Beloved
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
25 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 

PCOS คืออะไร

PCOS ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Syndrome (บางทีก็เรียก PCOD ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Disease) เป็นกลุ่มอาการหรือโรคที่พบบ่อยในสตรีอย่างหนึ่ง

อาการประกอบไปด้วย

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขาดประจำเดือนนานๆ เป็นอย่างแรก (เกิดจากไม่มีการตกไข่ หรือตกไข่ผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอ) น้ำหนักมาก (อ้วน) เป็นอย่างที่สอง มีขนดกกว่าปกติที่ใบหน้า ร่องอก และท้องน้อย เป็นอย่างที่สาม

ที่บอกว่าพบมากเพราะพบได้ใน 5-10% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ที่บอกว่าเป็นภัยเงียบก็เพราะมันอาจจะทำให้เกิดโรคเรื้อรัง และร้ายแรงบางอย่าง

โรคนี้พบกันมาตั้งแต่ปี 1930 โดยสูตินรีแพทย์ชาวเยอรมัน 2 ท่าน นามสกุล Stein และ Leventhal อธิบายผู้ป่วยสตรีที่มีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อ้วน และมีขนดก พร้อมกับตรวจพบลักษณะของรังไข่มีความผิดปกติจำเพาะตัว และไข่ไม่ตกเรื้อรัง

สตรีที่จะมาปรึกษาแพทย์ด้วยปัญหา 2 ประการเป็นส่วนใหญ่ คือ

1. หลังจากผ่านวัยรุ่นมานานแล้ว ประจำเดือนไม่มา หรือหลายๆ เดือนมาครั้งหนึ่ง หรือประจำเดือนมาไม่แน่นอน หรือมาคราวละนานๆ และมามากจนซีดโลหิตจาง

2. แต่งงานนานแล้วไม่ตั้งครรภ์ อาจมี หรือไม่มีอาการในข้อ 1 ร่วมด้วย


PCOS เกิดขึ้นได้อย่างไร

ตามธรรมดาสตรีวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 18-40 ปี) ควรจะมีการตกไข่ของรังไข่สม่ำเสมอทุกเดือน (ทุก 28 +7 วัน) ช่วงก่อนตกไข่เป็นครึ่งแรกของรอบประจำเดือน รังไข่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูก (หลังจากหลุดลอกไปจากการมีประจำเดือน) ให้เจริญงอกงามหนาตัวขึ้น

พอช่วงหลังการตกไข่ ในครึ่งหลังของรอบประจำเดือน รังไข่จะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขึ้นมาด้วย ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญมาก่อนหน้านี้มีความสมบูรณ์พร้อมรับการฝังตัว และเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ ถ้ามีการตั้งครรภ์ รังไข่จะทำงานต่ออีกจนถึง 7-10 สัปดาห์ จากนั้นก็หยุดทำงาน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรกทำงานต่อไป

ถ้ามีไข่ตกแต่ไม่มีการตั้งครรภ์ รังไข่จะทำงานต่อหลังไข่ตกประมาณ 10-12 วัน ก็หยุดสร้างฮอร์โมน หลังจากนั้น 2-3 วันเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาพร้อมเลือดเป็นประจำเดือน

ถ้าไม่มีการตกไข่ รังไข่จะไม่มีการสร้างโปรเจสเตอโรน มีแต่เอสโตรเจน เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าถุงไข่ฝ่อตัวเมื่อไรก็ทำให้เอสโตรเจนหมด เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเหมือนกัน แต่ถ้าถุงไข่ค่อยๆ โตช้าๆ ไปเรื่อยๆ หรือโตอยู่กับที่นานๆ ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็ออกมาน้อยๆ ช้าๆ เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมา ก็จะไม่มีประจำเดือน

