างตนว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลไทย ต้องกลับมารับใช้ชาติ แต่เท่าที่ผมเห็นท่านก็รับใช้ตนเอง ครอบครัว และเครือญาติ ก็เท่านั้นเอง แต่ผมก็ไม่ได้โมโหโกรธาอะไร เพราะในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์สถาบัน เรามีสมมติฐานว่า player ทุกคนต้องการ self-benefit maximization อยู่แล้ว ดังนั้น คำพูดประมาณ รวยแล้ว ไม่โกง หรือ รวยแล้ว พอ จึงเป็นเรื่องที่ irrational อย่างยิ่ง เราไม่ได้โกรธหรือเกลียดคนเช่นนี้ หรือป้องกันไม่ให้เขาเข้ามาในการเมือง แต่ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรเพื่อสร้าง institution เพื่อป้องกัน และปราบปราม ไม่ให้คนโกง คนมีอำนาจ ขึ้นมาหาประโยชน์ (แบบมากเกินไป ) ดังนั้นเราจึงต้องสร้าง organization เพื่อตอบสนอง institution เหล่านี้ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, ปปง, สตง, DSI, กสช , กทช, รัฐสภา,วุฒิสภา, ศาลปกครอง ทั้งหลายแหล่ ฯลฯ แต่ปัญหาคือเป็นกรรมของประเทศไทย ที่แม้จะมีเจตนาในการเริ่มต้นที่ดี แต่คนที่ได้เข้าไปทำงานตรงนั้น ก็ตกอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันของ self-maximization คือ ต้องการหาประโยชน์สูงสุดให้ตนเอง อยากเข้าไปมีส่วนในการแบ่งเค้ก คิดถึงอนาคตตัวเองไม่อยากขัดใจผู้มีอำนาจ ยอม ๆ เขาไป นิ่ง ๆ เข้าไว้ได้ดีเอง ฯลฯ ซึ่งเรายังไม่มีกระบวนการที่สูงกว่านั้นในการควบคุมพฤติกรรมแสวงหาประโยชน์เช่นนี้ ( ผมอยากจะเสนอความคิดว่า สุดท้ายแล้ว ปัญหาทั้งหลายแหล่ของบ้านเรา มันเนื่องมาจากระบบกฎหมายของประเทศไทย กฎหมาย Civil Law ที่เราใช้ ๆ กันอยู่ เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหลายแหล่ เป็นการสร้างศรีธนนชัยทางกฎหมายหลาย ๆ คนขึ้นมาอย่างที่เห็น และเป็นการสร้าง Organization ที่รุงรังไปด้วยกฎระเบียบ อันสามารถหาช่องว่างได้ ถ้าหากเชี่ยวชาญชำนาญ พอ ผมเชื่อว่า ระบบกฎหมายแบบ Common Law สร้างความชอบธรรม และส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสังคม ได้มากกว่า...มีงานวิจัยในลักษณะนี้หลายชิ้น แล้ววันหลังจะมาถกในเรื่องนี้กัน )
ทัศนะเรื่องสนธิ vs ทักษิณ
ผมไม่ได้โปรสนธิมาตั้งแต่ต้น แต่ก็รับฟัง บางเรื่องก็เชื่อว่าเป็นจริง ด้วยหลักฐานที่เขานำมากล่าวอ้าง ซึ่งถ้าหากเขาไม่ได้เอามาเล่า เราคนไทยก็คงไม่รู้ เช่นเรื่อง C130, การให้สิงคโปร์มาใช้ฐานทัพ ซ้อมเครื่องบินรบในเมืองไทย, การตั้งคณะทำงานแทนองค์สมเด็จสังฆราช ฯลฯ บางเรื่องก็เป็นกล่าวหาที่ไม่มีข้อมูลพิสูจน์ได้ เช่นเรื่องการโกงกินประเทศของนายกและญาติพี่น้อง แต่โดยทั่วไปก็ไม่ได้สนับสนุนสนธิอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เชื่อว่าคนชั้นกลาง และผู้มีความคิด มีการศึกษาส่วนใหญ่ ก็คงจะเป็นแบบนี้
ส่วนนายกทักษิณ ผมยอมรับว่าผมเคยรู้สึกชอบเขาและทีมงานมาก ที่ใช้นโยบายทางธุรกิจ เพื่อเขามากระตุ้นระบบราชการ หรือสังคมไทย แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงหลังเขาถึง ชอบพูดจาโกหกคนไทย ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลายครั้งผมเห็นเขาเปล่งวาจาสำรากออกมาแล้วก็แทบทนไม่ได้เอาเลย นึกไม่ถึงว่าคนที่มีเกียรติสูงสุดระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศ ถึงกล้าพูดจาหยาบคาย เช่นนี้ได้ คงคิดว่าจะสามารถดึงดูดใจ คนไทยบางกลุ่มได้กระมัง แม้ท่านจะบอกว่า เป็นเรื่องของ ดาวพุธ เสีย แต่ผมเชื่อว่ามันคงออกมาจากส่วนลึก ๆ ของจิตใจ มากกว่า การศึกษาที่สูงส่งคงมิอาจช่วยอะไรได้
