Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
18 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
เข็มทิศชีวิต.....ภาคที่ 2

ภาคที่ 2 รู้กฎของชีวิต


O ทั้งคนดี คนไม่ดีก็ไม่มีปัญหา

หลายครั้งที่เราอาจรู้สึกสงสัยว่า จะฝึกว่ายน้ำไปทำไมกันในเมื่อเรายังไม่ได้จมน้ำสักหน่อย จะพัฒนาใจไปทำไม ในเมื่อวันนี้เราก็มีความสุข สนุกรื่นเริงกับชีวิตดีอยู่ แต่ที่เราคิดว่าเรามีความสุขนั้น เรามีแน่หรือเปล่า กี่ครั้งที่เราเครียดกังวลใจ บางครั้งถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือต้องกินเข้าไปทั้งที่ท้องอิ่ม เคยบ้างไหมที่เราหงุดหงิด โกรธ อิจฉา เบื่อ ไม่ชอบใจ ถึงเราจะเป็นคนที่ดี ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่เราก็ยังมีความทุกข์ร้อน กระวนกระวาย แม้ความไม่สบายใจนั้นจะเป็นความไม่สบายใจแบบคนดีก็ตาม


มีคนมากมาย เหลือเกินชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทำทาน ตักบาตร สร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล แต่เมื่อกลับถึงที่ทำงาน ที่บ้าน ก็โกงคนโน้น แย่งของรักคนนี้ โมโห อาละวาดจนชีวิตวุ่นวายไปหมด


เราคงเคยเห็นคนที่ถูกจัดว่าเป็นคนดี ทำความดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยเบียดเบียน ทำให้ใครเดือดร้อน ในเวลาที่คนดีๆ ตกงาน อกหัก ล้มละลาย ถูกใส่ร้าย ถูกนินทา เจ็บป่วยไม่สบาย คนดีๆ ก็ทุกข์จนแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน


หรือคนที่เราเห็นว่าทั้งหล่อ สวย รวย เก่ง มีชื่อเสียง มีเพื่อนฝูง มีบริวารห้อมล้อมเพียบพร้อมไปทุกอย่าง ก็ต้องเจอปัญหาอุปสรรค น้ำตาไหล เครียด มีความเศร้าหมองในใจเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะรู้จักวิธีจัดการกับใจตัวเองหรือเปล่า นี่คือเหตุผลที่ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีแค่ไหน เราก็ยังต้องพัฒนาจิตใจของเรา พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นหรือจะเป็นความอิจฉา ความเครียดกังวล ความขุ่นข้องหมองใจ มีความไม่สบายใจ ความชอบไม่ชอบ มันเกิดความสกปรกที่ใจ เราจะต้องรู้จักชำระตรงที่ใจของเรา


แต่ที่ยากก็คือ มนุษย์เราเรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เชื้อโรคไปถึงดวงดาว แต่สิ่งที่มนุษย์ไม่เคยส่องดูและทำความรู้จักน้อยที่สุดก็คือ ใจของตัวเอง เราไม่รู้ว่าใจเรามีกระบวนการการทำงานอย่างไร ทำไมเราจึงมีความทุกข์และทำอย่างไรเราจึงจะไม่ทุกข์ เราลืมไปว่าทุกอย่างที่เราหามา ก็เพราะต้องการให้ใจเรามีความสุข ความสุขทุกข์มีขึ้นและหายไปที่ใจ แต่เราไม่เคยสะดุ้งตื่นมาค้นพบความจริงของใจว่า ใจเรานั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา เราจึงไม่สามารถอยู่เฉยๆ กับตัวเองได้นาน ทั้งชีวิตเรา ถ้าไม่นอนหลับหนีตัวเองเสียเลย ก็ต้องวิ่ง ต้องทำ ต้องคิด กิน ดู พูด ฟัง อยู่ตลอดเวลา ด้วยความหวังว่า เมื่อได้ทำสิ่งนั้นแล้วมันจะพ้นจากสภาพความปั่นป่วนนี้ แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรมากแค่ไหน ความสุขที่แท้จริงก็ไม่เคยอยู่กับเรา





O ชีวิต...ไม่แน่นอน

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียนจบปริญญาโททั้งสาขาบริหารธุรกิจและสาขาเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะที่เธอมีอายุเพียงยี่สิบปี ในวันนั้นเธอคิดว่า ความรู้ที่เธอเรียนมาทางโลก ความตั้งใจดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นคนทำงานที่ดี เพียงพอแล้วจะทำให้ชีวิตเธอมีความสุข


