สิงหาคม 2556

 
 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
How to prepare to go to Beijing esp for CSC students
大家好!

สวัสดีค่ะ ฮัลโหล ต้าเจียห่าว ต่ายก๊าโหว ! ช่วงนี้ขยันอัพบล็อกบ่อยซะเหลือเกิน แล้วก็หากินอยู่เรื่องเดียวคือ ปักกิ่ง ฮ่าๆๆๆ ใช่แล้วค่ะ วันนี้โบว์ก็จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับปักกิ่งอีกเช่นเคย แต่ทว่าวันนี้ขึ่นเดือนใหม่แล้ว เดือนหน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว ช่วงนี้มหาลัยต่างๆในจีนก้ทยอยๆส่งจดหมายแสดงข่าวดีมาให้นักเรียนทุนกันบ้างแล้ว มีใครได้ทุนจะมาเรียนที่ปักกิ่งปีนี้บ้างไหมคะ ???? 

และแน่นอนตอนนี้ใครที่รู้ตัวว่าในอีกไม่ถึงเดือนก็จะต้องบินมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวง สุดแสนศิวิไลซ์อย่างปักกิ่งแล้ว คงจะวุ่นวายกับการเตรียมเอกสาร เตรียมข้าวของเครื่องใช้ หาตั๋วเครื่องบิน และอื่นๆ
บลาๆน่าดู จริงๆแล้วเมื่อปีที่แล้วโบว์เคยเขียนเกี่ยวกับของข้าวที่โบว์เตรียมไปเป็นไกด์ไลน์บ้างแล้ว แต่วันนี้จะเขียนแนะนำรวมๆว่าควรจะเตรียมอะไรไปบ้าง รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆนอกจากสภาพจิตใจด้วย ก็เหมือนเดิมค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนไม่มากก็น้อย

ps. รูปภาพจากกูเกิ้ล



1. Documents 
หัวข้อแรกเลย เราขอเริ่มที่เอกสารค่ะ เป็นอะไรที่ทำให้เรามึนหัวได้มากที่สุด เคยบอกไปแล้วในบล็อกเก่าๆ (ลองหาอ่านได้นะคะ เคยอัพไว้แล้วที่กรุ๊ปcscด้วย) เนื่องจากเมื่อเราไปถึงมหาลัยแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำนั้นคือ การลงทะเบียน ซึ่งใช้เอกสารไม่เยอะ แต่วุ่นวายตามสไตล์คนจีน วันนี้โบว์เลยจะขอทบทวนให้อีกครั้งว่า เราควรเตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง 

Note ; * เอกสารทุกอย่างต้องเป็นภาษาอังกฤษ เอกสารทางการเรียนทุกอย่างมหาลัยที่เมืองไทยมีฉบับแปลอยู่แล้ว ไปทำเรื่องที่สำนักทะเบียนและประมวลผลของแต่มหาลัยได้เลยค่ะ 
* เอกสารทุกอย่าง ควรจะต้องทำสำเนาไว้ จะกี่ชุดก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละคนค่ะ ทำสำเนาไว้เผื่อหาย ถ้าทางมหาลัยที่จีนต้องการสำเนา ให้คุณเซ็นสำเนาถูกต้องกำกับไว้ด้วย โดยเซ็นเป็นภาษาอังกฤษ "Certified True Copy" พร้อมลายเซ็น ปี เดือน วัน (เมืองจีนใช้ ปี เดือน วัน)
* อย่าประมาทกับPassport โดยเด็ดขาด เพราะถ้ามันหายไป ชีวิตคุณจะลำบากขึ้นเป็นสิบเท่า เพราะขั้นตอนการทำพาสปอร์ตใหม่ในต่างประเทศ ไม่ได้ง่ายเหมือนคุณทำในเมืองไทย ฉะนั้นกรุณาถ่ายสำเนาหน้าพาสปอรต์และวีซ่าไว้ด้วย เมื่อถึงวันลงทะเบียนมหาลัยจะเก็บพาสปอร์ตตัวจริงของเราไปเพื่อจะเปลี่ยนจากวีซ่าเป็น Resident Permit และแนะนำว่าเวลาไปไหนควรพกสำเนา
พาสปอร์ต แล้วเก็บตัวจริงไว้ในห้อง จะได้ไม่หาย

1.1. Passport & Visa
       ใครที่ทำเป็น X-visa ต้องเปลี่ยนวีซ่าเป็นresident permit  ภายใน30วัน นับตั้งแต่เดินทางถึงประเทศจีน ส่วนใหญ่มหาลัยจะมีagency คอยจัดการให้ เราแค่เสียเงินค่าเปลี่ยนวีซ่าและค่าบริการเท่านั้น โดยค่าใช้จ่ายถ้าทำปีเดียว จะอยุ่ที่400 RMB ถ้าสองปี 800RMB ถ้าสามปีขึ้นไป 1,000RMB พร้อมค่าบริการแต่ละเอเจนซี่คิดไม่เท่ากัน แต่ถ้าเป็นที่Beijing Normal University คิด100RMB



