บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
 
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
21 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
เวลา : อีกบทหนึ่งของความสำเร็จ






เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน
นั่นคือความเป็นจริงที่ต้องยอมรับ
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการคุณภาพของชีวิตที่ดีกว่า
นั่นคือความฝันที่คนทุกคนได้สร้างไว้
เพื่อเป็นแรงผลักดันตัวเองขึ้นไป
ในระดับที่พอจะเอื้อมถึงได้
แต่ก็มีสำหรับบางคน
เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วยังไม่รู้
และยอมรับที่จะต้องลงมาจากยอดนั้น

ความสำเร็จ ความสุข กำลังใจ
และปัจจัยต่าง ๆ ที่ชีวิตไขว่คว้าหาได้
อย่าลืมเมื่อถึงคราวที่วันหนึ่งชีวิตอาจตกต่ำ
บางทีมันก็มาเยือนเราอย่างไม่ทันตั้งตัว
แต่ก็อีกนั่นแหละกว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว

เวลาในความหมายของชีวิต
สำหรับผู้รู้กาลเวลา
รู้ว่าเรากำลังเดินไปสู่จุดไหน
และต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดกว่าจะถึงจุดนั้น
อดทน รอคอย และเพียรพยายาม
อย่าเร่งวันคืนอย่าบ่มผลไม้ให้สุกเร็วกว่ากำหนด
ผลสำเร็จของชีวิตที่รอคอยด้วยน้ำมือของเรา
ด้วยศักยภาพของเรา
มันจะเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของชีวิต
และมันจะเป็นผลสำเร็จที่ยั่งยืนและไม่มีวันตาย





ด้วยวิธีคิดวิธีการทำงานแบบใหม่
มองนอกกรอบและเข้าใจในตัวตนของตนเองอย่างลึกซึ้ง
เป้าหมายของชีวิต จุดหมายของการเดินทางของชีวิต
คงอยู่ไม่ไกลเกินกว่าที่เราจะเอื้อมถึง !


ในระหว่างการเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ
แสวงหาประสบการณ์และความสุขระหว่างทางไปพร้อม ๆ กัน
หนทางของชีวิตจะเปี่ยมล้นด้วยคุณค่าด้วยตัวของมันเอง
ด้วยหัวใจที่ร่าเริงและสดใส
ท่ามกลางการผจญภัยของชีวิตที่ท้าทายและมุ่งมั่น
กับเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าที่เราจะไปบรรลุมันให้ได้








FIVE HUNDRED MILES -

Get this widget | Track details | eSnips Social DNA



Beegees - I Started A Joke - Bee Gees
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


I Started A Joke - Bee Gees


I started a joke, which started the whole world crying,
but I didn't see that the joke was on me, oh no.

I started to cry, which started the whole world laughing,
oh, if I'd only seen that the joke was on me.

I looked at the skies, running my hands over my eyes,
and I fell out of bed, hurting my head from things that I'd said.

Til I finally died, which started the whole world living,
oh, if I'd only seen that the joke was on me.

I looked at the skies, running my hands over my eyes,
and I fell out of bed, hurting my head from things that I'd said.

'Til I finally died, which started the whole world living,
oh, if I'd only seen that the joke was one me.

''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''

คำแปล เพลง I started a joke

เมื่อฉันทำตัวให้ตลกแต่คนทั่วไปกลับร้องไห้
แต่ฉันกลับไม่เห็นความตลกนั้นของฉัน

ฉันเริ่มร้องไห้ ในขณะที่คนทั่วไปกลับหัวเราะ
โอ้...ฉันกลับเห็นความตลกนั้นปรากฏที่ตัวฉัน

ฉันเหลือบสายตามองดูท้องฟ้า วางมืออยู่เหนือสายตา
และลุกจากเตียงนอน ฉันเริ่มปวดหัวกับสิ่งที่ฉันพูดออกไป

จนในที่สุดเมื่อฉันตายลง ขณะที่คนทั่วไปยังมีชีวิตอยู่
โอ้...ฉีนคงจะได้เห็นความตลกต่าง ๆ ในตัวฉัน

......................................


How Deep is Your Love - Bee Gees

I know your eyes in the morning sun
I feel you touch me in the pouring rain
And the moment that you wander far from me
I wanna feel you in my arms again

And you come to me on a summer breeze
Keep me warm in your love and then softly leave
And its me you need to show

Chorus:
How deep is your love
I really need to learn
cause were living in a world of fools
Breaking us down
When they all should let us be
We belong to you and me

I believe in you
You know the door to my very soul
Youre the light in my deepest darkest hour
Youre my saviour when I fall
And you may not think
I care for you
When you know down inside
That I really do
And its me you need to show

Chorus
Repeat and fade

.............................................






BeeGees Dance Medley - Bee Gees

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

บล็อกที่แล้ว คลิก --->//www.bloggang.com/mainblog.php?id=balanceofsociety&month=12-03-2009&group=3&gblog=55


Create Date : 21 มีนาคม 2552
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 6:22:20 น. 13 comments
Counter : 1988 Pageviews.

 
เพลงเก่ามากเลยค่ะ
แต่เราก็ชอบเพลงนี้ค่ะ...
morn than i can say..
เพลงนี้ก็เพราะค่ะ


สบายดีนะค่ะมิตรที่ระลึกถึงเสมอ
กุหลาบสีม่วงสวยจัง

เราก็ชอบเฟื่องฟ้าค่ะ
หลายๆๆสียิ่งสวย



เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน--->สำหรับบางคน บางขั้นตอนนะค่ะและบางสถานการณ์
ของคนที่ต้องการเอาตัวรอด---->ไม่มีใครผิดค่ะที่ต้องทำเพื่อการอยู่รอด


เวลาเปลี่ยน --->คนมั่นคง---->ใจหนักแน่น---->ชีวิตยังคงดำเนิน..และเปลี่ยนเช่นกัน
ในสภาพของความเป็นจริง--->ที่เรายอมรับเสมอเพราะเราเป็นคนเปลี่ยน..ทุกสิ่งมิใช่เหรอ





เมื่อเราตกต่ำใช่ว่าจะไร้แรง--->ไขว่ขว้ากลับสู่ที่สูงย่อมได้
เพราะหัวใจเรายังสู้.ไม่รู้จักคำว่าสาย..ถ้ามีการเริ่มต้นเสมอ


ใช่เลยยย..
ทุกชีวิตของผู้รู้กาลเวลาคือผู้มองเห็นศักยาภาพตัวเองเสมอ

ช้าๆๆได้พร้า..สองเล่มงามเสมอ..
เพราะสติ ความยั้งคิด ชั่งใจ
ไม่มีอะไรมาทำลายได้..
ศักยาภาพที่สอนให้ชีวิตมีความแข็งแกร่งแน่นอน



คุณแคทขอบเขียนเรื่อยเปื่อย..ตามความคิดตัวเองเสมอ
แต่มีความหวังดีห่วงใยมิเสื่อมคายนะค่ะ
อาจจไร้สาระ..แต่เขียนด้วยความรู้สึกตัวเองเสมอค่ะ

มิตรคนดี...


นอนหลับฝันดี
ดูแลสุขภาพด้วยนะค่ะ


สู้เสมอ..เมื่อมีลมหายใจค่ะ


โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 21 มีนาคม 2552 เวลา:23:43:22 น.  

