BeeJang
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2549
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 มิถุนายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BeeJang's blog to your web]
Links
 

 

[Fic Final 7] One - Winged Angel and Demon with Broken Wings

Title : One - Winged Angel and Demon with Broken Wings
Author : BeeJang


Rating : PG13
Genre : Romance / Angst

Disclaimer : ตัวละครเป็นของ Square Enix, ห้ามคัดลอกไปเผยแพร่ที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต


**************

กาลครั้งหนึ่ง นานก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิด ผืนนภายามกลางวันสว่างสดใส ยามราตรีสุขสงบงดงาม ท้องทุ่งหญ้าเขียวขจี เต็มไปด้วยมวลมาลีสีสดสวย ยังมีทูตสวรรค์ผู้งามพิสุทธิ์องค์หนึ่ง เส้นเกศายาวสลวยสีเงินยวงและดวงเนตรสีมรกต โดดเด่นเป็นสง่าด้วยปีกยาวขาวสะอาด ทูตสวรรค์ชอบบินลงมาจากทิพยวิมานบนหมู่เมฆาสู่พื้นดินชุ่มชอุ่ม เดินเล่นอย่างเป็นสุขท่ามกลางร่มไม้ และอาบแสงสุรีย์ฉายอันอบอุ่น ด้วยพลังแห่งความสุขและแสงสกาวจากฟากฟ้า ทูตสวรรค์สรรสร้างและเกื้อหนุนสายธาราแห่งชีวิตมากมายให้ไหลเวียนหล่อเลี้ยงโลกนี้

ในยามที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว จะเป็นช่วงเวลาแห่งราตรีที่มีจันทราและดาราลอยอยู่บนฟากฟ้าสีนิล มันจะเป็นเวลาของทูตมารที่จะออกมาครองพิภพ ทูตมารผู้สูงสง่าองค์นี้ มีเรือนผมสีดำขลับพลิ้วสลวยยามต้องสายลมพัด รับกับดวงเนตรสีโลหิต ทูตมารจะออกสำรวจความเรียบร้อยของโลกท่ามกลางแสงจันทร์สกาวฟ้า เฝ้าตรวจตราและปกป้องสายธารแห่งชีวิตที่ไหลเวียนนี้ และจะกลับสู่ถ้ำใต้ปฐพีเมื่อลำแสงสุรีย์แรกของวันฉายอาบพสุธา

ดังนั้น ทูตสวรรค์และทูตมารจะไม่มีวันพบหน้า หรือแม้แต่รับรู้การคงอยู่ของกันและกันเลย ทูตสวรรค์รู้จักเพียงแสงตะวัน ทูตมารรู้จักเพียงจันทราและดาราฉาย พวกเขารู้เพียงว่า หากหมดเวลาแล้ว พวกเขาต้องกลับที่ของตน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ทูตสวรรค์นั่งเล่นอยู่ริมน้ำ เพลิดเพลินกับแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่จับระยับผืนน้ำ จนเกือบเลยเวลา จันทรากำลังจะลอยขึ้นสูงและความมืดกำลังจะมา ทูตสวรรค์ตกใจ แผ่สยายปีกขาวกระพือพลิ้วอย่างเร่งรีบ หมายจะโจนทะยานกลับวิมานบนนภาโดยเร็ว อารามเร่งรีบทำให้ปีกขาวไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ยาวที่แผ่ก้านใบอยู่โดยรอบ ทูตสวรรค์กระชากปีกตนเองโดยไม่หวั่นเกรงความเจ็บปลาบ โบยบินขึ้นฟ้าให้ทันก่อนจันทราขึ้นสูง เหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงขนนกขาวที่เกี่ยวติดกิ่งไม้ตรงนั้น

จันทราขึ้นแล้ว ทูตมารออกท่องราตรีอีกครา ในค่ำคืนอันงดงาม ดวงดาราส่องประกายระยับบนฟากฟ้า สายตาคมกริบสีโลหิตจับไปยังขนนกเบาบางที่พลิ้วไสวยามต้องลม ทูตมารดึงมันออกมาจากกิ่งไม้ กรงเล็บยาวแตะสัมผัสขนนกอย่างอัศจรรย์ใจ ทูตมารไม่เคยพบขนนกสีขาวบริสุทธิ์ จึงสงสัยระคนแปลกใจหนักหนา ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของขนนกอันงดงามอันนี้ มันช่างอ่อนโยน บอบบางและน่าถนอมนัก