Student Visa



Resident permit

1.2. Photos
       อย่าลืมพกรูปถ่ายไปด้วยนะคะ ขนาดตามวีซ่าก้โอเค เน้นพื้นหลังสีสว่าง พร้อมเขียนชื่อ นามสกุลตามพาสปอร์ต รวมไปถึงชื่อภาษาจีน(ถ้ามี) และ เลขประจำตัวนักเรียน (ส่วนใหย่มหาลัยจะมีเลขประจำตัวนักเรียน หรือ学号 ให้เราแล้วโดยแจ้งอยุ่ใน Admission Notice

1.3. Physical examination
       ทำสำเนาไว้ด้วยก็ดีค่ะ แล้วก็อย่าลืมเอาผลเอกซ์เรย์ไปด้วย แต่ก็แปลกนะมหาลัยบอกให้เราเอาไปด้วย แต่พอลงทะเบียนไม่เห็นดูเลย แต่เค้าบอกให้เอาไปก็เอาไปเถอะค่ะ กันพลาด

1.4. Highest Diploma & Transcript
       เอกสารพวกนี้เอาไปด้วยค่ะ ใบtranscript ใบรับรองจบการศึกษา บางมหาลัยของดูตัวจริงด้วย ก็ต้องเอาไป แต่ใบปริญญาเอาสำเนาไปก็พอ อย่าเป่ยชือต้าตอนลงทะเบียนนักเรียนใหม่ขอดูใบแสดงผลการเรียน ใบรับรองการจบการศึกษาตัวจริง แต่ใบปริญญาเค้าขอดูแค่สำเนา 

1.5. Admission Notice
      อันนี้สำคัญมากๆพอๆกับพาสปอร์ตและวีซ่า เพราะเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันได้รับการคัดเลือกจากมหาลัยแล้วจริงๆนะ ถึงแม้ว่าในระบบมหาลัยจะมีชื่อคุณแล้วก็ตาม ยกเว้น!ในกรณีที่คุณได้รับทุนให้เรียนภาษาก่อนหนึ่งปีด้วย อันนี้จะมีปัญหา (เจอมากับตัวแล้ว) คือ ตามระบบเลขประจำตัวของเด็กที่ได้รับทุนให้เรียนภาษาก่อนหนึ่งปีตัวเลขข้างหน้าจะเป็นเลขของปีหน้า เช่น เราได้ทุนมาปี2012 แต่เลขประจำตัวเราจะขึ้นด้วย 2013 และบัตรจะเป็น硕士 คือนักเรียนป.โท เพราะฉะนั้นในปีที่คุณมาเรียนภาษา คุณจะinvisible ไม่มีตัวตนในปีนั้นๆ แต่ไม่ต้องตกใจมหาลัยจะจัดการเรื่องทะเบียนให้เราเอง 


2. Stuff
เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ข้อแรกเลย โดยเฉพาะสาวๆ บางคนถึงขั้นแพลนเป็นเดือนเลยก็มี จะบอกว่าไม่ต้องขนไปเยอะเหมือนย้ายหรอกนะจ๊ะ ปักกิ่งเจริญกว่ากรุงเทพฯ ข้าวของบ้านเค้ามีเยอะกว่าบ้านเรา มีแต่ว่าอาจจะเป็นสินค้า หรือ ยี่ห้อที่เราไม่คุ้นเคย แต่ถ้าใครติดใช้ยี่ห้อจากเมืองไทยจะขนไปก้ไม่ว่ากันจ้า

2.1. Clothing
       ใครชอบเสื้อผ้าแฟชั่นจ๋าๆ ขนไปจากเมืองไทยเลยจ่ะ เพราะที่จีนแฟชั่นยังไม่โอโดนใจคนไทยเท่าไร ถึงจะมีแหล่งขายเสื้อผ้าราคาถูกเช่น 动物园 หรือ 珍珠市场ที่Xi dan และอีกมากมาย แต่เนื้อผ้าก็ไม่ค่อยดีนัก (ก็มันถูกง่ะ) สีตกด้วย แต่ถ้าใครชอบแบบสไตล์เสื้อผ้าสบายๆ ยาวๆ แบบที่เราเห็นนักท่องเที่ยวจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ใส่กัน ที่ปักกิ่งมีเยอะมาก ถ้าใครไม่แคร์เรื่องคุณภาพก็โอเคอยู่ แถมต่อราคาได้อีกด้วย 