 
จากประชาชาติธุรกิจ

จับกระแส SMEs ไทย วิสัยทัศน์แบบไหนไปรอด

รายงาน


ใน งานครบรอบ 12 ปีของสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ที่ผ่านมานั้นมีเอสเอ็มอีกว่า 800 รายเข้าร่วมประชุมพร้อมกับรับฟังบรรยาย โดยอดีตรองนายกรัฐมนตรี นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายในหัวข้อ "วิสัยทัศน์การพัฒนา SMEs" ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สรุปเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อเป็นแนวทางสำหรับเอสเอ็มอีในการปรับตัวฝ่า วิกฤต

โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีในเวลานี้ควรจะมองให้ชัด โดยเฉพาะคำว่า วิสัยทัศน์ ไม่ได้แปลว่า มองอย่างหรูหรา เหมือนที่ หลายคนเข้าใจ แต่แปลว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้มองภาพให้ใกล้ความจริงที่สุด และเวลานี้ภาพของความเป็นจริงที่สุด เอสเอ็มอีก็คงเห็นแล้ว

คงจำ ได้ว่า ประเทศไทยเคยผ่านวิกฤตปี 2540 มาแล้ว แต่วิกฤต 2540 มาด้วยความรวดเร็ว มีผลกระทบกะทันหันต่างกับคราวนี้ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ กลางปี 2550 มาแล้ว สิ่งที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้เป็นผลสะท้อนที่ลุกลามมาจากต่างประเทศที่เราค่อยๆ รับรู้มาเรื่อยๆ ที่รู้สึกจริงๆ ก็คือตัวเลขของไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ที่ผ่านมา

สรุปได้ว่า วิสัยทัศน์ในขณะนี้ คือเรากำลังจะค่อยๆ รับรู้เพิ่มเติมขึ้นมาอีกระดับ เพราะของที่เป็นพายุ มันก็คงเป็นพายุอยู่ ดังนั้นการรับรู้ผลกระทบคงต่อเนื่องไปอีกระดับหนึ่ง แต่จะต่อเนื่องแค่ไหน ไม่มีใครตอบได้ เราต้องย้อนกลับมาดูในจุดที่เกิดเหตุ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่สถานการณ์กลับมาสู่สภาพที่น่าพอใจ หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เราจึงจะตามกลับไปสู่สภาพที่น่าพอใจเช่นกัน มันจึงมีเวลาให้เอสเอ็มอีได้ปรับตัว

สิ่งที่เอสเอ็มอีต้องดู คือเมื่อไหร่ที่สหรัฐเขาปรับตัวไปสู่จุดที่น่า พึงพอใจ และอีกพักผลกระทบจะเริ่มเจือจางลงไป วิสัยทัศน์ที่เรามองขณะนี้ก็คือยังไม่จบ แต่จะไปอีกไกล แต่เมื่อมันจะคลี่คลาย เราจะรู้ตัวล่วงหน้า เหมือนกับที่เอสเอ็มอีทั้งหลายที่รับรู้มาตั้งแต่ปี 2550 แล้ว ผลกระทบจะค่อยๆ ทยอยๆ มา

ในวันนี้คงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น นอกจากว่าการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจต้องอาศัยภาครัฐบาลในการทำหน้าที่ ไม่ใช่แต่ไทยแต่ทั่วโลก ภาครัฐบาลที่เข้ามาก็เพื่อที่จะเติมความต้องการ หรือมาใช้เงิน โดยตัวเขาเองไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แค่มาซื้อเวลาเท่านั้น แต่เขามีความสามารถมากแค่ไหน คำตอบคือทุกรัฐบาลมีความสามารถจำกัด การซื้อเวลาคงทำไปได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เอกชนก็คงจะต้องกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามธรรมชาติในระบบเสรีนิยม

ผล กระทบเห็นชัดก็เมื่อไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมารัฐบาลเข้ามามีมาตรการต่างๆ เพื่อเข้ามาแทนความต้องการทางเศรษฐกิจที่ต่ำลง การเข้ามามีผลลัพธ์โดยองค์รวม คือทำให้ปัญหาไม่เป็นความวิกฤต คงชะลอ หรือบรรเทาลงไป รอเวลา รอเศรษฐกิจโลก และรอ พวกเรา (เอสเอ็มอี) เองให้ปรับตัวให้ได้

ยุคนี้จึงเป็นยุคของการปรับตัวที่เราคงเข้าใจ กันว่า ถ้าเอสเอ็มอีไม่ปรับตัว เราจะโดนคัดออกเป็นกติกา แต่พอคัดออกไปแล้ว เมื่อถึงระดับหนึ่ง พวกที่ยังเหลืออยู่มีความสามารถอยู่รอดได้ พวกนั้นจะเติบโตได้ นี่คือหลักของมัน

ดังนั้นการปรับตัวจึงต้องมี วิสัยทัศน์บนความจริง ถ้าเรามีวิสัยทัศน์ที่ว่า "โลกเราคือโอกาส ถ้าอย่างนั้นไปคว้าโอกาสกันดีกว่า" คำพูดนี้มันเป็นแค่วิสัยทัศน์ที่ครึ้มใจและหรูหรา แต่โอกาสมันไม่ใช่อย่างนั้น เอสเอ็มอีไทยสมัยนี้ เราคุยกันเรื่องยอดขายและที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแรง

แต่ความแข็ง แรงดูยาก ที่แล้วมา ความแข็งแรงคือ การเจริญเติบโต สหรัฐก็บอกว่าตัวเองแข็งแรง เราก็เห็นด้วย แต่ในปีนี้ ความแข็งแรงลักษณะนั้นไม่ใช่ความแข็งแรงที่ยั่งยืน

สหรัฐที่แข็ง แรงก่อนปี 2550 ไม่ใช่ความแข็งแรงที่แท้จริง เป็นความแข็งแรงที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ เอาหนี้มาขับเคลื่อนให้เติบโต มันไม่แข็งแรงจริง แต่ตอนนี้ไม่มีใครเถียงแล้วว่า ทำอย่างสหรัฐไม่รอด แต่หลายคนยังใช้วิธีนี้อยู่

แล้วเอสเอ็มอีจะโตอย่างไร จึงเรียกว่าความเข้มแข็ง

ประการ แรก การจัดการทรัพยากร คน วัสดุที่อยู่ในสายการผลิต เรื่องแบบนี้เรารู้กันมานาน ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่ความคิดเหล่านี้กลายเป็นความคิดที่สำคัญมาก เรื่องการใช้พลังงาน การใช้คน การควบคุมดูแลวัสดุที่มาของสายการผลิต หรือเพื่อการประหยัด หรือเพื่อไม่ให้มีสินค้าคงคลังมากเกินไป เป็นเรื่องที่เอสเอ็มอีไทยรู้หมด แต่ใช้หรือไม่ใช้เท่านั้น และคนที่จะเดือดร้อนน้อยที่สุด ก็คือคนที่เอาความคิดเหล่านี้มาใช้อย่างจริงจังนั่นเอง

