<<
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
16 มิถุนายน 2551

โหวเหวินหย่ง ณ ทางโค้งของชีวิต บท 1

ณ ทางโค้งของชีวิต เป็นบทความจากการได้รับเชิญไปบรรยาย
ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยคุณโหวเหวินหย่ง

ต่อมาได้มีการนำเทปการบรรยายมาถอดความ และวางขายคู่กัน

อนึ่ง เนื่องจากเป็น "หนังสือเสียง" ก็คือเทปบรรยาย
จึงเชื่อว่าประเทศไทยคงไม่มีสำนักพิมพ์ใด คิดเอามาทำในเวอร์ชั่นภาษาไทยได้หรอก
ด้วยความรู้สึกเสียดาย ที่บทความดีๆ จะไม่มีให้เห็นให้อ่านในภาษาไทย
จขบ. จึงขอทยอยแปลเนื้อหาเนื้อหาทั้งหมด เก็บไว้ที่นี่
เพื่อให้นักอ่านคนไทย ได้รู้จักตัวตนของคุณโหวเหวินหย่งมากขึ้น
และได้รับข้อคิดดีๆ จากการบทความของคุณโหว

เนื้อหามีทั้งหมดหกตอน ถอดจากเทปสองม้วน
บางอย่างอาจเข้าใจยากหน่อย แต่ขอให้ตระหนักว่า ต้นฉบับเขาพูดในประเทศไต้หวัน
อีกทั้งเป็นถอดเทป ไม่ใช่หนังสือที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อวางขายกันจริงๆ

หากได้ประโยชน์อะไรจากงานแปลชิ้นนี้ ก็กรุณาคอมเมนต์บอกด้วยครับ

(เนื้อหาค่อนข้างยาว อ่านไม่จบ ไม่ว่ากระไรดอกนาย)





หัวข้อที่เราจะพูดกันในวันนี้คือ “ณ ทางโค้งของชีวิต” การสนทนาของอุดมคติกับความเป็นจริง อุดมคติกับความเป็นจริง มันห่างไกลกันแค่ไหนกันแน่
ปีที่แล้วผมออกทีวีหลายครั้ง มีคนเห็นผมในทีวี ทุกท่านคงรู้ว่าการออกทีวีนั้นต้องมีการแต่งหน้ากันก่อน ดังนั้นพอใครก็ตามมาถึงห้องส่ง สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ไม่พูดพล่ามทำเพลงจับไปแต่งหน้าก่อน หวีผมไปพลางก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง ตรงนี้คุณอ้วนเกินไปนะ ต้องเติมแป้งสักหน่อย ตรงนี้ผอมไปนะ...
ช่างแต่งหน้าบอกผมว่า
“คุณเหมือนกับลูกค้าคนหนึ่งของฉันมาก”
ผมนึกในใจ “เหมือนกับคนในสถานีโทรทัศน์ ก็ต้องเป็นดาราแน่ๆ หลิวเต๋อหัว หรือว่ากัวฟู่เฉิงกันนะ” ผมถามว่า
“เหมือนใครหรือ”
เขาตอบผมว่า “เหมือนเย่ ฉี่เถียน” (นักร้องไต้หวันที่เข้าคุกเพราะคดีจ้างวานฆ่า ซ้ำยังเคยเป็นนักการเมือง)



หลังจากแต่งหน้าเสร็จ ช่วยจัดแจงทุกอย่างให้คุณเป็นที่เรียบร้อย เปิดไฟส่องหน้า คุณจะดูเปลี่ยนไปในจอทีวี ทีนี้เมื่อมีคนเห็นผม ก็จะเริ่มนึกภาพในใจ

“ชายคนนี้ลุกขึ้นยืนจะต้องสูงร้อยแปดสิบเป็นอย่างน้อย สวมชุดว่ายน้ำหุ่นต้องเป็นแบบอาร์โนลด์ เวลาเงียบๆ ไม่พูดอะไร ก็หล่อสมาร์ทมาดเท่"

ดังนั้น คนผู้นี้ก็จะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อมาพบตัวจริงเสียงจริงของผมให้จงได้

สถานที่ทำงานของผมคือห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลไถต้า ผมเป็นแพทย์วิสัญญี หรือที่เรียกกันว่าหมอดมยา ผมไม่ค่อยอยากพบนักอ่านของผมในโรงพยาบาล เพราะนั่นมักเป็นสถานที่ ที่คนเราต้องจากเป็นจากตาย