2.2. All about shower
       เรื่องสบู่ ยาสระผม ครีมอาบน้ำ จะซื้อที่นี้ก็ได้ หรือเอามาจากไทยก็ได้ แต่ไม่ต้องเยอะ เพราะซื้อที่ปักกิ่งก็ได้เหมือนกัน มีให้เลือกเยอะ แถมบางยี่ห้อที่เมืองไทยไม่มีนำเข้า แต่ปักกื่งมี เช่นยี่ห้อ Lux ที่เมืองไทยจะมีขายแต่สบู่อาบน้ำ แต่ที่ปักกิ่งมีขายยาสระผม และครีมนวดผมด้วย ใช้ดีเหมือน เคยใช้อยู่ ฮ่าๆๆๆ 
เรื่องครีมอาบน้ำ ถ้าใครผิวแห้งมากก็แนะนำให้ซื้อEucerin ที่เป็นน้ำมัน จากเมืองไทยไป เพราะว่าปักกิ่งหน้าหนาวนั้นทรมานมาก ผิวแห้งมากกกกกกกกก บางคนแห้งถึงขนาดแตกเลยก็มี ต้องดูแลให้ดี เรื่องโลชั่นทาตัว มาซื้อที่นี้ก็ได้ ดีกว่าไทยเยอะ เพราะครีมที่ว่าดีๆอย่างJergens ก้ยังเอาไม่อยู่ ถ้าใครติดJergens จะเอามาก้ได้ เพราะที่ปักกิ่งหาซื้อยากมาก รู้สึกจะมีขายตามร้านขายของต่างประเทศ แถว三里屯น่าจะมี แต่ถ้าใครมาซื้อที่จีน เราก็แนะนำ Nevia Cream ที่เป็นตลับสีฟ้า ราคาประมาณ 19-20หยวน ครีมหนักมาก ทายากหน่อยแต่ก้ดีกว่าผิวเป็นหนังคางคง
เรื่องยาสระผม มาซื้อปักกิ่งก็ได้ อย่างที่บอกกรุงเทพฯมีอะไร ปักกิ่งก็มีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น
รีจอยส์ ซันซิล Head&Shoulder TRESemme แชมพูจากญี่ปุ่นอะไรมีหมด แต่ราคาสูงกว่าไทย แต่เชื่อเราเถอะเก็บน้ำหนักไปใส่ของอย่างอื่นดีกว่า แชมพูขนไปก้หนักใช่เล่นนะ
 เรื่องออยทาตัว จะเอามาหรือซื้อที่ปักกิ่งก็ได้ แต่Johnson baby ที่ปักกิ่งแพงกว่าเมืองไทยมาก เพราะสินค้านำเข้าทุกอย่างที่เมืองจีนจะแพง ภาษีสูง
เรื่องแป้งฝุ่น ใครติดทาแป้งเด็กก็ให้เอามา ที่ปักกิ่งจะมีขายเฉพาะห้างใหญ่และขายเฉพาะของJohnsonเท่านั้น ถ้าเป็นกระป๋องจะมีขายแต่สีขาว มีขายเป็นซองรีฟิลด้วยนะ ซองละ2RMB มีตลับใส่แป้งแยกขายต่างหาก
เรื่องBaby wipe, Wet tissue และแอลกอฮอล์ล้างมือ (เพราะที่เมืองจีนส่วนใหย่ห้องน้ำ(ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น) ไม่มีสายชำระ และไม่มีสบู่ล้างมือ) สามารถมาซื้อได้ที่ปักกิ่ง เพราะทิชชู่เปียกที่ปักกิ่งราคาถูก ถ้าห่อเล็กมีให้เลือกตั้งแต่หยวนเดียว ไปจนถึงห้าหยวน ถ้าห่อใหญ่ก็มีราคาตั้งแต่สิบหยวน ไปจนถึงยี่สิบกว่าหยวน ยกเว้นJohnsonห่อใหญ่ราคาแตะที่33RMB เมืองไทยถูกกว่า ห่อเล็ก10แผ่น ราคาสามหยวน ส่วนแอลกอฮอลืล้างมือ เมืองไทยมีให้เลือกเยอะกว่า ที่ปักกิ่งหาซื้อได้ยาก แต่หาได้ ปกติเราจะซื้อที่ห้างWalmart ใช่จ่ะ ฟังไม่ผิด ปักกิ่งมีwalmartจ่ะ เราซื้อที่สาขา知春路ใกล้ม.เป่ยหัง จะมีขายแต่Dettol ราคา11.6หยวน ถ้าจำไม่ผิด ขวดเล็กมีไซส์เดียว  

2.3. Plug
       ปลั๊กที่เมืองจีนจะไม่เหมือนเมืองไทย คือลักษณะปลั๊กจะมีสองแบบ แบบแรกคือ เป็นปลั๊กสามหัวแบน กับอีกแบบคือมีสามหัวแบนอยุ่ข้างล่าง และมีปลัีกสองหัวอยู่ข้างบน ก็ต้องดูว่าหอพักใช้ปลั๊กแบบไหน จะซื้อหัวปลัีกจากไทยไปก็ได้ น่าจะมีขาย หรือมาซื้อเมืองจีนก็ได้ ราคาไม่แพง เน้นต้องดุหัวปลั๊กเป็นสำคัญ เพราะบางที่ก็เป็นปลั๊กสามหัวแบบใหญ่ กับ แบบแบน 