ประการที่ 2 เอสเอ็มอีไม่ต้องใหญ่มาก ไม่ต้องดูอื่นไกลโตโยต้าปีหนึ่งมีลูกค้าเป็นร้อยเป็นพัน แข่งกันที่ความสามารถที่จะปรับตัวให้ได้ตามที่ลูกค้าเห็น หรือเรียกรวมๆ ว่า ความสัมพันธ์กับลูกค้าสำคัญที่สุด แต่ในยุคนี้ แค่ 20 คนก็ต้อง

เอา ให้อยู่ ที่ขายกันวันนี้ไม่มีทาง เพราะตลาดลดระดับลงเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญในวันนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้า คือทำอย่างไรให้ลูกค้าที่เคยมาแล้วให้กลับมาใหม่ จะทำให้ลูกค้าประทับใจอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องการขาย แต่เป็นเรื่องของการจะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างไร และไม่ใช่ปริมาณ เป็นยุคที่ลูกค้าจะไม่ควักสตางค์ให้คู่แข่ง คือทำอย่างไร

"คน" จึงเรียกได้ว่าเป็นนิชโลเกชั่น คืออย่าให้ใครมาจัดการกับลูกค้าของเรา และเราจะดูแลอย่างไร

ประการ ที่ 3 เครื่องมือนวัตกรรมเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเอสเอ็มอี เราจะคิดอย่างไรให้ผลิตผลเป็นประโยชน์มากขึ้น มันต้องมีนวัตกรรม ไม่ว่าจะเรื่องความงดงาม คุณภาพ การใช้ประโยชน์ หรือความคงทน ทุกสินค้าจะต้องมีลักษณะแบบนี้ และทุกภาคก็เป็นแบบนี้หมด ยกตัวอย่าง เกษตรกรรายหนึ่งทำมะพร้าวเผาน้ำหอมขาย ลูกค้าก็ถามว่า มะพร้าวเผาดีๆ แบบนี้มีอีกไหม ผู้ประกอบการคงต้องทำให้ได้ ลักษณะที่ว่า ตลาดไปทางไหน ฉันไปด้วย

แล้วมะพร้าวเผาคุณภาพ มันต้องใช้เวลายาวนาน มันต้องมีเทคโนโลยีเหล่านี้ คือการบริหารจัดการเพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เราต้องคิดเพิ่มขึ้น อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง และเป็นเรื่องที่คนอื่นทำแทนเราไม่ได้ เช่น เรากระจายอำนาจไปหมดแล้วนั้น ไม่ถูกต้อง สามเรื่องนี้เอสเอ็มอีต้องทำเอง

ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อปรับแล้วหลบพายุพ้นหรือไม่ มันลามมา แต่โอกาสสูงขึ้นที่เราจะไม่ล้มหายตายจากไป ถ้าเราให้กำลังใจกันเอง ยิ่งนานเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเก่ง แล้วเราจะใช้ทุนมากหรือไม่ บางเรื่องใช้น้อยลง บางเรื่องก็ใช้การบริหารการจัดการ ความสัมพันธ์กับลูกค้า วิสัยทัศน์ของเราก็คือเรามองความจริง

ตอน นี้เรากำลังอยู่ในระหว่างกระแสความรุนแรงของคลื่นที่ซัดกระหน่ำ แต่นานแค่ไหนไม่สำคัญ เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม เมื่อมันมา และเราได้นำปัจจัยเหล่านี้มาใช้

เชื่อว่าเราต้องรู้ล่วงหน้าและปรับตัวได้ทันท่วงทีอย่างแน่นอน


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.149.52 วันที่: 22 มีนาคม 2552 เวลา:6:52:34 น.  

 
จากเวบไซด์จิตวิวัฒน์

จิตตปัญญาศึกษาคือทางรอดของเราจริงๆ



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2551

ทุก วันนี้สังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ทำให้มนุษย์ต้องคิดหนักซึ่งเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ต้องเอาตัวให้อยู่รอด เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองหรือของเผ่าพันธุ์สปีชีส์นั้นๆ ให้อยู่รอดตามไปด้วย แต่น่าเสียดายและน่าเสียใจที่สภาพโลกที่อยู่เบื้องหลังสังคมเราที่เปลี่ยนไป มากนี้กำลังเสื่อมสลาย ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความล่มสลายของโลกธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง จริงๆ นั้น เกิดขึ้นจากน้ำมือของเราแท้ๆ ดังที่นักวิทยาศาสตร์ของคณะทำงานไอพีซีซีกว่า ๒,๕๐๐ คนจากมากกว่า ๑๐๐ ประเทศบอกเรา เรา - โดยเฉพาะในประเทศด้อยและกำลังพัฒนาทั้งหลาย ตามการสำรวจโพลเมื่อเร็วๆ นี้ ต่างพากันไม่เชื่อว่า โลกร้อนจะเกิดจากความสุขสนุกสะดวกสบายและปลอดภัยที่เรามีด้วยเทคโนโลยีเพื่อ หนีความทุกข์ ส่วนใหญ่มากๆ เชื่อว่าไม่ได้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ แต่กลับคิดว่า เป็นไปตามจังหวะหรือวัฏจักรธรรมชาติธรรมดาๆ ของโลก นั่นคืออันตรายจากการไม่รู้แต่คิดว่ารู้ของเราที่คิดว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัตถุนิยมจะสามารถช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ของเราให้อยู่ รอดได้ แต่จงอย่าลืมว่า ข้อมูลจากแหล่งที่มามากมาย รวมทั้งจากองค์การสหประชาชาติ ต่างชี้บ่งเหมือนๆ กันว่าประชากรของชาติด้อยและกำลังพัฒนานั่นเอง จะเป็นสังคมที่จะได้รับความทุกข์ทรมานจากภัยต่างๆ ที่สืบเนื่องมาจากความล่มสลายหายนะของสิ่งแวดล้อม และจากเทคโนโลยีเพื่อความสุขสนุกสะดวกสบายและปลอดภัยแต่เฉพาะแต่รูปกายเรา โดยไม่รู้ว่าความสุขแท้จริงเป็นความสุขจากภายในที่ชี้นำ

ในระยะสี่ห้าปีมานี้ บ้านเราหรือทั้งโลกได้กำลังเผชิญอยู่กับหลายต่อหลายปัญหาซึ่งได้กลายเป็น วิกฤตชนิดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือไม่เราก็ผลักไปให้ผู้อื่นหรือโทษคนอื่นกระทั่งชาติอื่น เพราะว่า “ตัวกูของกูกระทั่งชาติกู” ไม่เคยผิด นั่นเป็นวิกฤตและปัญหาชนิดที่มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นที่ใดและภูมิภาคไหนของโลกใน ขณะหนึ่งขณะใด ต่างก็มีกันทั้งนั้น คือ รู้สึกว่าปัญหาของสังคมมนุษย์เพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูดคนเขียนและพูดเขียนที่ไหนเมื่อไหร่? นั่น – แปลว่าอย่างไร? สำหรับผู้เขียน นั่น – แปลว่า ระบบและโครงสร้างของสังคมโลกที่เรามีอยู่ รวมทั้งวิถีชีวิตที่เราใช้นำชีวิตนั้น มันผิดมาทั้งหมดเลย อย่างน้อยก็ผิดมาตั้งแต่การรับรู้ (perceive) โลกและเรียนรู้ชีวิตจากองค์ความรู้ที่ตั้งบนวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมแยกส่วน แต่กระนั้นเราก็ยังไม่รู้สึก ยังคงวิถีชีวิตเดิมๆ โดยรังแกธรรมชาติมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดธรรมชาติทนต่อไปไม่ไหว และเริ่มตอบโต้ด้วยมาตรการต่างๆ ด้วยภัยต่างๆ มากขึ้นและรุนแรงหนักหน่วงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าวิกฤตได้เดินทางมาถึงจุดจบจุดสิ้นสุดในช่วงปัจจุบันวันนี้แล้ว โดยที่เราหมดหนทางหมดปัญญาที่จะแก้ไขหรือแม้แต่จะบรรเทาให้เบาบางลงได้ด้วย ความคิดและประสบการณ์เก่าๆ ของเรา ตามที่ไอน์สไตน์ว่าไว้