จนทูตมารแอบนึกรักเจ้าของขนนกสีขาวเป็นหนักหนา

แต่ราตรีนี้สั้นนัก จันทราลาลับขอบฟ้าและอาทิตย์กำลังจะขึ้น ทูตมารล่าถอยกลับถิ่นถ้ำอย่างไม่เต็มใจ เหลือคล้องกิ่งไม้ตรงนั้นไว้คือผลึกคริสตัลใสใต้พิภพไว้เป็นของกำนัลแลกเปลี่ยนกับขนนกสีขาว

ทูตสวรรค์กลับมา ณ ที่นั้น เหลือบสังเกตเห็นแสงตะวันส่องสะท้อนผลึกใสเป็นประกายตระการตา ทูตสวรรค์แตะผลึกแก้วอย่างฉงนใจ และหลงใหลในแสงระยับนั้น ณ ถิ่นนภาที่อยู่ ไม่เคยเลยที่จะมีผลึกใดส่องแสงงดงามเช่นนี้ ทูตสวรรค์จำได้ว่าคืนวานปีกยาวของตนได้เกี่ยวกิ่งไม้ ขนนกขาวหายไป ถูกแทนที่ด้วยผลึกแก้วใส ราวกับคนให้จงใจวางไว้เป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างที่ทูตสวรรค์ไม่อาจทราบได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นส่งให้ใบหน้าของทูตสวรรค์ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยทันใด

จะด้วยเหตุใดก็ตาม ทูตสวรรค์แปลกใจเป็นหนักหนาและพลางนึกรักเจ้าของผลึกแก้วใสอันนี้

หลายคืนวันผันผ่าน สองทูตต่างคิดคำนึงถึงกันและกัน แม้นจะมิเคยพบพานเห็นหน้า แต่ความรู้สึกยามที่ได้ทอดมองของที่ระลึกที่ต่างฝ่ายต่างเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีนั้น มันช่างอบอุ่นและสุขใจยิ่งนัก

ทูตสวรรค์จะแวะเวียนไปยังริมน้ำทุกวัน ทอดกายทิ้งร่างข้างกอมวลมาลี เบื้องบนสูงขึ้นไปไม่ไกลนักคือกิ่งไม้ที่เคยเกี่ยวปีกตน ทูตสวรรค์จะรั้งรอจนอาทิตย์ใกล้จะลับลาขอบฟ้า ถึงจะโผผินบินจากไปด้วยหัวใจละโหยหา

ทูตมารจะมาเยือนจุดใต้กิ่งไม้นี้ทุกวัน เอนกายลงนอนสัมผัสไออุ่นจากร่างที่ลากลับไปเมื่อครู่อย่างอาลัยรัก ทอดสายตามองไปยังท้องนภาสีนิล ราวกับปรารถนาจะเสาะหาบุคคลอันเป็นที่รัก ท่ามกลางมวลหมู่ดาราพราวประกายแสงเกลื่อนฟ้า ทูตมารจะรั้งรอจนกว่าอาทิตย์จะเคลื่อนขึ้น สาดแสงแรกอาบปฐพีแล้วจึงหลีกหนีกลับไปด้วยหัวใจเจ็บปลาบ

จนกระทั่งวันหนึ่ง

ทูตสวรรค์ทอดกายอาบแสงอบอุ่นของตะวันฉายใต้ร่มไม้ดังเดิม ทันใดนั้น เงาดำมืดก็ค่อย ๆ เคลื่อนบังทาบทับแสงอาทิตย์ทีละน้อย ๆ จนแสงสว่างค่อย ๆ เลือนหายไป ทูตสวรรค์แปลกใจนัก ด้วยว่าจันทรายังไม่ขึ้น แต่เหตุใดแสงสว่างกำลังจะหายไปเช่นนี้ ทูตสวรรค์สยายปีกขาว หมายจะบินกลับเคหาสน์บนเมฆา แต่ร่างสูงที่โบยบินมาเบื้องหน้าตรึงสายตาทูตสวรรค์ไว้จนไม่อาจขยับกายไปไหนได้