2.4. Medicine
      ใครมีโรคประจำตัวแนะนำว่าให้เอายาไปเอง เพราะว่ายาที่เมืองจีนซื้อยาก ซื้อยากในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ค่อยมีขาย แต่เป็นเพราะยาบางตัวเป็นชื่อภาษาอังกฤษ คนจีนก็เอาไปแปลเป็นภาษาจีนทำให้คนต่างชาติเวลาซื้อยาค่อนข้างลำบาก ในช่วงแรกๆที่ภาษาจีนไม่แข็งแรงควรพกยาสามัญติดตัวไป เอาเป็นfirst aid kit ก็ดี พอภาษาแข็งแรงขึ้นค่อยไปซื้อที่ร้านขายยา บอกอาการเค้า เค้าจะจัดยาให้ 

2.5. Sanitary napkin
       ใครกลัวใช้ของจีนไม่ได้ก็เตรียมไปค่ะ แต่ที่ปักกิ่งผ้าอนามัยมีให้เลือกเยอะ ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อ แต่ที่ดีสุดที่คนอื่นพูดกันมาคือ ยี่ห้อ ABC แต่เราไม่ชอบตรงที่มันมีสูตรเย็น ฮ่าๆๆๆ ยี่ห้อที่ในเมืองไทยขายก็มีเช่น ลอรีเอะ โซฟี(เยอะมาก มากกว่าลอรีเอะ) whisper แม้แต่โกเต๊กที่ปัจจุบันเมืองไทยไม่มีขายแล้ว แต่ที่เมืองจีนก็ยังคงขายอยู่ 

2.6. Shoes
       ใครชอบใส่รองเท้าแตะให้เอามาคะ fipflop เอามาจากเมืองไทยเลย เมืองหายากค่ะ ปักกิ่งมีขายรองเท้าแตะเหมือนกันแต่ไม่ค่อยมีใครใส่หรอก เพราะว่าเป็นเมืองหนาวส่วนใหญ่คนจะชอบใส่รองเท้าหุ้มสน รองเท้าผ้าใบ เป็นต้น ไม่ต้องขนรองเท้าสำหรับหน้าหนาวมาจากเมืองไทย เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลย มาซื้อที่ปักกิ่งจะมีช่วงที่เค้าเอารองเท้าบู้ท รองเท้าหนัง รองเท้ากันน้ำ เสื้อขนเป็ด เสื้อกันหนาวของปีที่แล้วมาเซลล์ช่วงปลายเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ลด50%เลยทีเดียว

2.7. Mask
      ใครที่นิยมใส่ผ้าปิดปากแบบใช้แล้วทิ้ง จะเอามาจากเมืองไทยก็ได้ ที่เมืองจีนจะมีขายแบบใช้จริงจังเลย เพราะปักกิ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องมลภาวะ แถมในช่วงฤดุใบไม้ผลิจะมีพายุทรายจากมองโกเลียเข้ามาอีก งานนี้ไม่ใส่ผ้าปิดปากก็คงจะไม่ไหว สงสารปอด นอกจากนี้การใช้ผ้าปิดปากก็กลายเป้นแฟชั่นย่อยๆของคนที่นี้ไปซะแล้ว(เหมือนคนญี่ปุ่น) ในช่วงหน้าหนาวอากาศจะหนาวจนบาดหน้าคุณ ต้องใส่ผ้าปิดปากไม่งั้นทนไม่ไหวอย่างแน่นอน รวมไปถึงสาวๆวันไหนที่ไม่ได้แต่งหน้า หรือมีสิว ผ้าปิดปากก็ยังช่วงคุณอำพรางใบหน้าจากผู้คนได้อีก เพราะเราใช้ประจำ เท่ดี ฮ่าๆๆ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นจากตัวคนจีนเวลาขึ้นรถไฟใต้ดินได้อีกด้วยนะ เห็นมั้ยว่ามันสารพัดประโยชน์มากจริงๆ จะซื้อที่ไทย หรือ ที่ปักกิ่งก็ตามแต่สะดวก แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนพึงจะมีจ้า

2.8. Text book and Talking Dict.
       ใครที่มาเรียนป.โทที่นี้ควรจะเอาหนังสือเรียนที่เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย หรือ ภาษาอังกฤษมาด้วย โดยเฉพาะคนที่เรียนเป็นภาคภาษาจีน เพราะคุณไม่มีทางที่จะฟังอาจารย์พูดรู้เรื่องทั้งหมด การเอาหนังสือภาษาไทยหรืออังกฤษไปจะทำให้เราเข้าใจบทเรียนมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นแนวทางได้ หรือสามารถเอาหนังสือภาษาอังกฤษไปถามอาจารย์ก็ได้ เพราะอาจารย์ที่เมืองจีนส่วนใหญ่เข้าใจภาษาอังกฤษ เด็กจีนก็เข้าใจภาษาอังกฤษ คืออ่านได้ เขียนได้(อาจจะดีกว่าไทย) แต่พูดไม่ได้เท่าคนไทย (ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื่องสำเนียง)
        ส่วนใครเรียนภาษาถ้าขยันหน่อยควรพกดิกเล่มไป เพราะมันดีกว่าTalking Dictเป็นไหนๆ แต่ถ้าใครไม่ถนัด ก็แนะนำให้ใช้Talking Dict แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ก้ใช้Talking Dict กันทั้งนั้นไม่ว่าชาติไหน ฮ่าๆๆ