โดยเฉพาะหลังจากความแตกแยกของประชาชนคนไทยซึ่งเห็นได้ชัดเจน ชนิดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซ้ำเติมมหาภัยอื่นๆ อย่างที่เรารู้ๆ กัน ความขัดแย้งแตกแยกที่เริ่มต้นด้วยระบบการเมือง “ระบบที่เรียกว่าประชาธิปไตยตัวแทนที่ได้จากการเลือกตั้งทั่วไปเพียงวิธี เดียว หรือเราจะเรียกว่าประชาธิปไตยเฉยๆ ก็ได้” ซึ่งสำหรับประเทศไทยแล้ว ผู้เขียนคิดว่า คำว่าประชาธิปไตยเฉยๆ หมายถึงการผ่านการเลือกตั้งหรือการเป็นสมาชิกสภาผู้แทน “อันทรงเกียรติ” เท่านั้น ซึ่งมักจะได้คนเก่าๆ เดิมๆ ในกลุ่มผู้สมัครราว ๓,๐๐๐ คนของประชากรของประเทศไทยร่วม ๖๕ ล้านคน หรือคนที่เป็นวงษาคณาญาติ เช่น ภรรยาสามีของผู้แทนคนเก่าคนเดิมที่ไม่มีโอกาสสมัครผู้แทนได้อีก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด

นั่นคือระบบที่มักอ้างกันว่าดีที่สุด แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์นักสำหรับการเมืองการปกครองของสังคมมนุษย์โลกในปัจจุบัน ทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ต้องแสดงความคิดความเห็นกับเขาบ้าง ในฐานะนักคิดนักเขียนที่เขียนแต่เรื่องที่คนทั่วไปคิดว่าทั้งไกลตัว หรือค่อนข้างหนักๆ มานาน จริงๆ แล้วในความคิดเห็นส่วนตัว ระบบประชาธิปไตยตัวแทนที่ได้จากการเลือกตั้งทั่วไปเพียงครั้งเดียว หรือประชาธิปไตยเฉยๆ ที่ใช้อยู่นี้ เป็นกระบวนการที่ผิดธรรมชาติอย่างแรงมากๆ เพราะเป็นการมองหรือประเมินตามที่ตาเห็นว่า หากว่าเป็น “คน” ที่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ใหญ่ที่เกิดในสังคมนั้นๆ แล้ว ไม่ว่าจะซื่อบื้อ หรือเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่กับอบายมุข หรือเป็นนักเลงโตคนชั่วร้าย แต่จับไม่ได้เพราะไม่มีใบเสร็จ ฯลฯ แล้ว ย่อมมีสิทธิที่เท่าเทียมกันทั้งหมด และมีสิทธิที่จะเลือกตั้งได้โดยการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งสำหรับบ้านเรา จะจัดให้มีขึ้นเพียงครั้งเดียว นั่นเป็นสังคมมนุษย์รวมทั้งสังคมไทยในปัจจุบันอันเกิดจากกระบวนการทาง เศรษฐกิจและสังคมที่ผิดธรรมชาติ ซ้ำเติมด้วยภัยธรรมชาติที่มีแต่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

สรุปเท่าที่เขียนมาวันนี้ รวมทั้งหลักๆ ที่ผู้เขียนเขียนมาตลอดเวลาอันยาวนาน คือ มนุษยชาติกำลังแย่ลงมากขึ้นทุกๆ วัน จนบัดนี้ได้มาถึงปลายทางกำลังจะตกเหวอยู่รอมร่อ โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างหน้าสุดจากการผลักดันของผู้ที่อยู่ข้างหลัง คือ ผู้ยากจนและผู้ยากไร้ในประเทศด้อยและกำลังพัฒนาทั้งหลายที่ยังขาดวุฒิภาวะ หรือไร้โอกาสที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และผู้ที่ยังเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีจังหวะของมัน “อีกหน่อยสิ่งต่างๆ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม” (เมืองนอกเขาจะเรียกว่า BAU หรือ Business as usual) ซึ่งขอยืนยันว่า “ไม่มีทาง”

ส่วนสาเหตุที่เราเลือกที่จะเดินทางเส้นนี้ เพราะว่าเราทั้งเผ่าพันธุ์เลย ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่แตกพานด้วยซ้ำดังที่ ดเวน เอลยิ่น ว่า คนส่วนใหญ่มากๆ ในโลก มากกว่าครึ่งค่อนที่ยืนอยู่ที่ปากเหวเหล่านี้ อะไรๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวของตัวเองหรือโลกรอบๆ ตัวก็ไม่รู้สักอย่าง นอกจากเรื่องที่เป็นความสุขสนุกสะดวกสบายและความปลอดภัยแล้ว ก็ไม่สนใจหรือรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเชื่อว่ากูรู้หมดแล้วจึงไม่มีทางเชื่อใคร คนเหล่านี้จึงช่วยไม่ได้ที่ต้องตกเหวตายกันทั้งหมด

ส่วนที่เหลือไม่มากนัก คือผู้ที่ไม่รู้เหมือนกัน แต่พร้อมที่จะเรียนรู้และแสวงหาข้อมูลอย่างไม่หยุดหย่อน และข้อมูลการเรียนรู้หนึ่งในนั้นคือ จิตตปัญญาศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน (Transformation education) สร้างสรรค์ปัญญาที่ได้จากการภาวนา (Wisdom or Intuition) ซึ่งขณะนี้มีสถาบัน มีชมรม มีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมากมาย เช่น มหิดล จุฬาฯ อาศรมศิลป์ ฯลฯ ที่เปิดสอนอยู่ในขณะนี้หรือในเร็วๆ นี้ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ

อย่าลืมว่าการสร้างสรรค์จิตสู่จิตวิญญาณ เพื่อการผ่านพ้นหรือก้าวล่วง (Spirituality and transcendence) นั้น เป็นสาระที่สำคัญที่สุดและเป็นแก่นแท้ของทุกๆ ศาสนาและวัฒนธรรมโลก นั่นคือบันไดที่นำมนุษย์ไปสู่วิมุตติ การ “รู้แจ้ง” ที่เชื่อว่านั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของจักรวาล

ผู้เขียนรู้ว่า จักรวาลวิทยาใหม่ไม่ได้มีสิ่งใดที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ของจักรวาลได้ทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ได้ ความรู้ที่เป็นความจริงตามที่มนุษย์สังเกตทั้งด้วยตากับเครื่องมือที่ทัน สมัยที่สุดหรือยอมรับกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั้น มีจำนวนมากเหลือเกินที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นชิง ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างอายุของอุบัติกาลของจักรวาลกับอายุของกำเนิดการทาง ชีววิทยาของเผ่าพันธุ์สปีชีส์ของมนุษย์ สัดส่วนจะเท่ากับประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ : ๑ คือ จักรวาลมีขึ้นเมื่อร่วม ๑๔ พันล้านปี ในขณะที่มนุษย์ (โฮโมซาเปียนส์) มีขึ้นมาในโลกเพียง ๑๕๐,๐๐๐ ปี คิดคร่าวๆ ตามหลักสถิติคือประมาณ ๑ แสนเท่า

ริชาร์ด ก็อตต์ นักฟิสิกส์ชื่อดังชาวอังกฤษ ทำนายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ถึง ๙๕ % ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท ว่ามนุษยชาติจะหายสาปสูญไปทั้งเผ่าพันธุ์ (Richard Gott: Gott’s Prediction, Wall Street Journal, Jan.1 2000) ภายในอย่างน้อย ๕,๑๐๐ ปี (อย่างมากเกือบๆ แปดล้านปี) โดยคำนวณจากความน่าเป็นไปได้อย่างที่สุดจากความสัมพันธ์ระหว่างอายุของ จักรวาลกับอายุที่โลกมีมนุษย์คนแรกขึ้นมา อีกตัวอย่างหนึ่งโดยเหตุผล ด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง สสารวัตถุที่ประกอบเป็นจักรวาล น่าจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดเข้ามาหากันและสุดท้ายรวมกันแน่นหดเล็กๆ ลงๆ เรื่อยๆ จนหดฟุบแฟบ หรือระบิดเป็นซุปเปอร์โนวา (Collapsed-supernova) แต่ทว่าแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูดสสารวัตถุให้เข้ามาหากันนั้น มันเกิดพอดีกับแรงผลักจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นมาจากกระบวนการ เทอร์โมนิวเคลียร์จากภายในดวงดาว (เช่น ดวงอาทิตย์ของเรา) ราวๆ ๑,๐๐๐ – ๒,๐๐๐ ล้านดาว ซึ่งจักรวาลของเรามีเท่านั้นพอดี

อีกตัวอย่างหนึ่ง เรามีค่าตัวคงที่ (Natural constant) ที่ทำให้เราสามารถคำนวณและเรียนรู้จักรวาลได้อย่างที่ยอมรับกัน แต่จากข้อมูลจากคณิตศาสตร์ที่เรามีในขณะนี้ ตัวคงที่อันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาให้เราค่อยๆ ค้นพบนั้น ซึ่งทุกวันนี้เราค้นพบมาเรื่อยๆ นับเป็นร้อยๆ ตัวแล้ว จะมีค่าคงที่ที่กำหนดและควบคุมการเปลี่ยนแปลง (หรืออนิจจตา) ของสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหมดของจักรวาล แต่เราไม่รู้เลยและเป็นไปได้ที่เราไม่มีทางจะรู้ไม่ว่าเมื่อไร? ถึงเหตุผลว่าทำไม? มันจึงเป็นเช่นนั้น? นั่นคือ ทำไม? สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ของโลกของจักรวาลถึงได้ไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงโดย เชื่อมโยงกับทั้งหมด เว้นแต่ค่าตัวคงที่ของธรรมชาติซึ่งมีหน้าที่กำหนดควบคุมให้มีการเปลี่ยนแปลง หรืออนิจจตานั้นๆ หรือว่าจะมีสิ่งที่เป็นที่สุด คอยกำหนดและควบคุมสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ของจักรวาลที่คงที่และเสถียรตลอด กาล หรือเป็นธรรมชาติของธรรมชาติ ซึ่งแน่นอน จะต้องมีสิ่งที่เป็นที่สุดของที่สุด ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ เราจะเรียกว่าอะไร? เป็นนิพพานหรือพุทธะ เป็นเต๋า หรือเป็นพระเจ้าในนามใด??

มีตัวอย่างเช่นนี้อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่มีเหตุผลจริงๆ ทั้งจะอธิบายด้วยความขี้เกียจหรือเห็นไกลตัวว่าบังเอิญก็เกินไป เพราะว่ามันมีเป็นพันเป็นหมื่น สู้เรื่องของความแตกแยกกันของคนในชาติไม่ได้ หรือเรื่องของประชาธิปไตยตัวแทนและระบบรัฐสภา คือประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จ กับการปฏิวัติรัฐประหาร ที่ไม่ได้ความทั้งคู่ไม่ได้ว่า เราจะเอาอันไหน? หากว่าการแสวงหาการแก้ไขที่ทุกคนทั้งในชาติและในโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้รอด จริง มีความสุขจริงๆ โดยไม่ต้องมีเงินหรือทรัพย์สินเลย หรือโยนทิ้งไปเสียทั้งหมดซึ่งระบบทุนนิยมเสรีที่เน้นการ “บริโภคโยนทิ้ง” ที่แม้จะยากสุดยาก ก็เป็นไปได้ แล้วหันไปสู่ความสำคัญที่ภายในจิตตปัญญาศึกษา (Comtemplative education) ความสุขที่อิ่มเอมสงบสงัดที่จะนำไปสู่การเรียนรู้เปลี่ยนแปลงของตนเอง (Transformative learning) ซึ่งโดยหลักการก็คือ การทำสมาธิฝึกสติที่มีปฏิบัติกันอยู่ในทุกๆ ศาสนาทุกๆ วัฒนธรรมที่เสมอๆ กัน - รวมทั้งที่นายบารัก โอบามา ที่อยากทำหรืออยากปฏิวัติเปลี่ยนสังคมของอเมริกาจนได้เป็นประธานาธิบดี - ไม่มีใครเหนือกว่าใคร โดยไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.149.52 วันที่: 22 มีนาคม 2552 เวลา:7:02:38 น.  

 
คัดจากเวบ //www.dhammalife.com/dhamma/cat/


พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวล ธรรม

พระพรหมคุณาภรณ์

(๒๒๐) พละ ๕ (ธรรมอันเป็นกำลัง — power)

๑. สัทธา (ความเชื่อ — confidence)

๒. วิริยะ (ความเพียร — energy; effort)

๓. สติ (ความระลึกได้ — mindfulness)

๔. สมาธิ (ความตั้งจิตมั่น — concentration)

๕. ปัญญา (ความรู้ทั่วชัด — wisdom; understanding)

ธรรม ๕ อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินทรีย์ ๕ (ธรรมที่เป็นใหญ่ในกิจของตน — controlling faculty) ที่เรียกว่า อินทรีย์ เพราะ ความหมายว่า เป็นใหญ่ในการกระทำหน้าที่แต่ละอย่างๆ ของตน คือเป็นเจ้าการ ในการครอบงำเสียซึ่งความไร้ศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลงตามลำดับ ที่เรียกว่า พละ เพราะความหมายว่า เป็นพลังทำให้เกิดความมั่นคง ซึ่งความไร้ศรัทธาเป็นต้น แต่ละอย่าง จะเข้าครอบงำไม่ได้