ทูตมารแลเห็นเจ้าของขนนกขาวที่สยายปีกยาวขาวสะอาดอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางฟากฟ้าที่กำลังจะมืดมิด ปีกขาวและใบหน้านวลของทูตสวรรค์โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้พฤกษามืดครึ้ม

“ท่านเป็นใครกัน ในยามฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นสีนิล มันเป็นเวลาของเรา ทูตมาร ที่จะต้องออกมาตรวจตราพิภพที่ท่านกำลังยืนอยู่” ทูตมารเอ่ยถาม

“เราคือทูตสวรรค์ ครองพื้นปฐพียามตะวันฉายสาดส่อง โดยปกติแล้ว เราจะบินกลับเคหาสน์ในยามอาทิตย์อัสดงและจันทราขึ้นแล้ว แต่วันนี้ช่างแปลกนัก ที่อยู่ ๆ ก็มีเงาดำทะมึนมาบังตะวันจนเราบินกลับไม่ทัน” ทูตสวรรค์ตอบ

ทูตมารแหงนหน้ามองไปยังดวงตะวัน เงาดำกำลังเลื่อนบังแสงสว่างทีละน้อย ๆ ด้วยว่าเมื่อแสงสว่างกำลังจะหมด ทูตมารก็จะออกมาท่องเที่ยว อาบแสงจันทรา ขณะนี้แสงสว่างกำลังถูกแทนที่ด้วยความมืด เหตุนี้เองทูตมารเข้าใจผิดว่าเป็นยามราตรีแล้ว

“สุริยุปราคาทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นยามราตรีแล้ว” ทูตมารกล่าวเมื่อทราบสาเหตุ จากนั้นก็หันหน้ากลับมายังคู่สนทนาอีกครั้ง สายตาสีโลหิตจับไปยังผลึกคริสตัลสีใสที่ห้อยคอเรียวระหงของทูตสวรรค์ ขณะเดียวกัน ดวงตาสีมรกตของทูตสวรรค์ก็เหลือบเห็นขนนกสีขาวที่ห้อยอยู่ตรงเอวของอีกฝ่าย

สองทูตสบตากันและกันราวกับจดจำและปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ พวกเขายืนเคียงกัน เงยมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังถูกบังแสง ออร่าหลากสีเปล่งประกายจับอยู่รอบขอบเงามืดเมื่อสุริยาถูกกลืนกินมิดดวง ทั่วปฐพีมืดสนิท ทูตสวรรค์สั่นสะท้าน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะยืนอยู่พื้นดินยามไร้แสงตะวัน รอบกายมืดไปหมด มีเพียงดวงเนตรของทูตมารส่องเรืองรองวูบไหวกับปีกยาวขาวบริสุทธิ์ของทูตสวรรค์เท่านั้น

โดยไม่รู้ตัว ทูตสวรรค์ขยับกายไปยืนเคียงทูตมาร สองมือจับกันและกันแนบแน่น

“อย่ากลัวไปเลย ความมืดไม่น่ากลัวอย่างที่ท่านคิด” ทูตมารเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หลังจากเงามืดได้กลืนกินตะวันมิดดวง เงาก็ค่อย ๆ เคลื่อนออก ลำแสงแรกฉายอาบพื้นดินอีกครา มันสว่างไสวและรุนแรงนัก จนทูตมารจำต้องยกมือบังตา ทูตสวรรค์บีบมือที่กุมไว้แน่น

“แสงสว่างจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงใดเลย”

สองทูตเฝ้ามองเงามืดที่เลื่อนออกจากดวงตะวันอย่างอดทนครู่หนึ่ง แล้วทูตมารก็ปล่อยมือจากทูตสวรรค์ที่เมื่อครู่กอบกุมกันแนบแน่นออก พร้อมกับสยายปีกกว้างสีดำ

“ท่านจะไปไหน”