3. Weather
ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีฤดูกาลที่แตกต่างชัดเจน หมายถึง ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว ซึ่งแต่ละฤดูนั้นก็มีสีสันที่แตกต่างกันออกไป เสื้อผ้าต่างๆก็ต้องเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยเช่นกัน ปักกิ่งไม่มีฤดูฝน เพราะตกไม่บ่อย  แต่ถ้าตกทีตกทั้งวัน และบางครั้งตกหนักจนเกิดภับน้ำท่วมตามข่าว 

ปักกิ่งนอกจากจะเป็นเมืองที่ฤดูกาลชัดเจนแล้ว ยังเป็นเมืองที่ในหนึ่งวันคุณอาจเจอถึงสองสภาพอากาศ เช่น ในฤดูร้อน อากาศจะร้อนมาก แต่ถ้ามีฝนเมื่อไร อากาศจะเย็นขึ้นจนคุณต้องหยิบเสื้อคลุมมาใส่เลยทีเดียว เราเคยสัมผัสแล้ว ในหนึ่งวันช่วงกลางวันอากาศร้อน อุณหภูมิ30องศา แต่ตอนเย็นฝนตก อากาศจะลดเหลือ10ปลายๆ ถึง 20กลางๆเท่านั้น เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนี้ต้องติดตามสภาพอากาศอยู่เป็นประจำ 

3.1. Spring (March - May)



       เริ่มต้นฤดูกาลแรกของปีด้วยฤดูใบไม้ผลิจ้า ในฤดูกาลนี้อากาศกำลังเย็นสบายเพราะเพิ่งผ่านหน้าหนาวมาไม่นาน ปกติอุณหภูมิจะอยู่ที่สิบกว่าองศา ถึง ยี่สิบต้น และอาจจะเลขตัวเดียวในตอนกลางคืน 



สิ่งที่น่ากลัวสำหรับฤดูกาลนี้คือ พายุทรายจากมองโกเลียนั่นเอง แต่ละปีความหนักเบาไม่เท่ากัน อย่างปีที่ผ่านมาก็มีแต่หนักนัก จะสังเกตุได้ง่ายเลยคือ ถ้าวันไหนท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล นั่นหมายความว่าลมทรายได้มาแล้ว คุณสามารถนั่งอยู่ที่ชั้นสูงๆของหอพักแล้วขยะลอยผ่านหน้าไปได้ ฮาๆ เมื่อเกิดพายุทราย หรือ 沙尘暴 พยายามอย่าออกไปไหน ถ้าจำเป็นต้องจริงๆให้ใส่ผ้าปิดปาก และ แว่นกันแดด



การแต่งกาย ควรใส่เสื้อแขนยาว หรือ สวมคาร์ดิแกนทับ เพราะอากาศยังเย็นอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม จะใส่ผ้าพันคอด้วยก็ไม่ว่ากัน 

3.2. Summer (June - August)



ถ้าจะบอก ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะอากาศในช่วงหน้าร้อนของปักกิ่งมันช่างร้อนนัก อุณหภูมิต่ำๆก็30องศา ในบางครั้งช่วงกลางวันอาจสูงถึง40องศา ดีใจที่เรากลับไทยมาก่อน ฮ่าๆ อากาศที่ปักกิ่งมักจะแห้ง ดังนั้นถึงแม้อากาศร้อนเหงื่อก็มักจะไม่ท่วมเหมือนเมืองไทย แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมกันแดด ร่ม (คนจีนกลัวแดดมาก กางร่มกันทุกคน) และท้องฟ้าในช่วงหน้าร้อนนั้นจะสดใสแทบทุกวัน ยกเว้นในวันที่ฝนตก ส่วนท้องฟ้าสว่างเร็วมากตีห้าก็มีแดดแล้ว และมืดช้า(ชอบมาก) สองทุ่มกว่าๆท้องฟ้าถึงจะมืดสนิท



การแต่งกาย เหมือนเมืองไทย อยู่ไทยใส่อะไร อยู่ปักกิ่งก็ใส่อย่างนั้นแหละ ง่ายๆสบายๆ 

3.3. Autumn (September - October)



เค้าว่ากันว่าฤดูนี้เป็นฤดูที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุด เพราะอากาศกำลังดี ค่อนไปทางร้อนหน่อยๆ แต่ไม่มาก บางวันมีลมแรงต้องใส่คาร์ดิแกน อุณหภูมิจะอยู่ที่ยี่สิบกว่าๆ ในช่วงกลางคืนบางวัน โดยเฉพาะปลายฤดูกาลอุณหภูมิจะเหลือแค่สิบต้นๆ 



ความสวยงามของฤดูนี้คือ เราจะได้เห็นใบไม้ค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นส้ม เป็นเหลือง สวยงามยิ่งนัก แต่ก็นั่นแหละความงามมักอยู่กับเราไม่นาน มันอยู่แค่เดือนเดียวเท่านั้นและหลังจากนั้นชีวิตก็จะเข้าสู่โหมดมืดมน ฮ่าๆๆๆ พร้อมกับความหนาวที่แสนทรมานทั้งกายและใจ โดยเฉพาะคนโสด อิอิ