พละหมวดนี้เป็นหลักปฏิบัติทางจิตใจ ให้ถึงความหลุดพ้นโดยตรง

D.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.๑๑/๓๐๐/๒๕๒: องฺ.ปญฺจก.๒๒/๑๓/๑๑; อภิ.วิ.๓๕/๘๔๔/๔๖๒

(๒๒๑) พละ ๔ (ธรรมอันเป็นกำลัง, ธรรมอันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่หวั่นต่อภัยทุกอย่าง — strength; force; power)

๑. ปัญญาพละ (กำลังปัญญา — power of wisdom)

๒. วิริยพละ (กำลังความเพียร — power of energy or diligence)

๓. อนวัชชพละ (กำลังสุจริต หรือ กำลังความบริสุทธิ์, ตามศัพท์แปลว่า กำลังการกระทำที่ไม่มีโทษ คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธิ์ เช่นมีความประพฤติและหน้าที่การงานสุจริต ไม่มีข้อบกพร่องเสียหาย พูดจริง มีเหตุผล มุ่งดี ไม่รุกรานให้ร้ายใคร ทำการด้วยเจตนาบริสุทธิ์ — power of faultlessness, blamelessness or cleanliness)

๔. สังคหพละ (กำลังการสงเคราะห์ คือ การยึดเหนี่ยวน้ำใจคนและประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี — power of sympathy or solidarity) สงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ

๔.๑ ทาน (การ ให้ปัน โดยปกติหมายถึง ช่วยเหลือในด้านทุนหรือปัจจัยเครื่องยังชีพ ตลอดจนเผื่อแผ่กันด้วยไมตรี อย่างเลิศหมายถึงธรรมทาน คือ แนะนำสั่งสอนให้ความรู้ความเข้าใจ จนเขารู้จักพึ่งตนเองได้ — gift; charity; benefaction)

๔.๒ เปยยวัชชนะ (พูด จับใจ, = ปิยวาจา คือ พูดด้วยน้ำใจหวังดี มุ่งให้เป็นประโยชน์และรู้จักพูดให้เป็นผลดี ทำให้เกิดความเชื่อถือ สนิทสนม และเคารพนับถือกันอย่างเลิศหมายถึง หมั่นแสดงธรรม คอยช่วยชี้แจงแนะนำหลักความจริง ความถูกต้องดีงาม แก่ผู้ที่ต้องการ — kindly or salutary speech)

๔.๓ อัตถจริยา (บำเพ็ญ ประโยชน์ คือ ช่วยเหลือรับใช้ ทำงานสร้างสรรค์ ประพฤติการที่เป็นประโยชน์ อย่างเลิศหมายถึง ช่วยเหลือส่งเสริมคนให้มีความเชื่อถือถูกต้อง (สัทธาสัมปทา) ให้ประพฤติดีงาม (สีลสัมปทา) ให้มีความเสียสละ (จาคสัมปทา) และให้มีปัญญา (ปัญญาสัมปทา) — friendly aid; doing good; life of service)

๔.๔ สมานัตตตา (มี ตนเสมอ คือ เสมอภาค ไม่เอาเปรียบ ไม่ถือสูงต่ำ ร่วมสุข ร่วมทุกข์ด้วย อย่างเลิศหมายถึง มีความเสมอกันโดยธรรม เช่น พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน เป็นต้น — equality; impartiality; participation)

พละหมวดนี้ เป็นหลักประกันของชีวิต ผู้ประพฤติธรรม ๔ นี้ย่อมดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ เพราะเป็นผู้มีพลังในตน ย่อมข้ามพ้นภัยทั้ง ๔ คือ

๑. อาชีวิตภัย (ภัยเนื่องด้วยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood)

๒. อสิโลกภัย (ภัยคือความเสื่อมเสียชื่อเสียง — fear of ill-fame)

๓. ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความครั่นคร้ามเก้อเขินในที่ชุมนุม — fear of embarrassment in assemblies)

๔. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death)

๕. ทุคคติภัย (ภัยคือทุคติ — fear of a miserable life after death)

ดู (๑๘๓) สังคหวัตถุ ๔

A.IV.363. องฺ.นวก.๒๓/๒๐๙/๓๗๖.

(๒๒๒) พละ ๕ ของพระมหากษัตริย์ (พลังของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินได้ — strengths of a king)

๑. พาหาพลัง หรือ กายพลัง (กำลังแขน หรือกำลังกาย คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี สามารถและชำนาญในการใช้แขนใช้มือใช้อาวุธ ตลอดจนมียุทโธปกรณ์พรั่งพร้อม — strength of arms)

๒. โภคพลัง (กำลังโภคสมบัติ คือ มีทุนทรัพย์บริบูรณ์ พร้อมที่จะใช้บำรุงเลี้ยงคนและดำเนินกิจการได้ไม่ติดขัด — strength of wealth)

๓. อมัจจพลัง (กำลังอมาตย์ หรือกำลังข้าราชการ คือ มีที่ปรึกษาและข้าราชการ ระดับบริหารททรงคุณวุฒิเก่งกล้าสามารถ และจงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน — strength of counsellors or ministers)

๔. อภิชัจจพลัง (กำลังความมีชาติสูง คือ กำเนิดในตระกูลสูง เป็นขัตติยชาติ ต้องด้วยความนิยมเชิดชูของมหาชน และได้รับการฝึกอบรมมาแล้วเป็นอย่างดีตามประเพณีแห่งชาติตระกูลนั้น — strength of high birth)

๕. ปัญญาพลัง (กำลังปัญญา คือ ทรงปรีชาญาณ หยั่งรู้เหตุผล ผิดชอบ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ สามารถวินิจฉัยเหตุการณ์ทั้งภายในภายนอก และดำริการต่างๆ ให้ได้ผลเป็นอย่างดี — strength of wisdom)

กำลัง แขน หรือกำลังกาย แม้จะสำคัญ แต่ท่านจัดว่าต่ำสุด หากไม่มีพลังอื่นควบคุมค้ำจุน อาจกลายเป็นกำลังอันธพาล ส่วนกำลังปัญญา ท่านจัดว่าเป็นกำลังอันประเสริฐ เป็นยอดแห่งกำลังทั้งปวง เพราะเป็นเครื่องกำกับ ควบคุม และนำทางกำลังอื่นทุกอย่าง

J.V.120 ขุ.ชา.๒๗/๒๔๔๔/๕๓๒; ชา.อ.๗/๓๔๘.


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 22 มีนาคม 2552 เวลา:15:52:33 น.  

 
มีบทความดี ๆ หยิบมากกันเสมอ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

.


วันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์แล้วนะคะ
ทำงานมาทั้งอาทิตย์คงเหน็ดเหนื่อยน่าดู
ส - อา ขอให้เป็นวันพักผ่อนที่ดีนะคะ


หนี่ฯ เองค่ะ






โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 27 มีนาคม 2552 เวลา:22:34:51 น.  