พออายุยี่สิบสองปี เธอสามารถซื้อรถเบนซ์ด้วยตัวของเธอเอง วันที่เธอขับรถคันใหม่ไปทำงาน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอหยุดแล้วถามตัวเองว่า วัตถุที่เราอยากได้นักอยากได้หนา คิดว่าเมื่อได้มันมาแล้วจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ทำไมความสุข ความตื่นเต้น มันมีอยู่ชั่วขณะเดียวแล้วจางหายไป แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงของมนุษย์


แต่ความสงสัยในขณะนั้นไม่มีกำลังพอที่จะทำให้เธอค้นหาคำตอบ เธอก็ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิม และเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ในขณะที่เธอภาคภูมิใจในความสำเร็จ มั่นใจตัวเองที่สุด รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือ แล้วเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้าง ที่เธอมีภายในพริบตา จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลายเป็นคนที่รู้สึกล้มเหลว ไม่อยากพบหน้าผู้คน เธอหนีไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ต่างจังหวัด


เวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้าทุกวัน เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงได้ ความรู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันเหือดแห้งไปทุกหยด ใครจะมาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ก็ไม่เข้าใจ ก็เราทุกคนถูกสอนมาว่า ถ้าเราตั้งใจเรียน เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราตั้งใจทำงาน ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่มีใครเคยบอกเราอย่างแท้จริงว่า ไม่ว่าเราจะทุ่มเทสักเพียงไหน ทุกอย่างในชีวิตมันก็ไม่แน่เสมอไป เราทำได้แค่สร้างเหตุ เหมือนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ไล่แมลง แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตหรือตายไปมีมากมาย บางอย่างเราเลือกได้ บางอย่างเราเลี่ยงไม่ได้ ผลของมันจึงไม่แน่เสมอไป แล้วอะไรล่ะที่เป็นความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิตเรา


ในวันนั้น ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ได้รับคำตอบให้คำถามของเธอ โชคดีที่เธอได้รับกำลังใจจากครอบครัวให้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเธอเพิ่งแต่งงาน มีลูกตัวเล็กๆ อายุแปดเดือน มีพ่อ แม่ สามี พี่ น้อง ที่เป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายที่อบอุ่นให้เธอเสมอ


ด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม ผู้หญิงคนนั้นกลับมาเปิดบริษัทใหม่อีกครั้งหนึ่ง เปิดบริษัทไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เป็นวันขึ้นปีใหม่ ครอบครัวของเธอซึ่งทำธุรกิจอยู่กันคนละจังหวัดก็นัดมาฉลองกันที่จังหวัด ภูเก็ต เช้าวันส่งท้ายปีเก่า รอบบ้านเปิดเพลงปีใหม่กันอย่างร่าเริงสนุกสนาน เธออุ้มลูกหยิบกุญแจรถเพื่อไปรับสามี คุณแม่ของเธอเดินเข้ามาบอกว่า "ลูกไม่ต้องไปรับคุณพ่อน้องทะเลแล้ว เพราะคุณพ่อน้องทะเลเสียชีวิตแล้ว" วินาทีนั้น โลกทั้งโลกเหมือนดับลงตรงหน้า พูดได้เพียง "แม่หลอกทำไม ทะเลตัวเล็กนิดเดียว จะโตขึ้นได้ยังไงทั้งชีวิต โดยไม่มีพ่อเหมือนคนอื่น"


สิ่งเดียวที่ประคองให้เธอรักษาใจไว้ได้คือ ภาพเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ที่กำลังรอจะฉลองวันเกิดครบ 1 ขวบในไม่กี่วันข้างหน้า เด็กตัวเล็กๆ คนนั้นพยายามเกาะขาแม่และยืดตัวให้สูงที่สุด ให้แม่เห็นว่ายังมีเขาอยู่อีกคนหนึ่ง ทันทีที่แม่ทรุดตัวลงเด็กน้อยใช้สองมือประคองหน้าแม่ นิ้วเล็กๆ เช็ดน้ำตาให้แม่อย่างบรรจงที่สุดเหมือนเวลาที่แม่เช็ดน้ำตาให้เขา