ถ้าระหว่างนั้นมีการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนขึ้นๆ ลงๆ ก็จะมีการหลุดลอกเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นช่วงๆ ทำให้มีลักษณะเลือดออกกะปริดกะปรอยไม่แน่นอน หรือถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกถูกกระตุ้นจนหนามากเกิน มันก็จะหลุดลอกออกมาเองเหมือนน้ำล้นถ้วย ลักษณะเลือดประจำเดือนก็จะออกมาแบบมาก และนาน จะเห็นว่าถ้ามีการตกไข่สม่ำเสมอ ประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอ แต่ถ้าไม่ตกไข่ ประจำเดือนอาจจะมาเป็นแบบใดก็ได้

เรากลับมาดูโรค หรือกลุ่มอาการ PCOS เราตรวจพบว่าที่รังไข่แทนที่จะมีถุงไข่เพียง 1 ถุงโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ไข่ตกในแต่ละเดือนสลับข้างกันในรังไข่แต่ละข้าง กลับพบว่าในรังไข่แต่ละข้าง มีถุงไข่เล็กๆ เต็มไปหมด ไม่มีถุงไข่ถุงไหนจะเจริญจนถึงการตกไข่ เมื่อทำ ultrasound ก็จะพบเป็นถุงเล็กๆ ใต้ผิวรังไข่ รังไข่เองก็จะโตกว่าปกติเล็กน้อย จึงเป็นที่มาของคำว่า Polycystic (Poly = มาก, Cyst = ถุง)

เราพบอีกว่าสตรีที่เป็นโรคนี้ รังไข่ และต่อมหมวกไต จะสร้างฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติในร่างกาย จึงทำให้มีขนบริเวณใบหน้า ร่องอก และท้องส่วนล่างออกมาหนากว่าปกติ และเราพบว่าร่างกายของสตรีผู้นี้มีระดับเอนไซม์อินซูลินในกระแสเลือดมากกว่าปกติ

ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเซลล์ของร่างกายตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินในการใช้น้ำตาลในเซลล์น้อย ทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้นมาชดเชย เมื่อน้ำตาลในเซลล์ถูกใช้น้อย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นไขมัน ดังนั้นความอ้วนก็เกิดขึ้น และความอ้วนนี้จะลดยากมาก เพราะตัวช่วยที่ไม่ให้มีการสร้างไขมันจากน้ำตาล (คือ อินซูลิน) ทำงานได้ไม่ดี

โดยสรุปลักษณะทั่วไปของกลุ่มอาการ PCOS หรือ PCOD ก็คือ ประจำเดือนผิดปกติ อ้วน และมีขนดก แต่ทุกคนที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการไม่ครบทั้ง 3 อย่างก็ได้ แต่ตัวยืนคือ รังไข่ทำงานผิดปกติ

แพทย์จะวินิจฉัย PCOS ได้อย่างไร

เนื่องจากอาการทั้ง 3 อย่างนี้ แต่ละอย่างเกิดจากโรคอื่นๆ ได้ เช่น ความผิดปกติที่ประสาท และสมอง ความผิดปกติที่ต่อมหมวกไต ต่อมไธรอยด์ หรือที่ตับอ่อน เนื้องอกที่รังไข่ เป็นต้น

การวินิจฉัยจึงต้องดูเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจภายใน ทำ ultrasound และการตรวจฮอร์โมนเพศ จึงจะให้การวินิจฉัยที่แน่นอน (บางทีแพทย์อาจไม่ตรวจหมดทุกอย่างก็เป็นได้)

PCOS มีอันตรายอย่างไร

จากการติดตามคนที่เป็นโรค PCOS พบว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อไปนี้

1. ปัญหามีบุตรยาก จากรังไข่ทำงานผิดปกติ
2. ปัญหาการตกเลือด โลหิตจาง เพราะประจำเดือนมามาก และนานเกินไป
3. เป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม เพราะเยื่อบุมดลูก และเต้านมถูกกระตุ้นด้วยเอสโตรเจนจำนวนมากนานๆ
4. เป็นเบาหวาน (เพราะอินซูลินทำงานได้ไม่ดี) และโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคทางสมอง ไต และหัวใจ เป็นต้น