“เราต้องกลับก่อนด้วยว่ายามนี้มิใช่เวลาของเรา” ทูตมารตอบ สายตาสีโลหิตที่จับจ้องทูตสวรรค์อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยรักอย่างไม่ปิดบัง มันแฝงความอาลัยและฝืนใจนักที่จำต้องจากทูตสวรรค์ไป ทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันได้ไม่นาน และก็ไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใด จะได้พบพานกันอีกครั้ง

ทูตสวรรค์เฝ้ามองทูตมารโบยบินจากไปยังทิศตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ นี่เป็นครั้งแรกที่ทูตสวรรค์ลืมเลือนแสงอบอุ่นของตะวัน หัวใจเพียงแต่เฝ้าคำนึงคิดถึงประกายตาสีโลหิตของทูตมารเพียงเท่านั้น

ทูตมารเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ปีกขาวยาวสะอาดและใบหน้างดงามบริสุทธิ์ของทูตสวรรค์ตราตรึงฝังแน่นอยู่ในหัวใจ

หลายคืนวันผันผ่าน ฤดูกาลแปรเปลี่ยน สายธาราแห่งชีวิตนิ่งสงบ ด้วยว่าทูตสวรรค์เอาแต่เฝ้าคะนึงถึงทูตมาร จนละเลยหน้าที่สรรสร้างและเกื้อหนุนพลังชีวิตใหม่ ๆ เติมเต็มสู่ลำธารให้พื้นพิภพ เอาแต่เศร้าโศกด้วยว่ามิอาจพบพานบุคคลอันเป็นที่รัก

ทูตมารเองก็คิดถึงแต่ทูตสวรรค์จนไม่ทันสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของสายธารแห่งชีวิตที่หดหายไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางแสงจันทราอบอุ่น ทูตมารแหงนหน้ามองฟากฟ้า จิตใจพะวงหาถึงทูตสวรรค์เพียงผู้เดียว

จนวันหนึ่ง ระหว่างที่ทูตสวรรค์เศร้าซึมเพียงลำพังใต้ร่มไม้ที่เคยยืนเคียงทูตมาร ใบไม้หนึ่งร่วงหล่นมาตรงหน้า ดึงความสนใจของทูตสวรรค์จากภวังค์ความทรงจำ ใบไม้นั้นแห้งเหี่ยวเป็นสีน้ำตาลดูเหงาหงอย ทูตสวรรค์แปลกใจด้วยว่ายังไม่เข้าเหมันตฤดู ธารแห่งชีวิตยังคงไหลเลี้ยงทุกพืชพรรณให้สดชื่นเขียวชอุ่ม ทูตสวรรค์เงยหน้ามองต้นไม้ที่เคยนั่งเล่นและก็ต้องตกใจยิ่งนัก

ต้นไม้ที่เคยสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านร่มใบทึบหนา เหลือเพียงกิ่งแห้งแตกหักอ่อนแรง ใบไม้เขียวขจีสีสวยแทบไม่เหลือเค้าความงดงามที่เคยพบเห็น มันแปรเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลกรอบแกรบแห้งกร้าน

ทูตสวรรค์ตกใจนัก หันขวับมายังสายน้ำแห่งชีวิต และก็แทบใจหาย ด้วยว่าเส้นสายธารธาราที่เคยส่องสกาวดูอ่อนแสงลงกว่าเดิมมากนัก ทูตสวรรค์น้ำตาอาบใบหน้า ความรักและคิดถึงบังตาปิดใจจนลืมเลือนและละเลยหน้าที่ไปถึงเพียงนี้

ตะวันลาลับขอบฟ้า จันทราฉายแสงนวลบนนภาสีนิล ทูตมารโบยบินขึ้นมา และก็ต้องประหลาดใจยิ่งนักที่ยังพบทูตสวรรค์ปีกขาวยื่นมือไปเบื้องหน้าธารา สายใยแห่งชีวิตหลากสีไหลผ่านปลายนิ้วเรียวสู่ลำธารใสเบื้องหน้าไม่ขาดสาย ใบหน้าอาบแสงจันทร์ดูซีดเซียวราวกับอ่อนแรงเหลือทน ร่างบางซวนเซหลังจากใช้แรงกำลังสรรสร้างพลังเกินจำกัด ทูตมารปราดเข้ามารับร่างของทูตสวรรค์ไว้ทันก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลงกับพื้น อ้อมแขนกอดประคองร่างบางไว้แนบอก น้ำตาแห่งความสงสารไหลอาบใบหน้าทูตมารที่ต้องเห็นบุคคลผู้เป็นที่รักทนทรมาน