วินาทีนั้น ผู้หญิงคนนั้นรู้ทันทีว่า ตัวเองต้องมีชีวิตต่อไปและไม่ใช่แค่มีชีวิตอยู่ แต่จะต้องดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดด้วย เพื่อตัวเล็กๆ คนนี้


แต่ชีวิตไม่ง่ายเสมอไป ทันทีที่ตั้งศพ ทั้งๆ ที่เป็นเช้าวันปีใหม่ ธนาคารเจ้าหนี้ (สามีของเธอก็เหมือนนักธุรกิจทั่วๆ ไป คือกู้เงินมาทำธุรกิจ) มากันครบทุกธนาคาร ผู้ถือหุ้นที่สามีเธอเป็นผู้บริหารมาครบทุกบริษัท





O ของของเรา...ทุกข์ของเรา

เหตุการณ์ข้างต้นเล่าให้ฟังเพียงชี้ให้เราเห็นว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน ที่เราคิดว่าเรามีความสุข มั่นคง ดูแลตัวเองได้ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันใดวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา กับสิ่งที่เรารัก


ตอนที่เรารับรู้เรื่องนี้ เราอาจรู้สึกสงสารบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปแค่คำคำเดียว จากคำว่า "เขา" เป็น "เรา" สามีเรา ลูกเรา บริษัทเรา เงินของเรา ใจเราคงไม่หยุดแค่สงสารบ้างเล็กน้อยแน่ๆ คำๆ เดียว แต่มีกำลังมหาศาลที่จะสร้างความทุกข์ในใจเรา คือคำว่า "ของเรา" ของของคนอื่นจะตาย ล้มละลาย สูญเสีย ไม่เป็นไร อย่าเป็นของเราก็แล้วกัน แต่ดิฉันไม่โชคดีเหมือนท่านผู้อ่าน เพราะคนที่ตายคนนั้นคือสามีของดิฉัน และเด็กคนนั้นเป็นลูกของดิฉันเอง


ขณะที่ดิฉันกำลังสับสน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิต มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาที่งานศพมาถึงท่านก็เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีแม่อยู่คนหนึ่งชื่อนางกีสาโคตมี ลูกของเธอเสียชีวิต เธอวิ่งร้องขอให้คนช่วยชุบชีวิตลูก จนมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า "ถ้าท่านหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายได้ เราจะช่วยลูกท่าน" นางกีสาโคตมีก็วิ่งขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านต่างๆ ทุกบ้านก็ยินดีที่จะให้ แต่พอถามว่าในบ้านท่านเคยมีพ่อตาย แม่ตาย ตายายตาย ปู่ย่าตาย ลูกหลานตายไหม ทุกบ้านก็ตอบว่า "เคยมี" ทุกบ้าน


ขณะที่ได้ฟังนั้น สติของดิฉันกลีบมาอีกครั้ง คิดได้ว่าทุกคนในโลกนี้ต้องเคยเสียของ เสียคน เสียสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดมาแล้วในชีวิตทั้งนั้น เพียงแต่เวลาที่เป็นของคนอื่นตาย คนอื่นเสียใจ เราไม่ทุกข์ เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกว่า มันเป็นของเราและอยากให้อยู่กับเราดีๆ ตลอดไป


The trouble with using experience as a teacher is that the final exam often comes first and the lesson second.
-Anonymous-


ตอนนั้นมีผู้ใหญ่หลายๆ ท่านบอกกับดิฉันว่า "ถ้าไม่อยากล้มละลาย ไปหาเวลาอยู่กับตัวเอง ศึกษาตัวเอง ศึกษาธรรมชาติธรรมดาของชีวิตเราซะ"


ดิฉันไม่เคยเข้าหลักสูตรภาวนาที่ไหนมาก่อน เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนที่ต่างประเทศว่า เป็นที่นิยมกันมากทั้งในนักธุรกิจ นักวิชาการ คนทั่วไป ว่ามีประโยชน์ต่อชีวิต แต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจว่ามีลักษณะอย่างไร





O ปฎิบัติธรรม...ทำธรรมดา

ในสถานที่ภาวนา มีคนทุกอายุ ทุกศาสนา ทั้งบาทหลวงแม่ชีในศาสนาคริสต์ คนจากคาทอลิก โปรเตสแตนต์ มอร์มอน มุสลิม พุทธ แต่ละคนมุ่งมั่นในศาสนาของตัวเอง แต่มาเพื่อเรียนรู้สัจธรรม ความจริงของกระบวนการภายในใจตัวเองที่ทำให้เกิดความทุกข์ แล้วเรียนรู้ที่จะแก้ที่ต้นเหตุ แก้ตรงที่ใจ