 
จากกรุงเทพธุรกิจ

"คิดถึงอะดัม สมิธ (1)"

ดร.ไสว บุญมา


ท่ามกลางการโหมกระหน่ำของวิกฤติเศรษฐกิจ แนวคิดระบบตลาดเสรี ซึ่งบางทีก็เรียกกันว่า ระบบทุนนิยมถูกประณามว่าสามานย์ และเป็นต้นตอของเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้ พร้อมทั้งครั้งที่ผ่านๆ มาด้วย เนื่องจากอะดัม สมิธ ได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นตำรับของแนวคิด บ่อยครั้งชื่อของเขาจึงถูกอ้างถึง แต่ผู้อ้างส่วนใหญ่ดูจะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่า อะดัม สมิธ คิดอย่างไร และดำเนินชีวิตอย่างไร ถ้าคนไทยเข้าใจและปฏิบัติตามแนวคิด และการดำเนินชีวิตของเขา เมืองไทยจะไม่ประสบวิกฤติในหลากหลายด้าน ซึ่งแสดงอาการออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่ในปัจจุบัน



เนื่องจาก อะดัม สมิธ เสียชีวิตตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงไม่มีผู้ใดที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันรู้จักเขาโดยตรง ข้อมูลเกี่ยวกับแนวคิดและการดำเนินชีวิตของเขามาจากการค้นคว้าของผู้สนใจในเวลาต่อมา โดยเฉพาะจากตำรับตำราที่เขาเขียนขึ้น ในบรรดาตำราของเขา นักเศรษฐศาสตร์มักอ้างถึงเพียงเรื่องเดียว คือ The Wealth of Nations ซึ่งเป็นชื่อย่อของหนังสือ ที่มีชื่อเต็มว่า An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations ส่วนอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเขาเขียนขึ้นก่อน 17 ปี และมีความสำคัญมาก เนื่องจาก เนื้อหาเป็นเรื่องจริยธรรมอันเป็นฐานของระบบตลาดเสรี ดูจะไม่มีใครพูดถึง นั่นคือ เรื่อง The Theory of Moral Sentiments หลังจากศึกษาแนวคิดของอะดัม สมิธ และชีวิตของเขา ผมสรุปว่า ระบบทุนนิยม หรือตลาดเสรี แม้จะมีความบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับขั้นสามานย์ มนุษย์ที่ไม่มีจริยธรรมและความสามารถ เนื่องจากขาดปัญญาต่างหาก ที่ทำให้ความสามานย์เกิดขึ้น



ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจว่า ทำไมระบบตลาดเสรีจึงเกิดขึ้นและทุนซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของมันหมายถึงอะไร เนื่องจากดูจะมีผู้ไม่เข้าใจเป็นจำนวนมาก ระบบตลาดเสรีมีมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวที่นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกัน กระบวนการแลกเปลี่ยนเริ่มด้วยการแลกของกันโดยตรงแล้วค่อยๆ วิวัฒน์มาเป็นการแลกผ่านเครื่องมือ หรือกลไกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าตลาดที่มักใช้เงินเป็นตัวกลาง ข้อความในศิลาจารึกที่ว่า "ใครใคร่ค้าช้างค้า ..." ชี้บ่งว่าเมืองไทยใช้ระบบตลาดเสรีมาตั้งแต่ต้น อะดัม สมิธ เป็นผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความมั่งคั่งเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะทำอย่างไรระบบตลาดเสรีจึงจะมีประสิทธิภาพในการผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาสนองความต้องการอันหลากหลายของมวลมนุษย์ ระบบตลาดเสรีอยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน เพราะมันสะท้อนธรรมชาติ 2 ด้านของมนุษย์เรา นั่นคือ ความต้องการแลกเปลี่ยนกันและการมีเสรีภาพ ในทางตรงข้าม ระบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งใช้การบังคับเป็นเครื่องมือถูกเลิกใช้ยกเว้นในคิวบาและเกาหลีเหนือภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ เพราะมันขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ คิวบากำลังจะเลิกใช้ ส่วนเกาหลีเหนือยากจนถึงขั้นมีคนอดตาย ต่างกับเกาหลีใต้ซึ่งพัฒนาหนีเกาหลีเหนือไปแบบไม่เห็นฝุ่น



ทุน หรือ capital วิวัฒน์มาจากคำว่า capita ในภาษาละติน คำนี้มีความหมายว่า "หัว" ซึ่งยังใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่น per capita income ซึ่งหมายถึงรายได้ต่อหัวคน ย้อนไปในสมัยก่อน capital มีความหมายเป็น 2 นัย คือ นัยที่เป็นรูปธรรม และนัยที่เป็นนามธรรม ในด้านนัยที่เป็นรูปธรรม "หัว" หมายถึงหัวของสัตว์เลี้ยงที่ถูกผลิตขึ้นมาในนาในไร่ อาทิเช่น วัว จำนวนหัวของสัตว์ง่ายต่อการนับและแสดงออกถึงระดับของทรัพย์สินของเจ้าของเพราะวัวมีค่าที่ให้ทั้งเนื้อ นม หนัง และแรงงาน แม้แต่ในสมัยนี้ ก็ยังมีประชาชนบางเผ่าในแอฟริกาที่นับทรัพย์สินในรูปของวัว ซึ่งแต่ละครอบครัวมีไว้ในครอบครอง



ผู้ที่มีทรัพย์สินที่ตนผลิตขึ้นได้โดยเฉพาะในรูปของสัตว์เลี้ยงที่ให้แรงงานจนเหลือใช้อาจให้ผู้อื่นหยิบยืมไปใช้ชั่วคราว สัตว์ที่ถูกหยิบยืมไป คือ "ทุน" การหยิบยืมแบบนี้ก็มีใช้อยู่ในเมืองไทยในสมัยก่อน นั่นคือ ชาวนาที่ไม่มีควายพอใช้ไปเช่าควายจากผู้ที่มีควายเหลือใช้เพื่อนำมาลากไถ นวดข้าวและลากเกวียน หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วผู้เช่าก็นำควายไปคืนพร้อมกับข้าวเปลือกในจำนวนที่ตกลงกันไว้ ต่อมาเมื่อเงินถูกนำมาใช้เป็นตัวกลางอย่างแพร่หลาย ทรัพย์สินที่เหลือกินเหลือใช้ก็ถูกเก็บไว้ในรูปของ "เงินออม" ซึ่งถูกยืม หรือ "เช่า" ไปใช้ชั่วคราวโดยผู้เช่าจ่ายค่าเช่าในรูปของดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่ จึงมักคิดว่า "ทุน" คือ เงิน โดยลืมความหมายที่แท้จริงของมัน



ส่วนในด้านนามธรรม "หัว" หมายถึงสติปัญญาที่อยู่ในหัวคน ในปัจจุบันนี้ไม่มีใครนึกถึงความหมายนี้แล้ว ทั้งที่การลืมอาจมีผลร้ายทันตาเห็น อาทิเช่น ในกรณีของกองทุนหมู่บ้านซึ่งรัฐบาลก่อตั้งขึ้นเมื่อราว 8 ปีก่อน รัฐบาลให้ทุนชาวบ้านไปในรูปของเงินกู้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินเหลือใช้ที่ได้มาจากภาคอื่นของสังคม รัฐบาลลืมไปว่า ผู้ยืมเงินทุนจะต้องมีทุนในรูปของปัญญา หรือความสามารถในการทำธุรกิจด้วย เงินทุนที่ให้ยืมไปจึงจะก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่า ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ผู้ยืมเงินทุนเป็นจำนวนมาก ไม่มีความสามารถนั้น กิจการจึงล้มเหลว