การแต่งกาย เราว่าฤดูนี้เหมาะกับการแต่งตัวมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูกาลเพราะอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว สามารถใส่เสื้อสองชั้น อาจจะสวมทับด้วยคาร์ดิแกน ผ้าพันคอสักผืน (แหงล่ะ ใครจะไปใส่สองสามผืน) เลคกิ้ง(ที่เมืองจีนมีให้เลือกเยอะมาก ใครที่ชอบเลกกิ้งเหมือนเรา นี้คือสวรรค์ชัดๆ เพราะมีสี มีสไตล์ให้เลือกเยอะมากในราคารับได้) รองเท้าหุ้มส้นสักคู่ ก็สวยแล้ว

3.4. Winter (November - February)



ความหนาวเย็นของปักกิ่งไม่เคยปราณีใครเลย มันเป็นความหนาวแบบที่สรรหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง อุณหภูมิโดยเฉลี่ยถ้าเป็นช่วงฤดูกาลจะอยู่ที่ 0 องศาเป็นต้นไป แต่ถ้าเข้าหน้าหนาวจริงๆแล้ว ช่วงเดือนธันวาคคม ถึง กุมภาพันธ์ อุณหภูมิติดลบแน่นอน ในบางวันตอนกลางคืนอาจติดลบมากกว่า 20 องศา ใช่แล้ว ! ที่เราไปสัมผัสมา อากาศเย็นที่สุดอยุ่ที่-20 องศา ส่วนเรื่องท้องฟ้าแสงแดด หาได้น้อยมากวันที่ท้องฟ้าสดใส ส่วนใหญ่ท้องฟ้าหน้าหนาวจะเป็นสีเทา หมอกเยอะ วันที่มีแดดจะวิ่งเข้าหาทันที อย่าลืมทาครีมกันแดดเพราะแดดแรง เพียงแต่เราแค่ไม่
รู้สึกเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องท้องฟ้าสว่างช้าแปดโมงยังไม่สว่างเลย และมืดเร็วสี่โมงเย็นก็มืดตื๊ดตื๋อแล้ว



แต่ในความเป็นจริงแล้วอากาศจะหนาวกว่าอุณหภูมิที่โชว์มาก โดยเฉพาะวันไหนที่ลมแรง ความหนาวเย็นจะลดลงจากอุณหภูมิไปอีกสิบองศา ในความคิดของเรา มันไม่ใช่เรื่องโอเวอร์เลยมันคือความจริง คุณจะลืมความร้อนตับแตกจากเมืองไทยไปจนคุณนึกไม่ออกเลยว่าเมืองไทยมันร้อนยังไง ความหนาวที่ปักกิ่งมันทรมานมาก มันหนาวบาดไปถึงข้างใน วันไหนที่หิมะตกอากาศจะโอเคหน่อย แต่ถ้ามันละลายเมื่อไหร่ ก็นรกในความเย็นดีๆเนี้ยแหละ มีอยู่ช่วงหนึ่งมันหนาวจนหน้าชา หนาวจนรู้สึกว่า ร้อนตาย กับ หนาวตาย อันไหนมันทรมานกว่ากัน แต่เชื่อเราคนไทยไม่มีใครหนาวตายที่นี้แน่นอน ฮ่าๆๆ และในช่วงหน้าหนาวนี้แม่น้ำ บึงต่างๆจะแข็งเป็นน้ำแข็ง ที่ทะเลสาบ后海น้ำจะแข็งและเจ้าหน้าที่จะเปิดให้เราเข้าไปเล่นสกีน้ำแข็งได้ด้วย



การแต่งกาย บางคนอาจจะเข้าใจว่าหน้าหนาวจะแต่งตัวได้มากสุด แต่สำหรับเราเราคิดว่าฤดูใบไม้ร่วงแต่งตัวได้มากกว่า ฤดูหนาวอาจเป็นสวรรค์สำหรับคนอ้วน รึเปล่า เพราะทุกคนจะดูอ้วนเหมือนๆกันหมด โดยการแต่งกายส่วนใหญ่ที่ต้องใส่เป็นประจำคือ เสื้อขนเป็ด หรือ เสื้อแบบยางมิชลินนั่นแหละ
กรุณาอย่าขนมาจากเมืองไทย ให้มาซื้อที่นี้ มีทั้งยี่ห้อของจีน ของญี่ปุ่น ฝรั่ง มีหมด หลากหลาย
ควรเลือกที่เหมาะกับตัว อย่าให้ใหญ่ไป เพราะลมเข้าได้ หนาวกว่าเดิม ลองจอนใครชอบใส่จะใส่ก็ได้ 