ทูตมารมองไปรอบกาย และเพิ่งทราบว่าสายธาราแห่งชีวิตเหลือน้อยกว่าเดิมมากนัก ภาระหน้าที่ที่ต้องสำรวจตรวจตราความเป็นไปของโลกถูกละเลยจนทูตมารไม่ทันสังเกตเลย เนื่องด้วยจิตใจเฝ้าพะวงและคิดถึงทูตสวรรค์มากกว่า ทูตมารเข้าใจว่าทูตสวรรค์ใช้พลังสรรสร้างธารแห่งชีวิตจนลืมเวลากลับทิพยวิมานบนนภา ด้วยว่าปรารถนาจะเติมเต็มพลังชีวิตแห่งโลกที่ได้สูญสลายไปจากความละเลยที่ไม่น่าเกิดขึ้น

ทูตมารประคองทูตสวรรค์ที่อ่อนแรงไปใต้ร่มไม้ อีกหลายเพลากว่าตะวันจะขึ้น ทูตสวรรค์รู้สึกตัวว่ากำลังถูกประคองกอดอยู่ในวงแขนแกร่งของทูตมาร แต่ด้วยความอ่อนแรงจึงไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ได้แต่อิงแอบแนบใกล้คลอเคลียอ้อมอกอันอบอุ่นเช่นนั้น

“เราผิดเองที่ละเลยหน้าที่สำรวจตรวจตราความผิดปกติของสายธารแห่งชีวิต” ทูตมารกล่าว “เรามัวแต่เฝ้าพะวงคิดถึงอยู่แต่ท่าน”

“มิได้ เราสิผิดที่คำนึงถึงแต่ท่านจนมิได้เติมพลังชีวิตสู่สายธาร” ทูตสวรรค์กล่าว “เราผิดยิ่งกว่าที่กลับยินดีนักยามได้อยู่ในอ้อมแขนท่านเช่นนี้!”

“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย” ทูตมารกระชับวงแขน กอดทูตสวรรค์แนบแน่น “เราคงผิดกันทั้งคู่ที่เฝ้าคิดถึงกันและกันจนหลงลืมหน้าที่สำคัญไป แต่เราก็เป็นสุขนักยามได้กอดประคองท่านใกล้ ๆ เช่นนี้”

จันทราเคลื่อนคล้อย ตะวันเริ่มฉายแสง แต่ทูตมารก็ยังกอดทูตสวรรค์อยู่ เมื่อลำแสงแห่งสุรีย์ฉายอาบพิภพ ทูตสวรรค์ก็ฟื้นกำลัง สองทูตยืนเคียงข้าง จับมือกันและกันแนบแน่น

แล้วฟ้าก็มืดครึ้ม เมฆหมอกพิรุณพายุโหมกระหน่ำ สองทูตมองกันและกัน เข้าใจดีว่าเกิดอาเพศใดขึ้น สายธารแห่งชีวิตถูกละเลยจนเกือบเหือดแห้ง ทูตสวรรค์อาบแสงจันทร์ ทูตมารยืนกลางแสงตะวันฉาย สมดุลเปลี่ยนไปแล้ว

เสียงครืนดังสนั่น พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงมายังสองร่าง แต่ทูตมารผลักทูตสวรรค์ที่ยืนเคียงออกไปทันพอดี จึงรับสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างเต็มที่ ปีกยาวสีดำสนิทข้างหนึ่งหักสะบั้น ทูตมารล้มลงกับพื้น พลังแห่งชนชีพสิ้นสูญ ทูตสวรรค์ปราดเข้ามาประคองทูตมาร ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา

“ทำไมกัน มันผิดตรงไหนกัน!” ทูตสวรรค์ตะโกนแข่งเสียงฟ้าคะนองก้อง ส่ายศีรษะและกอดร่างอันแน่นิ่งไร้ชีวิตของทูตมารแน่น “มันผิดด้วยหรือที่เราจะมีรัก หากไร้รักแล้ว ชีวิตนี้จะมีค่าได้เช่นไรกัน!”