ส่วนนักอ่านคนที่คิดหาทุกวิถีทางเพื่อมาพบผมให้ได้คนนี้ เขาไหว้วานเพื่อนของเขา---พยาบาลในห้องผ่าตัด ช่วยพาเธอเดินผ่านระเบียงทางเดินนอกห้องผ่าตัดเข้ามาอย่างยากลำบาก งานวิสัญญีเป็นงานที่สำคัญมาก เมื่อคนไข้ได้รับการวางยาสลบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหายใจ ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ ทั้งหมดต้องถูกควบคุมโดยวิสัญญีแพทย์ วันนั้นผมกำลังให้ยาสลบนไข้คนหนึ่ง ตอนนั้นผมกำลังบีบถุงลมยางอยู่ จู่ๆ ก็เห็นประตูใหญ่ของห้องผ่าตัดเปิดผางออก “โครม!”

ขณะผมกำลังงงงวยอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งว่า “คนนี้แหละ รีบดูสิ!” ผมเหลียวหลังกลับไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจ้องผมจากหัวจดเท้า แล้วก็ไล่ย้อนกลับจากเท้ากลับขึ้นหัว สายตาของเธอฉายแววประหลาดใจอย่างมาก ความรู้สึกเหมือนกับว่าผมกำลังเปลือยตัวล่อนจ้อนอยู่ยังไงอย่างนั้น

พูดตามตรง เธอตะลึงผมก็ตะลึง (สายตาของเราประสานกัน) เธอยืนอึ้งอยู่กับที่ แต่ผมจะอึ้งต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะถ้าอึ้งต่อไปอีกคนไข้ของผมก็จะขาดอากาศหายใจ แล้วเดี๋ยวก็ต้องตาย ผมบีบถุงลมต่อไป แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถูกคั่นไว้โดยเขตปลอดเชื้อ เธอจึงไม่สามารถเดินเข้ามาขอลายเซ็น หรือแสดงความสนิทสนมอย่างอื่นได้อีก ขณะนั้นเธอเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้ผมจะแสร้งทำเป็นไม่แคร์ แต่ลับหลังผมก็ยังอยากรู้อยากเห็นมากๆ! จึงแอบไปถามนางพยาบาลคนที่พาเธอเข้ามาว่า

“เพื่อนของคุณคนนั้นหลังจากเห็นผมแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง พูดอะไรหรือเปล่า” เธอตอบว่า
“เธอก็พูดอะไรคำหนึ่งแหละ ไม่รู้ว่าคุณจะอยากฟังไหม” ผมตอบว่า
“อยากฟังสิ! เธอว่าไง บอกว่าผมหล่อสะท้าน กระชากใจ อะไรอย่างนั้นใช่ไหม!!”
“เธอพูดว่า ‘จินตนาการแตกดับ เป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโต!!’”

วันนี้ผมยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้พบกับทุกท่าน ณ ที่นี้ หวังอย่างยิ่งว่า ถ้าเกิดวันนี้ต้องทำให้ทุกท่านจินตนาการแตกดับ แต่หากแลกกับประสบการณ์ของการเติบโต ก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรสักเท่าไหร่


ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางของชีวิต การแตกดับของจินตนาการน้อยใหญ่กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ความแตกต่างจากอุดมคติจนถึงความเป็นจริงนั้นมันกว้างใหญ่เสียขนาดนี้ บ้าคลั่ง แปลกประหลาดขนาดนี้

ผมจะบอกอะไรพวกคุณอย่างหนึ่ง พวกคุณอาจจะไม่เชื่อ แต่มันเป็นความจริง นับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอีกสิบปีข้างหน้า คำพูดทุกคำที่คุณพูด การกระทำทุกอย่างที่คุณทำ มันจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง และเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ รอจนสิบปีให้หลัง แล้วย้อนกลับมามองใหม่ คุณอยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะแก้ไข มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว คำพูดคำนี้ของผมไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง ผมพลิกดูอัลบั้มรูปของตัวเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็คือรูปถ่ายสมัยที่ผมอยู่ในวัยของพวกคุณนี่แหละ ผมเปิดดูทีละรูป ทีละรูป ดูไปเรื่อยๆ ว่า ผมกลายมาเป็นตัวผมในวันนี้ได้ยังไง รูปแต่ละใบเป็นตัวแทนของความทรงจำของผมในแต่ละช่วง บางรูปเป็นรูปหมู่ บ้างเป็นงานปาร์ตี้ บ้างเป็นงานเต้นรำ แม้กระทั่งบางรูปเป็นรูปเดี่ยวที่ตัวเองนั่งเหม่อ ใจลอยอยู่ในสวนสาธารณะ ความรู้สึกที่รูปถ่ายแต่ละใบให้กับผม ชวนให้ใจหายจริงๆ

ผมมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนจากในรูป ว่าผมค่อยๆ ก้าวมาเป็นตัวผมในวันนี้ได้อย่างไร เผลอหน่อยเดียว ผมเห็นรูปถ่ายจำนวนหนึ่ง เป็นรูปถ่ายของแฟนสาวที่เราไม่มีบุญวาสนาต่อกันในอดีตทิ้งเอาไว้ให้ ผมนั่งเหม่ออยู่หน้ารูปถ่ายพวกนั้น คิดในใจว่า

“ถ้าหากคืนนั้นฝนไม่ได้ตก อารมณ์ของฉันไม่บึ้งบูดขนาดนั้น ฉันไม่ได้พูดคำพูดงี่เง่าอย่างนั้นละก็ บางทีชีวิตนี้ของฉันคงไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่ามันจะดีกว่านี้ หรือแย่ไปกว่านี้”

หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเรามันย้อนกลับมาทำใหม่ไม่ได้ นับจากนี้เป็นต้นไป รวมทั้งกิจการของคุณ ชีวิตของคุณ การตัดสินใจของคุณ ความรักของคุณ... ทุกสิ่งและทุกสิ่งของคุณ มันจะถูกตัดสินในวัยที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดตอนนี้นี่เอง ดังนั้นจึงบอกว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกย่างก้าวที่คุณจะก้าวเดิน มันชวนอกสั่นขวัญแขวนทั้งสิ้น

ดังนั้น ผมจึงอยากจะคุยกับทุกท่านในหัวข้อนี้ “ณ ทางโค้งของชีวิต” มันไม่ใช่จุดเปลี่ยนเล็กๆ แต่เป็นทางโค้งที่ใหญ่มาก ถือเป็นโค้งหักศอกเลยก็ว่าได้! หากไม่ระวังตัวแม้เพียงน้อยนิด ก็อาจลื่นไถลตกจากขอบเหว ร่วงหล่นลงไปในหุบเหวข้างล่าง ในทางกลับกัน หากคุณเข้าโค้งได้ดี ชีวิตที่คอยอยู่ก็อาจเป็นหนทางสว่างไสว รุ่งโรจน์ชัชวาลย์


ผมยินดีนำเสนอประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้เป็นข้อคิดกับทุกๆ ท่าน ถึงแม้ว่าประสบการณ์ของผมจะไม่เหมือนกับพวกคุณ แต่ผมยินดีเล่าให้พวกคุณฟัง ว่าผมเดินผ่านมาอย่างไร ผมดิ้นรนกระเสือกกระสนระหว่างความจริงกับอุดมคติอย่างไร

ก่อนจะเริ่มต้น ผมขอแนะนำนิสัยส่วนตัวให้ทุกท่านฟังก่อนคร่าวๆ โดยพื้นฐานแล้วหน้าตาของผมกับนิสัยของผมดูจะขัดแย้งกัน พวกคุณจะเห็นว่าผมเวลาเงียบๆ ไม่พูดอะไร จะดูซื่อๆ ง่ายๆ แต่จริงๆ นิสัยของผมไม่ได้เป็นอย่างี้ ผมค่อนข้างจะไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆ เลยทีเดียว ผมยังจำได้สมัยเด็กๆ เวลาเชิญธงชาติ เมื่อเห็นธงชาติค่อยๆ ถูกเชิญขึ้นยอดเสาธง เราต้องยืนตรงเคารพธงชาติ ตอนนั้นผมก็จะนึกในใจ “ทำไมต้องยืนตรงเคารพธงชาติด้วยนะ ถ้าหากรักธงชาติจริงๆ ฉันเต้นรำสักเพลงไม่ดีกว่าหรือ” ดังนั้นเวลาบรรเลงเพลงชาติ ผมก็จะแอบเต้นรำอยู่ข้างหลังแถวเพื่อน ถ้าหากรอดพ้นไม่ถูกครูใหญ่จับได้ ผมก็จะตื่นเต้นดีใจมาก ผมเชื่อว่า “เรื่องราวทุกอย่าง เบื้องหลังมักจะมีอีกภาพหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากเบื้องหน้า”