ที่ขาดไม่ได้คือ ถุงมือ และ ถุงเท้า เป็นของจำเป็น อากาศหนาวจนมือและขยับไม่ได้ ใช้นิ้วมือกดมือถือยังไม่ได้เลย ลองมาแล้ว ใส่ถุงมือก้เลื่อนปุ่มunlockในiphone ipodไม่ได้เหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งจำเป็น ผ้าปิดปากด้วย ควรจะใส่เพราะอากาศจะหนาวจนบาดหน้าคุณ ที่ปิดหูก็ควรมี อันนี้แล้วแต่คน แต่เราไม่ใส่ไม่ค่อยชอบนัก แต่บางคนหนาวจนหูเน่า หูเป็นแผล อันนี้ก็ต้องใส่ หมวก หรือ ฮู้ดก็จำเป็นจะได้ไม่เป็นหวัด ต้องใส่โดยเฉพาะวันที่มีหิมะ

ในช่วงหน้าหนาวหมั่นดูพยากรณ์อากาศบ่อยๆ เพราะในห้องจะมีฮีตเตอร์ อากาศจะแห้งและอุ่น เราจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกหนาวขนาดไหน อาจทำให้ใส่เสื้อผ้าไม่ถูก


4. Cost of living
ปกติค่าครองชีพในปักกิ่งก็จะสูงกว่ากรุงเทพฯอยู่แล้ว ยกเว้นสินค้าบางชนิดเท่านั้นที่ถูกกว่า สินค้าในปักกิ่ง ถ้าผลิตในปักกิ่งราคาจะถูกกว่าสินค้าที่มาจากมณฑลอื่น แต่ก็หาได้น้อยนะสินค้าที่ผลิตในปักกิ่งเอง

4.1. Product pricing
       อย่างที่กล่าวไปข้างต้นสินค้าในปักกิ่งส่วนใหญ่จะมีราคาแพงกว่าในกรุงเทพฯ ยกเว้นบางสินค้า เช่นsprayปรับอากาศของGlade จะมีราคาถูกกว่าในกรุงเทพฯ แต่มีกลิ่นให้เลือกน้อยกว่า
       สินค้านำเข้าจากต่างประเทศจะมีราคาสูงมากเมืองจีน เนื่องจากภาษีนำเข้าเค้าสูง อาทิเช่น
SKII Facial Treatment 75 ml. ในเคาท์เตอร์เมืองไทยขายราคา 2,800บาท ในดิวตี้ฟรีขาย 2,150บาท แต่ถ้าในปักกิ่ง เคาท์เตอร์แบรนด์ขายราคา610RMB หรือ สามพันกว่าบาท ถ้าในดิวตี้ฟรีปลอดภาษี ราคาเหลือแค่353RMB หรือ พันเจ็ดร้อยกว่าบาทเท่านั้น น้ำหอมในดิวตรีฟรี ปักกิ่งก็ถูกกว่าเมืองไทยมากเหมือนกัน
       ทั้งนี้สินค้านำเข้าในปักกิ่งจะต้องซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆเท่านั้น เช่น 物美, Walmart, Carreful, BHG เป็นต้น

4.2. Transportations
       นี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราหลงรักปักกิ่งก้เป็นได้ เพราะความที่เป็นเมืองใหญ่แต่ขนส่งมวลชนดีเยี่ยม ในราคาที่ถูกมาก รถเมล์ราคาหยวนเดียว หรือ ห้าบาท รถไฟใต้ดิน2RMB หรือสิบบาทตลอดสาย รถไฟใต้ดินมีทั้งหมด17สาย เชื่อมต่อกันหมด (อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้จากเอนทรี่เก่าๆ) คนที่มาเรียนที่ปักกิ่งควรทำบัตร 一卡通 เพราะจะทำให้ประหยัดขึ้นกว่าเดิม สามารถซื้อได้ที่รถไฟใต้ดินทุกสถานี ราคาบัตรมัดจัด30RMB ถ้าจำไม่ผิด ใช้บัตรนี้ขึ้นรถเมล์ได้ลดเหลือไม่กี่เหมา แต่ขึ้นรถไฟใต้ดินไม่ได้ส่วนลดแต่ก็ดีกว่าไปต่อคิวยาดเหยียดซื้อตั๋ว นอกจากนี้ยังใช้ซื้อของได้ด้วย