สิ่งที่ดิฉันได้ทำก็คือ หยุดจากกิจวัตรที่เคยทำปกติ ไปอยู่ในสถานที่ที่จัดไว้ให้อย่างดี มีอาหาร มีแม่บ้าน มีคนดูแล ฟรีทุกอย่าง ที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ มีหน้าที่คอยตามรู้ ตามดู สังเกต รู้ทันการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจของตัวเอง ทั้งในขณะทำกิจวัตรส่วนตัว ทานอาหาร ยืน เดิน นอน นั่ง และนั่งสมาธิ





O มีดปักใจ

ขณะที่กำลังตามรู้ตามดูจิตใจของตัวเองนั้น ใจดิฉันเห็นหน้าคนที่ทำให้เราสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปในพริบตาลอยขึ้นมาตลอดเวลา แทนที่จะตามรู้เท้าที่ก้าวเดิน ใจก็คิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นึกแช่งเขาไปด้วย ยิ้มกริ่มอยู่ตลอดเวลา จนวิทยากรผู้ดูแลแปลกใจ เข้ามากระซิบว่า "ขณะที่รู้สึกตัว ทุกอย่างจบลงทีละขณะๆ"


ฟังเสร็จก็กลับมาเดิน วินาทีนั้นเองดิฉันก็รู้เลยว่า เราโง่จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เหตุการณ์ร้ายๆ จบลงไปตั้งนานแล้ว แต่ตัวเรานี่แหล่ะที่ไม่ยอมจบ ไม่ยอมวาง


เมื่อเราคอยเฝ้าสังเกตจิตใจ การเคลื่อนไหวและการกระทำของเราแต่ละขณะ เราจะสังเกตเห็นว่าทุกๆ อย่างเริ่มที่ความคิดก่อน เราจะเห็นเลยว่า ความทุกข์ของเราเริ่มที่ความคิดในใจเรานี่เอง


คำพูด การกระทำ เหตุการณ์ที่เราไม่ชอบใจ อาจจะจบลงไปตั้งนานแล้ว แต่ตัวเรานี่แหล่ะที่หยิบคำพูด การกระทำ เหตุการณ์นั้นๆ มาเปิดดู เปิดฟังในหัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับคนอื่นเขาแทงเราได้แค่เพียงครั้งเดียว แต่ตัวเรานี่แหล่ะที่หยิบมีดด้ามนั้นมาแทงตัวเองไม่ยอมจบ ไม่ยอมวาง ถ้าเราเฝ้าสังเกตจิตใจตัวเอง เราจะรู้ทันทีที่ใจหยิบมีด หยิบความคิดมาทิ่มแทงตัวเอง


เมื่อฝึกตามรู้ ตามดู ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เราพบว่า ความคิดร้ายๆ ความทรงจำที่ทิ่มแทงเข้ามาตลอดเวลา ห้ามไม่ได้ บังคับควบคุมไม่ได้ ได้รู้ความจริงอย่างที่หนึ่งคือ ตัวเราเอง เรายังควบคุมบังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น หรือเหตุการณ์อื่น ที่เราอยากให้เป็นอย่างใจเราตลอดเวลา


*เข็มทิศ

เรากำลังแทงตัวเองอยู่หรือเปล่า ถึงเวลาวางมีดได้หรือยัง





O สุขจากอิสรภาพ

Nothing in life is to be feared : it is only to be understood.
-Marie Curie-


จำได้ว่าในวันแรกทันทีที่ลงนั่งสมาธิ ร่างกานเรามันแสดงอาการบังคับไม่ได้ให้เห็นอยู่ทุกขณะ ปวดขาที่สุดในชีวิต วิทยากรก็มาบอกว่า "ทุกข์ตรงไหน รู้ที่ตรงนั้น ปวดตรงไหน รู้ตรงนั้น" สิ่งแรกที่เห็นก็คือ พอเราแค่เอาใจเราไปรับรู้อาการปวดตุ้บๆ อย่างสบายๆ สักแต่ว่ารู้ วินาทีนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ดิฉันไม่เคยคิดว่าจะมีในชีวิตมนุษย์ วินาทีนั้น ความปวดเป็นเพียงอาการตุ้บๆ อยู่ต่างหาก ใจก็อยู่ส่วนใจ ไม่ได้ปวดไปด้วย เป็นครั้งแรกที่รู้เลยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่สติสมาธิของเรามั่นคง ขนาดความทุกข์ที่อยู่บนตัวเราแท้ๆ ยังไม่สามารถทำให้ใจเราทุรนทุรายได้ ครั้งนั้นบอกกับตัวเองเลยว่า ตั้งแต่วันนี้ หนี้ก็ส่วนหนี้ ปัญหาก็ส่วนปัญหา ใจก็ส่วนใจ ขณะที่รู้ตรงนั้น ใจมีความสุข รู้สึกเหมือนคนที่ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง


เมื่อก่อนดิฉันมักจะคิดว่า เมื่อไหร่จะหมดหนี้ เราจะได้มีความสุขเสียที แต่วันนั้นได้รู้แล้วว่า ไม่ต้องรอให้หมดหนี้เสียก่อน ใจเราสามารถเป็นปกติสุขได้ การแก้ปัญหาด้วยใจที่เป็นปกติ ย่อมดีกว่าใจที่เร่าร้อนทุรนทุรายอย่างแน่นอน ที่สำคัญปัญหาก็ไม่มีวันหมดไปจากชีวิต ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ มีร่างกาย มีจิตใจ แค่สองอย่างนี้ก็หาเรื่องให้เราปวดใจได้ โดยไม่ต้องนับเรื่องภายนอกเสียด้วยซ้ำ





O ไม่มีอะไร...อยู่ตลอดไป

ในขณะที่กำลังรู้ความปวดอยู่นั้น วินาทีที่ความปวดหายวับไป ดิฉันได้รู้ความรู้ที่มีค่าที่สุดว่า ทุกอย่างในชีวิตเรามีเวลาที่จะต้องดับไป เปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคนที่เรารัก ชีวิตของเราเอง หรือปัญหาอะไรๆ ก็ตาม ก่อนหน้านี้เรามักจะรู้สึกว่า ปัญหาหรือความทุกข์อันนี้จะไม่มีวันจบ ไม่มีวันหายไปจากชีวิตเรา แต่เมื่อเราได้เห็นจะจะด้วยใจตัวเองแล้วว่า ขนดความทุกข์ที่กำลังบีบคั้นเราอยู่แท้ๆ ตอนที่เราอยากให้มันไป มันก็ไม่ไป พอมันนึกจะหายไปมันก็หายไปเองอย่างสิ้นเชิง แล้วสิ่งที่เห็นนอกไปจากนั้นก็คือ สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ทรมาน ไม่ใช่อาการปวดตุ้บๆ บนขา แต่เป็นใจของเราที่อยากให้ความปวดขาหายไปเดี๋ยวนี้ ตัวหนี้สินไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์ ตอนเขาอนุมัติเงินให้กู้เรายังดีใจสุดๆ แต่ความอยากให้หนี้ อยากให้ปัญหาจบลงเดี๋ยวนี้ แล้วมันไม่เป็นอย่างใจเราต่างหาก ที่ทำให้เรามีทุกข์เสียหนักหนา


สิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้เราเห็นก็คือ ทุกอย่างมีขึ้นแล้วหายไป เปลี่ยนแปลง คงสภาพเดิมตลอดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถบังคับให้ถูกใจเราตลอดเวลาได้ ธรรมชาติจะหมุนเวียนเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ เราจะเป็นทุกข์ก็ต่อเมื่อใจของเรายืดออกไปยึดว่า อันนี้ของเรา คนของเราต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เมื่อนั้นความทุกข์เกิดขึ้นทันที


There is nothing permanent except change.
-Heraclitus-


* เข็มทิศ
พูด ง่ายๆ ก็คือ เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเป็นทุกข์ เดือดร้อน ทุรนทุราย ลองมองลงไปในใจ จะเห็นว่าในใจเราขณะนั้นมีความยึด อยากบังคับ อยากฝืนธรรมชาติแอบแฝงอยู่