ตอนนั้นพวกเราอยู่บ้านนอก ภาษากลางของทุกคนจะพูดกันไม่ชัด คุณครูใหญ่ต้องการรณรงค์ส่งเสริมการพูดภาษากลาง โดยการออกแบบระบบป้ายแขวนคอสุนัข เจ้าป้ายแขวนคอที่ว่านี่จะเป็นสัญลักษณ์ของความอับอาย บนป้ายจะเขียนข้อความว่า “โปรดพูดภาษากลาง” กล่าวคือหากใครพูดภาษาท้องถิ่น ก็ต้องแขวนป้ายแผ่นนี้เอาไว้ที่คอเหมือนปลอกคอสุนัข ทีนี้เมื่อคุณถูกแขวนป้าย เพื่อนๆ เห็นคุณเข้าก็จะวิ่งหนีไปไกลๆ เหมือนคุณไปหลุมส้วมมา! ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะคนที่แขวนป้ายคนนี้จะมีหน้าที่อย่างหนึ่ง---ต้องออกตรวจตราไปทั่ว เพื่อดูว่ามีใครใช้ภาษาท้องถิ่นคุยกันไหม หากเจอก็ตะครุบตัวเอาไว้ แล้วก็แขวนป้ายที่คอให้เขาแทน


มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเผลอพูดภาษาท้องถิ่นไปคำหนึ่ง ก็มีเพื่อนส่งมอบป้ายแขวนคอให้ผมทันทีทันควัน หลังจากที่แขวนป้ายแขวนคอสุนัขแผ่นนี้แล้ว พระเจ้าช่วย ตำแหน่งทางสังคมของผมร่วงกราวติดดินทันที เพื่อนๆ เห็นผมเข้าก็เหมือนเจอยมทูต กลัวผมไปหมด เดินไปเดินมาที่ไหน รู้สึกเสียใจมาก แล้วอยู่ๆ ผมก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา ทั้งโรงเรียนเรามีด้วยกันหกชั้น จะมีป้ายแขวนคอสุนัขทั้งหมดหกแผ่น ตอนนี้เอามาแขวนแผ่นหนึ่งแล้ว เพื่อนๆ ต่างก็กลัวผมกันขนาดนั้น ถ้าหากผมเอามาแขวนทั้งหมดหกแผ่นล่ะ ทุกคนก็ต้องยิ่งกลัวผมทั้งหมดแน่ๆ มิใช่หรือ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ดังนั้นผมก็ตัดสินใจออกเดินทางรวบรวมดราก้อนบอลทั้งเจ็ด เอ้ย (จขบ. ขอเล่น) รวบรวมแผ่นป้ายทั้งหกแผ่นมาให้ครบ

ผมออกตระเวนตามหาว่าใครบ้างที่แขวนป้าย ถ้าคนคนนั้นนิสัยแย่ ผมก็จะพ่นคำหยาบให้เขา ถ้าคนคนนั้นดูดีมีสกุล ผมก็จะร้องเพลงภาษาท้องถิ่นให้ฟัง ไม่นานนัก ผมก็สะสมแผ่นป้ายครบทั้งหกแผ่น แผ่นป้ายทองคำทั้งหก โอ้ว! ส่องประกายระยิบระยับ เดินไปถึงไหน ผู้คนลนลานวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปถึงนั่น แกดูสิ ฉันมีตั้งหกแผ่น ส่วนแกไม่มี พวกแกมีไหม พวกแกล่ะ มีไหม

หลังจากที่ผมมีแผ่นป้ายทั้งหกครบแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษผมได้อีก ผมจึงพูดภาษาท้องถิ่นได้ทุกวัน ผมไม่มีความคิดจะแบ่งแยกดินแดนใดๆ หรอกนะ เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย อยู่บ้านเราก็พูดภาษาท้องถิ่นนี่ อีกอย่างคุณครู คุณพ่อคุณแม่ ก็พูดภาษากลางไม่ค่อยจะชัด



พฤติกรรมเช่นนี้ของผมเข้าถึงหูคุณครูใหญ่อย่างรวดเร็ว ในวันพิธีการหน้าเสาธงวันหนึ่ง ครูใหญ่ประกาศด้วยภาษากลางที่ไม่ค่อยชัดว่า “เรามีนักเรียนคนหนึ่งร้ายกาจมาก ตัวคนเดียวแต่แขวนป้ายทองคำถึงหกป้าย เราขอให้นักเรียนคนนี้แสดงตัวให้ทุกคนได้เห็นหน่อย” เพื่อนๆ ในโรงเรียนทุกคนปรบมือเกรียวกราว ผมเดินก้มหน้าออกมาจากแถว ขณะผมกำลังเดินอยู่ ครูใหญ่ก็ด่าไปพลางว่า