4.3. Food
       อาหารการกินในปักกิ่งอาจเป็นปัญหาของนักเรียนไทยหลายๆคน รวมถึงตัวเราเองด้วย เนื่องจากอาหารทางเหนือจะแตกต่างจากอาหารทางใต้อย่างสิ้นเชิง ค่าอาหารเริ่มต้น10RMB ได้แค่ข้าวผัดกับไข่ แค่นั้นไม่มีอะไรเลย แต่ปริมาณเยอะมากพอๆกับน้ำมัน และนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนอ้วนขึ้น ถ้าใครไม่อยากทานก็ต้องทำอาหารกินเอง แต่ผักเมืองจีนถูก แต่ผลไม้ที่ปักกิ่งแพงมาก เพราะทางเหนืออากาศหนาว ผลไม้หน้าหนาวอย่างstrawberry, cherry จะถูก แต่ถ้าผลไม้ทั่วไปเช่น กล้วย จะแพงมาก ขายแบบชั่งน้ำหนัก ไม่ใช่ขายเป็นหวีแบบบ้านเรา ถ้าใครชอบกินฝรั่ง และ มะม่วงดิบแบบเราคงต้องแห้ว เพราะที่ปักกิ่งไม่มีขายฝรั่ง และมะม่วงขายแต่สุกแล้ว ถ้าไปถามพ่อค้าว่ามี
มะม่วงดิบมั้ย เค้าอาจด่าได้ เพราะเค้าเข้าใจว่าเราไปว่าร้านเค้าขายผลไม้ไม่สุก (ซะงั้น)
       ส่วนใหญ่คนทางเหนือมักจะกิน面หรือบะหมี่(ไม่เหมือนบะหมี่เหลือง) ข้าวไม่ใช่อาหารหลักของคนทางเหนือ คนเหนือชอบกินหมั่นโถว เกี้ยว(ไม่เหมือนเกี้ยวฮ่องกง) ใครกินไม่ได้ก้คงต้องทำอาหารเอาเพราะที่นี้ถึง CP จะใหญ่แต่ก็ไม่มีอาหารแช่แข็งมาขายเหมือนบ้านเรา ที่เห็นจะมีแต่เกี้ยวแช่แข็ง
       ใครที่มาถึงปักกิ่งคงต้องลองชิม麻辣烫ข้างทางดูบ้าง กินไปคุยไปจิบเบียร์ไปท่ามกลางอากาศเย็นสบายคงจะสุขไม่น้อยนะ ไม่งั้นคนจีนไม่มากินเยอะขนาดนี้หรอก



วันนี้ก็ขอฝากไว้4ข้อใหญ่ๆแล้วกันจริงๆมีเยอะกว่านี้ที่listไว้ แต่ก็กลัวว่าจะมากเกินไป แค่นี้ก็มากพอแล้ว เดี๋ยวไม่มีใครอ่าน โบว์เลยเลือกเฉพาะข้อหลักๆมาให้ อย่างอื่นเรียนรู้ได้หลังจากที่มาปักกิ่งแล้ว 

ยังไงก็ฝากบล็อกของโบว์ด้วยนะคะ จะมาอัพบ่อยๆพร้อมเนื้อหาสาระ(น้อยๆ)เช่นเดิม ที่แพลนไว้คือจะมีทำรีวิวร้านกาแฟในปักกิ่งด้วย เพราะเป็นคนชอบทานกาแฟมาก ยังไงฝากด้วย แล้วก็ยินดีกับทุกคนที่ได้ทุนในปีนี้ และขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ใครที่ไม่ได้ก็ไม่ต้องท้อแท้คะ โอกาสยังมีอีกใช่ว่าปีหน้าจะไม่มีทุนแล้วซะเมื่อไหร่ ขอเพียงแค่คุณอดทน ต้องมีวันนั้นที่เป็นของคุณค่ะ 



ฝากไว้กับภาพมหาลัยเราเอง Beijing Normal University ยินดีต้อนรับล่วงหน้าสำหรับใครที่จะมาเรียนที่นี้ในปีนี้ ไว้เจอกันที่เป่ยชือต้านะคะ 

ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
Beau Hung



Create Date : 01 สิงหาคม 2556
Last Update : 1 สิงหาคม 2556 20:22:42 น.
Counter : 7974 Pageviews.

4 comments
  
เขียนดีมากๆ ละเอียดมากเลยค่ะ
เราได้ทุนขงจื๊อปี2014 ที่เป่ยไว่
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆนะคะ อ่านเพลินเลย ^-^
โดย: varisa IP: 171.96.19.51 วันที่: 24 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:46:57 น.
  
สุดยอดครับ ผมอ่านเกือบทุกตอนเลยครับ
ปีนี้ผมได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียน ที่ เหอเป่ยใกล้ปักกิ่ง ตอนนี้รอรัฐบาลอนุมัติทุนลุ้นมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ
โดย: แบงค์ IP: 118.172.163.235 วันที่: 7 พฤษภาคม 2558 เวลา:14:58:49 น.
  
ขอบคุณมากๆค่ะ
กำลังจะไปเรียนที่ปักกิ่งปลายปีนี้
เลยsearch หาข้อมูลในgoogleแล้วเจอblogนี้ เขียนแล้วเป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ ไว้มีโอกาสอาจจะขอคำปรึกษาเพิมเติม+จะติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ
:)
โดย: 陈金銮 IP: 183.89.172.133 วันที่: 5 กรกฎาคม 2558 เวลา:22:35:03 น.
  
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ได้ทุน csc แล้วกำลังจะไปทำ visa เลยค้นหาข้อมูลดู เจอ blog นี้พอดี เป็นประโยชน์มาก ๆ ครับ
โดย: ตี๋ IP: 171.4.249.103 วันที่: 26 กรกฎาคม 2558 เวลา:22:39:32 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

beauhlinglings
Location :
Beijing  China

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



PHOEBE HUNG
Based in +852|+86|+66
Coffee|Lifestyle|Gastronomy
|Diary|Travel

Instagram: thephoebediary
Tumblr: Beauhlinglings

"Spinning Laughing Dancing
to her favourite song"



New Comments