O ก้อนหนามในกำมือ

เคยสังเกตบ้างไหม เวลาที่เราเป็นทุกข์นักทุกข์หนา เรามักจะรู้สึกว่าทุกข์เหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะหยุดทุกข์ได้ยังไง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน เช่น โดนนินทา ถ้าเปรียบใจเป็นมือ และความรู้สึกทุกข์เป็นก้อนหนามแหลมๆ ใจเราไม่รู้ก็กำก้อนหนามไว้เสียแน่น ยิ่งเจ็บ ยิ่งทุกข์ ไม่รู้จะช่วยตัวเองได้ยังไง พอเราได้ฝึกตามสังเกตของจิตใจตัวเอง เราจะเห็นอาการที่ใจคอยกำความคิดและความทุกข์ไว้แน่น ทันทีที่เราเห็นใจของเรากำลังกำก้อนหนาม กำมีดทิ่มแทงตัวเองอยู่ ขณะนั้นเองที่ใจจะสามารถวางความคิด วางมีดลงได้ชั่วขณะหนึ่ง เรามักจะรู้สึกว่า เราสามารถวางความทุกข์ได้เพียงชั่วครู่เดียว แล้วมันก็กลับมาอีก เคยได้ยินเรื่องลิงเกลียดกะปิบ้างไหม?





O ลิงน้อยกับกะปิ

เวลาที่คนจะแกล้งลิงก็มักจะเอากะปิไปทาที่มือลิง เจ้าลิงเกลียดกะปิที่สุดในชีวิตก็จะเอามือมาสูดดม แล้วถูมือไปกับสิ่งต่างๆ จนเลือดไหลท่วมมือ ถามว่า สิ่งที่ทำให้ลิงบาดเจ็บจนเลือดไหลคือ กะปิ หรือ ความเกลียดกะปิในใจลิง


ลิงน้อยไม่เคยฝึกตามรู้จิตใจตัวเอง มันจึงไม่รู้ว่า ตัวมันนั่นเองที่หยิบกะปิมาดมตลอดเวลา แล้วความเกลียด ความอยากผลักไสของมัน ก็ทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส เราอาจจะหัวเราะว่าลิงโง่ แต่เราทุกคนก็เคยเป็นเหมือนตัวดิฉัน เหมือนเจ้าลิงน้อย ที่หยิบมีดมาแทงตัวเอง กำก้อนหนาม หยิบกะปิมาดม ทำร้ายตัวเองอยู่ทุกขณะโดยไม่รู้ตัว


แล้วมนุษย์อย่างเราจะปล่อยให้ ตัวเองเป็นเหมือนลิงที่จะหยิบกะปิมาดม กำก้อนหนาม หรือหยิบมีดมาทิ่มแทงตัวเองตลอดเวลา โดยที่ไม่คิดจะช่วยตัวเองบ้างเลยหรือ





O กายใจเป็นห้องทดลองวิทยาศาสตร์

สิ่งที่ดิฉันได้ค้นพบก็คือ ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเรามีสติรู้ตัว จริงๆ แล้วเรารู้ไม่ทัน เราเหมือนคนที่กำลังจมลงไปในน้ำ ถลำลงไปในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่ลากใจเราถูลู่ถูกัง ให้เราเจ็บปวดทุรนทุรายกับเรื่องต่างๆ แตกต่างกับขณะที่เรามีความรู้สึกตัว รู้ตัวอยู่เป็นกลางๆ เรารับรู้แต่ละประสบการณ์ โดยที่สิ่งนั้นๆ ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายได้


เป็นประสบการณ์ท่แปลก ราวกับว่าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง เราอยู่แค่ในความคิดของเรา เราอยู่กับลูก เราก็คิดถึงเรื่องงาน คิดอดีต คิดอนาคต ใจเราแอบทำงานตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เรารู้แค่ผลของมัน ผลที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและหนัก


พอมาฝึกตัวเองใหม่ มาเรียนรู้การเดิน รับประทานอาหาร พูด อย่างรู้สึกตัว ใหม่ๆ เราต้องคอยสังเกตคอยชำเลืองดูจิตใจตัวเอง พอทำไปๆ จิตใจความรู้สึกของเรา มันปรากฏให้เราเห็นอย่างชัดเจน แล้วตัวเราเป็นเหมือนคนอีกคนที่ดูอยู่ ที่มีสิทธิ์จะเลือกทำตามความคิดก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ความรู้สึกมันเหมือนคนที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นอิสระจากความคิด ความรู้สึกของตัวเอง


เหมือนกับเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในห้องทดลอง มีร่างกายและจิตใจของเราให้เราเฝ้าสังเกต แม้กระทั่งในขณะนี้ ถ้าคุณลองสังเกตดูจะเห็นว่า ตัวเองส่งใจยืดมาดูที่ตัวหนังสือ อ่านแปลความหมาย หยุดคิดเป็นช่วงๆ แล้วบางขณะใจก็ลอยไปคิดเรื่องอื่น นึกขึ้นได้ก็กลับมาอ่านต่ออีก ความคิดของเรามากมายมหาศาลจริงๆ แต่เราไม่เคยรู้ทัน