แนวทางรักษา PCOS

เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ ดังนั้นแนวทางการรักษาจึงเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาของผู้ป่วย วิทยาการตอนนี้เราทราบว่ากลุ่มอาการนี้มีความผิดปกติ 3 อย่าง คือ รังไข่ทำงานผิดปกติ มีขนขึ้น และระดับอินซูลินสูงเนื่องจากเซลล์ตอบสนองไม่ดี เพื่อป้องกันผลร้ายจากสิ่งดังกล่าว จึงแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 พวก คร่าวๆ คือ

รายที่ไม่ต้องการมีบุตร

ไม่ว่าปัจจุบัน หรือตลอดไป หลักการรักษา คือทำให้มีประจำเดือน เพื่อป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อเลือดออกมาก และความเสี่ยงต่อมะเร็งในอนาคต ด้วยการให้ฮอร์โมนเลียนแบบการมีไข่ตก ที่สะดวกที่สุด คือการได้รับยาคุมกำเนิด ซึ่งจะช่วยให้มีประจำเดือนปกติ และคุมกำเนิดไปในคราวเดียวกัน (คนเป็นโรคนี้อาจมีไข่ตกบ้างบางเวลา)

ถ้าไม่ต้องการรับประทานยาคุมกำเนิดก็ให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนรับประทานเป็นรอบๆ ไป ถ้ามีขนดกด้วย ก็ให้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนลดการสร้างแอนโดรเจน ถ้ามีปัญหาเรื่องอ้วนก็ให้ยาที่กระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลิน เพื่อให้การใช้น้ำตาลในเซลล์ดีขึ้น

ในทางกลับกันถ้าต้องการมีบุตร ก็ต้องกระตุ้นให้มีการตกไข่ หรือการใช้ยากระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกาย หรือทั้ง 2 อย่างแล้วแต่กรณี ถ้ายังไม่ได้ผล (หรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง) คือใช้การผ่าตัดส่องกล้องผ่านช่องท้องโดยใช้ไฟฟ้าไปทำลายเนื้อเยื่อของรังไข่ส่วนที่สร้างแอนโดรเจนมากเกินไป ซึ่งช่วยทำให้การตกไข่เองได้ และตั้งครรภ์ 50-60 %

สรุป PCOS เป็นกลุ่มโรคที่เรายังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่พอจะรักษาเยียวยาได้ตามแต่ปัญหา และความต้องการของผู้ป่วย หวังว่าการแพทย์คงทราบสาเหตุ และการรักษาที่ได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ ตามวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2555
7 comments
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2555 19:34:32 น.
Counter : 1288 Pageviews.

 

ขอบคุณที่แวะไปทักทายนะคะ

 

โดย: หนีแม่มาอาร์ซีเอ 25 พฤศจิกายน 2555 21:00:28 น.  

 

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ

 

โดย: เริงฤดีนะ 28 พฤศจิกายน 2555 6:30:25 น.  

 

 

โดย: น้องเทพโคตรน่ารัก 29 พฤศจิกายน 2555 14:31:04 น.  

 

คิดถึงค่ะ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม

 

โดย: sawkitty 2 ธันวาคม 2555 22:06:55 น.  

 

สวัสดีจ้า สบายดีน๊า ไข่มุกน้อย^^

 

โดย: แม่อ้วนคนสวย 6 ธันวาคม 2555 8:47:11 น.  

 

Thank you very much

 

โดย: KAI (nookookai8 ) 12 ธันวาคม 2555 19:04:39 น.  

 


มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

ตามมาอ่านเรื่องราวทางการแพทย์เกี่ยวกับดรคของผู้หญิงครับ เกิดเป็นผู้หญิงนี้ก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ มีสรีระร่างกายที่ซับซ้อนกว่าผู้ชายเยอะ เลยมีโอกาสป่วยได้มากกว่าอีกด้วยครับ

อิอิ

 

โดย: อาคุงกล่อง 14 ธันวาคม 2555 15:48:11 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ไข่มุกน้อย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





: คนน่ารักที่เข้ามาเยี่ยม

Friends' blogs
[Add ไข่มุกน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.