ทูตสวรรค์สยายปีกสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมสีเงินยวงพลิ้วไสวตามแรงลม ทูตสวรรค์ก้มมองใบหน้าของทูตมาร ตราตรึงความทรงจำบุคคลอันเป็นที่รักไว้ในใจ ก่อนที่จะรวบปีกข้างหนึ่งฝืนสายลมและออกแรงดึงอย่างแรงจนปีกยาวขาดสะบั้น ความเจ็บปลาบยังให้ทูตสวรรค์ล้มลงจมกองโลหิตที่อาบย้อมอาภรณ์ขาวและปีกอีกข้างของตนจนแดงฉาน ทูตสวรรค์คลานไปยังร่างของทูตมาร คลอเคลียใบหน้าแนบชิด กอบกุมมืออันเย็บเยียบแน่นิ่งสนิทแน่น จนลมหายใจสุดท้ายหมดลง

สายฝนหลั่งไหลอาบร่างของสองทูตราวกับน้ำตาของฟากฟ้า

แล้วแผ่นดินก็ขยับแยก ขุนคีรีสั่นสะท้าน สายน้ำหมุนวน ธาราแห่งชีวิตเปล่งประกายสว่างสกาวเจิดจ้าอาบพื้นภรณี ดวงจิตสองดวงลอยขึ้นจากร่างของสองทูต หมุนวนเคียงกันสูงขึ้นไปบนฟากฟ้า และหายลับไปในหมู่ดวงดารา

กล่าวกันว่า สองดวงจิตได้เดินทางไกลไปยังดินแดนใหม่ที่เรียกว่าดินแดนแห่งพันธะ พวกเขาถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งและเรียกขานตนเองว่าเซตร้า

แล้วตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้น …

************************

End

Special Thank :
- Nangoing สำหรับแนะนำชื่อเรียก Angel กับ Demon ให้หลายชื่อเลย หุหุ
- Scarborough : Betareader ผู้น่ารักค่า

Note : ในไฟนอลแฟนตาซีเจ็ด Cetra หรือ Ancients เป็นชนกลุ่มหนึ่งที่ว่ากันว่ารู้หนทางไปยังดินแดนแห่งพันธะ (The Promised Land) ชินระคอมพานีใช้พลังงานมาโกที่ดึงมาจากสายธารแห่งชีวิต (Lifestream) เพื่อมาผลิตไฟฟ้า และสร้างพลังงานใหม่ ๆ เช่น มาเทเรียที่ทำให้ผู้สวมใส่ใช้เวทมนต์ได้ เมื่อใช้มาโกเยอะเรื่อย ๆ สายธารแห่งชีวิตก็จะหมดไปจากโลก ชินระคอมพานีจึงเสาะหาดินแดนแห่งพันธะ ตามตำนานเก่าแก่ได้บอกไว้ว่า ดินแดนแห่งนี้ เต็มไปด้วยพลังสายธารแห่งชีวิต และผู้ที่รู้จักหนทางไป ก็คือเผ่าเซตร้าเท่านั้น ทำให้ชินระคอมพานีจึงตามจับตัวเซตร้ามาทดลองอย่างเอาเป็นตาย

เซตร้าที่หลงเหลืออยู่ก็คือ อิฟาลน่า ที่หลบหนีพวกชินระไปอยู่ที่หมู่บ้านน้ำแข็งไอซิเคิลกับศาสตราจารย์กาสต์ ทั้งสองแต่งงาน มีลูกสาวคนหนึ่ง คือแอริส ซึ่งเป็นครึ่งเซตร้า ภายหลังทหารของชินระได้ตามมา จับตัวอิฟาลน่าและแอริสไปทดลองต่อ และสังหารศาสตราจารย์กาสต์ที่เข้ามาขัดขวาง ต่อมา อิฟาลน่าและแอริสหลบหนีจากชินระคอมพานีได้อีกครั้ง จนโซเซมายังสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ด้วยความอ่อนล้าและหมดหวังในชีวิต อิฟาลน่าฝากเอริสไว้ในความดูแลของเอมิร่า หญิงผู้เฝ้ารอสามีที่สถานีรถไฟ แล้วอิฟาลน่าก็สิ้นใจ เหลือเอริสเป็นเซตร้าคนสุดท้ายของโลก