เรื่องการชุมนุมนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับสนธิ ที่จะขับไล่ทักษิณออกไป โดยไม่ผ่านกระบวนการรัฐสภา แต่ผมเห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วงโดยสงบ สันติ โดยชนชั้นกลาง เป็นการแสดงความเห็นตามระบบประชาธิปไตย แต่ถ้าหากมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่คิดจะเอาความรุนแรงเข้ามาใช้ เหมือนอย่างตอนม๊อบสวนลุม ก็คงเป็นคราวเคราะห์ของประเทศไทย ที่จะเกิดเหตุการณ์วิปโยค ขึ้นอีกครั้ง ซึ่งไม่มีใครต้องการเห็น แต่ถ้าจะให้คนไทยเงียบเฉยกับความเลวร้ายที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา เราก็ทำไม่ได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมได้สนทนากับผู้รู้จริงในเรื่องเศรษฐกิจเมืองไทยหลายคน ส่วนใหญ่จะแสดงความเห็นในเชิงห่วงใยอนาคตของประเทศ เราไม่ได้คุยกันเรื่องเอาหรือไม่เอาทักษิณ เพราะเห็นร่วมกันว่า ถึงทักษิณออกไป ประเทศไทยก็คงจะไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ตราบใดที่ระบบสถาบัน กฎหมาย การเมือง ธรรมาภิบาล และสังคม ของไทยยังเป็นอยู่เช่นนี้ ตอนนี้ประเทศเรากำลังก้าวเข้าสู่ Employee Economic คือคนไทยต้องเป็นลูกจ้างของต่างชาติกันมากขึ้น บริษัทอะไรต่าง ๆ ถ้าหากเริ่มทำกำไรได้ เจ้าของกิจการก็ไม่คิดจะอยู่บริหารต่อไป แล้วมีแนวโน้มขายให้ทุนต่างชาติ ไม่ได้คิดจะสร้าง innovation หรือ สร้าง re-development อะไร .... ก็ต้องทำใจครับ นี่แหละผลของ Globalization แต่ถ้าหากไม่คิดอะไรเรื่องเกียรติยศ หรือชาตินิยมแล้ว ผมเชื่อว่า Welfare ของคนไทย ก็คงจะยังดีอยู่นั่นแหละ ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ทุกคนก็จะยังมีเงิน มีงาน มีรายได้ มีเศรษฐกิจที่ดี แต่คนไทยเรามีแนวโน้มที่จะต้องทำงานองค์การข้ามชาติกันมากขึ้น ทั้งข้ามชาติแท้ และลูกผสม ซึ่งจะดีหรือไม่ดี ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ ว่า ตถตา..มันจะเป็นไปเช่นนั้นเอง .....
Create Date : 29 มกราคม 2549 |
Last Update : 29 มกราคม 2549 10:07:07 น. |
|
10 comments
|
Counter : 815 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: praphrut608 วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:4:23:29 น. |
|
|
|
โดย: lawholland IP: 130.115.81.234 วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:7:13:02 น. |
|
|
|
โดย: POL_US วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:17:02:18 น. |
|
|
|
โดย: BF IP: 70.132.48.161 วันที่: 29 มกราคม 2549 เวลา:23:49:44 น. |
|
|
|
โดย: plezilla IP: 58.8.128.223 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:0:48:54 น. |
|
|
|
โดย: POL_US วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:3:54:09 น. |
|
|
|
โดย: ฺBF IP: 70.132.48.161 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:7:07:43 น. |
|
|
|
โดย: ปริเยศ IP: 210.213.5.238 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:8:46:00 น. |
|
|
|
โดย: amyggie IP: 202.44.8.98 วันที่: 30 มกราคม 2549 เวลา:20:16:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เป็นเพราะต้องการสร้างชื่อเสียงแค่นั้นเหรอครับ แต่ผมคิดว่าถ้านักเรียน(ที่เรียนเก่งๆ)จะเลือกเรียนมหาลัยไหน เขาคงไม่ดูมั้งครับว่ามหาลัยนั้นเก่งกีฬาด้านไหน แต่น่าจะดูตรงผลงานทางวิชาการหรือ ชื่อเสียงด้านวิชาการอย่างอื่นมากกว่า
ส่วนเรื่องระบบกฎหมายที่พี่บอกว่าระบบกฏหมาย Civil Law เป็นต้นเหตุของปัญหาการตีความกฎหมายแบบศรีธนนชัยนั้น ในฐานะนักกฎหมาย ผมไม่เห็นด้วยครับ
เพราะตัวบทกฎหมายนั้น มันมีหลักการตีความของมันครับ ไม่ว่าจะเป็น ตามตัวอักษร หรือตามเจตนารมย์ ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายๆด้านมาประกอบ (ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน) ปัญหามันอยู่ที่คนตีความและผู้ใช้กฎหมายครับ
ส่วนระบบกฎหมาย Common Law ก็ไม่ได้ดีไปกว่า Civil Law เท่าไหร่ หรอกครับ เท่าที่ศึกษามา ผมยังไม่อยากนึกว่า ถ้าประเทศไทยใช้ระบบ Common Lawแบบเต็มๆ มันจะวุ่นวายขายปลาช่อนขนาดไหน คงได้ดิ้นกันสนุกแน่ เพราะระบบนี้มันจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า Civil Law หลายเท่า
สุดท้ายนี้ผมเห็นว่า โทษคนใช้กฎหมายดีกว่าครับ อย่าโทษตัวระบบกฎหมายเลย