ไม่น่าแปลกใจเลยที่เรามักจะพบว่าความคิดเราพาเราไปทำอะไรๆ ให้ต้องเสียใจมาแล้วหลายครั้ง เพราะเรารู้ไม่ทันความคิดของตัวเรานั่นเอง


ตอนนี้เราลองมาฝึกเป็นเหมือนตำรวจตรวจจับผู้ร้ายกัน คิดอะไรก็รู้ทัน ตรวจดูว่าไม่เป็นโทษแล้วจึงปล่อยให้ทำ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเรานึกย้อนดูให้ดี เราจะเห็นว่า บ่อยมากที่เราปล่อยให้ตัวเองไหลไปในความรู้สึก โกรธ น้อยใจ อิจฉา หึงหวง อยากได้ ไม่อยากได้ หงุดหงิด รำคาญ เครียด กังวลใจ เรางับ งับ งับความคิด ทั้งๆ ที่เรารู้ดีว่า ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เคยทำประโยชน์ให้กับใคร


สรุปก็คือจิตใจเราทำงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งดี ทั้งร้าย เป็นภาระหนักทางใจที่เราแบกไว้ตลอดเวลา เราแบกของหนักไว้ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว คิดจะวางก็วางไม่ได้ วางไม่เป็น บางคนอาจจะรู้เพียงว่า เราเหนื่อย หนัก เหมือนเด็กหลงทาง ที่อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนแบบเรียนในในโรงเรียนที่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอ


ตลอดชีวิตที่ไม่รู้ความจริง เราแก้ปัญหาผิดที่ ผิดวิธี ชีวิตเราจึงยุ่งเหยิง วุ่นวาย เพราะเราไม่รู้กฎธรรมชาติธรรมดาของชีวิต ไม่รู้แม้กระทั่งกระบวนการทำงานภายในจิตใจตัวเองว่า ความหงุดหงิด ความอิจฉา ความน้อยใจ ความรัก ความโกรธ เกิดขึ้นได้อย่างไร มีสภาพอย่างไร แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีชีวิตอยู่กับมันได้ โดยที่เราเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ไม่ต้องยอมจำนนกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำ ที่อะไรอยากจะผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็โผล่ขึ้นมาทั้งที่ใจไม่ต้องการ การรู้ความจริง รู้กฎของชีวิต ช่วยให้เราบริหารชีวิตจิตใจได้ตรงจุด เป็นการประกาศอิสรภาพของใจที่เคยตกเป็นเบี้ยล่างตลอดมา


* เข็มทิศ

ในแต่ละขณะ ในแต่ละวัน หมั่นชำเลืองสังเกตความรู้สึก ตามดูการทำงานของจิตใจ สังเกตความรู้สึกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ดูความคิดที่ผุดขึ้นและหายไป รู้สึกถึงแรงผลักภายในใจ เห็นความไม่เป็นแก่นสารของความรู้สึกนึกคิด เป็นเหมือนหมอกควัน เหมือนพรายน้ำที่ผุดขึ้นมาแล้วหายไป ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยมันทำงาน คนหลายใจตัวจริงอยู่ตรงนี้นี่เอง





ป.ล. หนังสือ "เข็มทิศชีวิต" เขียนโดยคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง



Create Date : 18 กันยายน 2552
Last Update : 20 กันยายน 2552 15:46:22 น. 3 comments
Counter : 660 Pageviews.

 
มาเจิมให้ค่ะ


โดย: pinkyrose วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:19:38:59 น.  

 
น้องบีเก่งจังนะคะ พิมพ์มาละเอียดเลย แต่พี่ต้องขออนุญาตค่อยๆอ่านค่ะ สายตาเริ่มไม่ดี อ่านไปพักไปค่ะ


โดย: pinkyrose วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:19:40:20 น.  

 
ภาคสองแระ ภาคแรกยังอ่านไม่จบเลยอ่ะ


โดย: pafun.p วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:17:03:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

beebeetoon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อะไรก็ได้ง่ายๆๆๆ (ยืมคำเฮียนมอุโด๊ส.....โน๊ส อุดมมาใช้)
Google

ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
Friends' blogs
[Add beebeetoon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.