Author's Note : ก็ไม่ได้ตั้งใจให้ฟิคนี้เป็นตำนานเซตร้าแต่อย่างใดเน้ อยากเขียนอะไรแปลก ๆ ติดปีกแบบนี้บ้าง คงไม่เศร้าเกินไปเน้ หุหุ

ถ้าไม่บอกจะได้กลิ่นไหมเนี่ย ว่าเรื่องนี้ บีจังจงใจให้ใครเป็นใคร ... Angel หรือทูตสวรรค์ เขียนตามแบบของเซฟิรอธ ส่วน Demon ทูตมาร เขียนตามแบบของวินเซนต์ค่ะ

จะมาว่าไม่ได้นะคะ ว่าวายไม่วาย ทำไมไม่เตือนกันก่อน อ้าว ถ้าเตือนแล้วจะสนุกเหรอคะ เอิ๊กกก หลอกคนอ่านนี่สนุกดีแท้ คริคริ คิดกันสินะว่าทูตสวรรค์เป็นนางฟ้าสาวสวย ฮี่ อุตส่าห์ไม่หลุดใช้คำว่า เธอ แล้วนะ คริคริ ไม่ได้สังเกตกันเลยสินะ ฮี่ แต่ก็ตามใจคนอ่านค่ะ ว่าจะคิดว่าใครเป็นใคร ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

ส่วนสาวกวาย อิอิ ที่ลำบากนิดหน่อยสำหรับบีจังก็คือ ... เซฟิรอธกับวินเซนต์นี่ล่ะ ถ้าสองคนนี้สลับตำแหน่งกันนะ วินเซนต์เป็นเทวทูตปีกขาว แล้วเซฟิรอธเป็นซาตานใจร้าย คงเขียนแล้วอินกว่านี้เยอะ เอิ๊กกก เซฟิรอธไม่เหมาะกับคำว่า Angel เลยแม้แต่น้อย ฮ่าฮ่า

จริง ๆ เขียนไว้นานแล้วล่ะ แต่เห็นว่าไม่ได้มาเยี่ยม bloggang เลย ก็เลยเอามาลงค่ะ เดี๋ยวจะร้างซะก่อน คริคริ ... แถมเรื่องอื่นที่เขียนก็วายกระจาย ไม่สามารถมาลงที่นี่ได้ค่ะ เอิ๊กกกก




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2549
3 comments
Last Update : 29 ธันวาคม 2550 23:15:57 น.
Counter : 1488 Pageviews.

 

บล็อกสวยขึ้นนะคะคุณบี ภาษายังงดงามเช่นเคยด้วยค่ะ เราอ่านแค่เริ่มบรรยายถึง 2 ทูตก็คิดแล้วล่ะว่า Y ชัวร์ ^^"

 

โดย: Kitsunegari 19 กรกฎาคม 2549 12:50:09 น.  

 

ชอบจังครับ เนื่อเรื่องอ่านแล้วดูเศร้าศร้อย

เฝ้าคะนึงหา คร่ำครวญ ถวิลหา

และหอมหวานเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความรักยิ่งนักครับ

 

โดย: Sleeping_prince 3 เมษายน 2553 20:46:08 น.  

 

เป็นบุคคลที่มีความ ทรงจำ เมื่อสมัยก่อนที่นานมาแล้ว และยังคงตราตรึงกับ ท่วงทำนองของ Final Fantasy VII อย่างลึกซึ้งจริง ๆ
ยินดีที่รู้จัก คนที่รัก Final Fantasy VII ครับ

 

โดย: Krit IP: 192.168.1.243, 180.183.13.237 7 พฤศจิกายน 2554 0:26:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.