“นักเรียนทุกคนดูเอาไว้ นี่ก็คือนักเรียนคนที่ขาดความสามัคคี เพราะความไม่สามัคคีของนักเรียนคนนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ถึงได้ฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย ประเทศจีนจึงล่มจม ประเทศชาติของเราต้องตกระกำลำบาก เพื่อนพ้องชาวจีนต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากปากแห้ง ทั้งหมดเป็นเพราะนักเรียนคนนี้เป็นเหตุ!” โอ้โห! สุดยอด! พริบตาเดียวผมคือผู้ทำลายชาติจนป่นปี้ ผมยืนก้มหน้าอยู่บนเวที รู้สึกอับอายมาก ครูใหญ่ด่ายกใหญ่ เขาหยิบยกประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เขารู้ออกมาจนเกลี้ยง นับตั้งแต่ประเทศจีนหลายร้อยปีมาอ่อนแอปวกเปียก จนถึงโจรคอมมิวนิสต์บุกยึดแผ่นดินใหญ่ จนถึงประเทศชาติของเราไม่เข้มแข็งก้าวหน้า ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หนูน้อยคนนี้มันไม่พูดภาษากลางเป็นต้นเหตุ


ครูใหญ่ด่าอย่างโมโห เขาพูดว่า “พอแล้วพอแล้ว พูดต่อไปครูใหญ่ต้องโรคหัวใจกำเริบแน่ๆ เรามาดูนักเรียนตัวอย่างดีๆ กันดีกว่า ครูใหญ่จะมีความสุขขึ้นมาก มอบรางวัลได้!” ว่าแล้วก็ให้ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการออกมาแจกรางวัล รางวัลอะไรหรือ---รางวัลเรียงความดีเด่นเรื่องการฟื้นฟูวัฒนธรรมจีน

“รางวัลที่หนึ่ง ป.สามทับหนึ่ง โหวเหวินหย่ง...”

อยากจะบอกทุกท่านว่า ไอ้การเขียนเรียงความประเภทนี้นะผมถนัดที่สุดแล้ว คุณครูใหญ่สับสนมาก เขาเพิ่งจะด่าผมอยู่ก่อนหน้า เสร็จแล้วเมื่อต้องประกาศชื่อของผม เขาก็เอาไม่อยู่แล้ว ในหัวของเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าเด็กสองคนนี้จะเป็นคนคนเดียวกันได้ ผมยืนก้มหน้าอยู่ข้างหน้า ไม่กล้าก้าวออกมาเพราะผมเป็นต้นเหตุทำให้ประเทศชาติล่มจม

ครูใหญ่ประกาศถามอีกครั้งว่า “นักเรียนที่ได้รางวัล รีบออกมาสิ!”

ผมจึงจำต้องเงยหน้าขึ้นพูดว่า “คือผมเองครับ!” โอย! เพื่อนทั้งโรงเรียนปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหว ส่วนครูใหญ่โมโหจนควันขึ้นหัว “ไม่มอบรางวัลแล้ว ครูไปละ” ผมยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกสะใจลึกๆ



พอขึ้นมัธยมต้น มัธยมปลายก็ยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่เห็นชอบอย่างยิ่งกับการศึกษาที่ได้รับสมัยม.ต้น ม.ปลาย ดังนั้น คุณครูสอนหน้าห้องอย่างหนึ่ง ส่วนผมก็มีวิธีการเรียนของผมเองอีกอย่างหนึ่ง

ความจริงแล้ว ย้อนมองการศึกษาสมัยม.ต้น ม.ปลายของเรา ไม่รู้จริงๆ ว่าเรียนอะไรกันอยู่ จำได้ไหม เมื่อก่อนพวกเราเคยท่องกันเรื่อง ทางรถไฟหลงไห่ ทางรถไฟเจ๋อกั้ง ทางรถไฟกุ้ยจิน แล้วก็สาลี่ชิงเต่าเอย องุ่นจี๋ม่อเอย บอกว่าที่นั่นที่นี่ มีโน่นมีนี่ ทั้งใหญ่ ทั้งหวาน คุณครูจะยกตัวอย่างว่า “ลูกใหญ่ขนาด ขนาด ขนาดดดด นี้แนะ”

เมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งมีโอกาสกลับไปที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ สิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดก็คือองุ่นจี๋ม่อ กับสาลี่ไหลหยัง ไม่เห็นยังดีเสียกว่า พอเห็นปุ๊บ มันลูกเล็กกระจิ๊ดริด มิหนำซ้ำยังมีหนอนอีกต่างหาก ดำๆ ยุ่ยๆ แล้วบรรดาชื่อทางรถไฟเหล่านั้น พูดตามตรงมันไม่มีอีกแล้ว รัฐบาลจีนเลิกใช้ชื่อพวกนั้นไปนานแล้ว แม้แต่เขตแดนของมณฑลก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ดังนั้น เมื่อย้อนกลับไปมอง พบว่าการศึกษาในอดีตของพวกเรานั้นช่างยิ่งใหญ่! เราไม่ใช่กำลังเรียนวิชาประวัติศาสตร์ เราไม่ใช่กำลังเรียนวิชาภูมิศาสตร์ วิชาภูมิศาสตร์ของเราคืออะไร คือประวัติศาสตร์! ส่วนวิชาประวัติศาสตร์ของเราล่ะ คือเทพนิยาย


รอจนกระทั่งผมขึ้นม.หก ถึงเวลาต้องแบ่งกลุ่ม (ระบบการศึกษาของไต้หวันไม่เหมือนบ้านเรา) คนอื่นก็จะเริ่มถามผมว่าเลือกเรียนต่อที่ไหน สมัยนั้นผลการเรียนของผมดีมากมาโดยตลอด เพราะผมรู้สึกว่า “ฉันไม่สนว่าคุณจะเข้าคณะอะไร แต่ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งเท่านั้น!”

สมัยนั้นมักมีแบบฟอร์มของหน่วยงานอาสาสมัครต่างๆ มาให้กรอก ในช่องงานอดิเรก ผู้ชายส่วนใหญ่มักเป็น “ปีนเขาเอย เล่นกีฬาเอย ท่องเที่ยวเอย...” ส่วนผู้หญิงก็ต้องเป็น “ดูหนังเอย ขบคิดเอย นอนเอย กินขนมเอย...” ทุกครั้งที่เจอคำถามเช่นนี้ ผมจะตอบอยู่อย่างเดียว “เข้าสอบ!” เพราะอะไร เพราะการเข้าสอบเป็นความชื่นชอบที่สุดของผม ข้างหลังยังเติมอีกคำหนึ่งด้วยว่า “ความทุกข์ของคนอื่น คือความสุขที่สุดของฉัน”

สมัยนั้นยังอยู่ในวัยคะนอง ที่ยังสับสนงงงวย ดังนั้นเมื่อถึงม.หกต้องแบ่งกลุ่มแบ่งสาย คุณครูถามว่า

“เธอจะสอบเข้ากลุ่มไหน”

ผมถามสวนกลับไปโดยไม่ต้องคิดว่า

“กลุ่มไหนยากที่สุด”

คุณครูตอบว่า

“กลุ่ม ค. สอบยากที่สุด!”

ผมตอบว่า

“ตกลง! ที่ไหนมีความลำบาก ที่นั่นมีเรา!”

ดังนั้น ผมจึงเลือกเข้ากลุ่ม ค. ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และด้วยเหตุนี้ ผมไปเข้าสอบอย่างงงๆ งวยๆ แต่แล้วก็สอบติดวิทยาลัยแพทย์เข้าจริงๆ




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551
2 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 15:35:14 น.
Counter : 1557 Pageviews.

 

อ่านแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับไต้หวันเหมือนกันนะคะ

ไม่เคยอ่านหนังสือของโหวเหวินหย่งเลย แต่ดูท่าเขาคงมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย

 

โดย: concubine 18 มิถุนายน 2551 18:44:58 น.  

 

ชอบงานเขียนของเขามาก
เดี๋ยวมีเวลาจะกลับมาอ่านบทความ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบทความดี ๆ อย่างงี้

 

โดย: สาย IP: 58.64.91.119 19 สิงหาคม 2551 16:02:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


beer87
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




บทความแปลล่าสุด

"คุณเล่นบทมนุษย์ต่างดาวเป็นไหม"

ภาพของวานวานได้รับอนุญาต
จากเจ้าของลิขสิทธิ์ถูกต้อง

ปล.
บล้อก ของวานวานภาคไทย


บล้อก ของซานะภาคไทย


งานที่เพิ่งแปลเสร็จ


"สัญญารัก หิมะโปรย"
โดย TOMO














[Add beer87's blog to your web]