สภาพแวดล้อมทั้งโดยทั่วไปและในด้านการทำธุรกิจในปัจจุบันนับวันจะสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น และเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้น สร้างความจำเป็นให้ทุกคนต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นที่มาของเรื่อง "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" คนไทยเพิ่งจะเริ่มพูดถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ทั้งที่มันมีมาตั้งแต่ก่อนสมัย อะดัม สมิธ ด้วยซ้ำ การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นวิธีเพิ่มทุนในด้านนามธรรมที่ อะดัม สมิธ เองปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะจากการอ่านและการฟังปราชญ์



ในระบบตลาดเสรี คนเราต้องมีข่าวสารข้อมูลทัดเทียมกัน ซึ่งได้มาจากการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ตลาดเสรีจึงจะมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่านและไม่ชอบฟังผู้อื่น ซ้ำร้ายเมืองไทยยังมีความฉ้อฉลสูง จึงอาจมองได้ว่าความสามานย์ของทุนนิยมในเมืองไทย ซึ่งได้แก่ ความไม่ค่อยมีประสิทธิภาพจนทำให้เมืองไทยยังตกอยู่ในภาวะด้อยพัฒนาเกิดขึ้น เพราะคนไทยโดยทั่วไป ไม่ค่อยมีทุนทางด้านมันสมอง พร้อมทั้งขาดจริยธรรม นั่นเอง


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 3 เมษายน 2552 เวลา:8:19:17 น.  

 
จากประชาชาติธุรกิจ

//www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi03060452&day=2009-04-06§ionid=0212

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์-จุดกำเนิดของการเงินปฏิวัติ
คอลัมน์ การเงินปฏิวัติ
โดย สฤณี อาชวานันทกุลwww.fringer.org

หลังจากศตวรรษที่ 21 เริ่มต้นไม่ถึง 1 ทศวรรษ วิกฤตซับไพรมในอเมริกาก็ปะทุเป็นวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สื่อไทยขนานนามว่า "วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์" และระบาดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่เรียกว่า great depression

ข้อเท็จจริงหลักๆ ที่วิกฤตครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นชนิดที่ผู้เขียนคิดว่า "ไร้ข้อกังขาอีกต่อไป" มี 3 ข้อด้วยกัน ได้แก่

ข้อเท็จจริง #1.ความเชื่อของสำนักคิดเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ที่ว่า "ตลาดดูแลตัวเองได้" และควรดูแลตัวเอง เพราะภาวะเช่นนั้นจะทำให้การจัดสรรทรัพยากร "มีประสิทธิภาพสูงสุด" รัฐไม่ควรเข้าไปจัดการหรือควบคุมภาวะฟองสบู่ใดๆ ที่เป็นผลลัพธ์ของตลาด (เช่น ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์) ได้รับการพิสูจน์แล้วด้วยวิกฤตในครั้งนี้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่มิได้ตั้งอยู่บนความมีเหตุมีผล 90 กว่าเปอร์เซ็นต์เหมือนกับนักคิดเสรีนิยมใหม่ หากถูกขับดันด้วย "ความโลภ" และ "ความกลัว" หรือที่จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่สมัย great depression เรียกว่า "animal spirits" หรือ "สันดานสัตว์" ของมนุษย์

ตราบใดที่โลกยังไม่ใช่ยุคพระศรีอาริย์ที่มนุษย์ทุกคนบรรลุธรรมขั้นสูงจนสะกดความโลภและความกลัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราก็อาจไม่มีวันกำจัดวิกฤตการเงินได้ แต่ 2 สิ่งที่ทำได้คือ ออกแบบกลไกการกำกับดูแลและกฎกติกาในภาคการเงินเสียใหม่ เพื่อลดระดับความเสียหายจากวิกฤต และให้ผู้เล่นในตลาดแบกรับความเสี่ยงอย่างแท้จริง ไม่ใช่รับแต่ช่วงได้กำไรของความเสี่ยง พอขาลงก็โยนให้รัฐหรือสังคมรับภาระ นั่นหมายความว่า

1) การลดระดับความเสียหายจากวิกฤต แปลว่าภาคการเงินจะต้องเป็นตัวช่วยให้ระบบเศรษฐกิจมี "เสถียรภาพ" กว่าเดิม หรือที่เรียกเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์ว่า "countercyclical" (โต้คลื่น) ไม่ใช่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแรงของความโลภและความกลัว ในทางที่เรียกว่า "procyclical" (ตามน้ำ) เหมือนที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินจะต้องสามารถชะลอและป้องกันการเติบโตของฟองสบู่ไม่ให้ขยายใหญ่จนสุ่มเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบต้องประสบหายนะ เพราะยิ่งช่วง "ขาขึ้น" สูงชันเพียงใด ช่วง "ขาลง" ก็ยิ่งก่อให้เกิดความสูญเสียมากเป็นเงาตามตัว พูดง่ายๆ คือ "ยิ่งสูงยิ่งลงกระแทก"

2) การให้ผู้เล่นในตลาดแบกรับความเสี่ยงอย่างแท้จริง หมายความว่ากลไกและรูปแบบของผลตอบแทนในภาคการเงิน รวมถึงโครงสร้างธรรมาภิบาลของสถาบันการเงิน จะต้องปรับเปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเพื่อให้ผลลัพธ์ของตลาด "เป็นธรรม" มากกว่าที่แล้วมา หรือที่ภาษาพระเรียกว่า "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง" เช่น นักเก็งกำไรที่ได้ประโยชน์มหาศาลในช่วง "ขาขึ้น" ในขณะที่พฤติกรรมการลงทุนช่วยสะสมความเปราะบางและเพิ่มความเสี่ยงโดยรวมของระบบ จะต้องเป็นผู้ "จ่าย" ค่าความเสียหาย เพื่อไม่ให้สังคมต้องจ่ายเหมือนที่ผ่านมา (เช่น ในรูปของเงินภาษีซึ่งตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศเอาไป "อุ้ม" สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่ปล่อยให้ล้มไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยให้ล้มความเสียหายทั้งระบบจะมากกว่านี้มาก)

ในโลกวิชาการ ข้อเท็จจริงข้อนี้หมายความว่านักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน และนักการเมืองผู้ดำเนินนโยบาย จะต้องเรียนรู้จากงานค้นคว้าวิจัยล่าสุดของนักวิชาการด้านอื่นๆ ที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลหรือสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยา นักวิทยาศาสตร์สมอง นักมานุษยวิทยา นักสังคมวิทยา ตลอดจนนักพัฒนาและนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานกับองค์กรการเงินชุมชน เพราะนวัตกรรมทางการเงินมากมายกำลังอุบัติขึ้นในชนบท ในทางที่มอบ "เหตุผลทางธุรกิจ" อย่างเต็มเปี่ยมให้สถาบันการเงินกระแสหลักเข้าไปเรียนรู้ ถอดบทเรียน และช่วยเหลือเชื่อมโยงเพื่อยกระดับให้การเงินชุมชนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ช่วยเติมเต็มบริการด้านสวัสดิการสังคมของภาครัฐ และสร้างตลาดใหม่ให้กับสถาบันการเงินกระแสหลัก

(ว่ากันตามจริง การใช้หลักวิทยาศาสตร์เพียวๆ ในการสร้างทฤษฎีและโมเดลทางเศรษฐศาสตร์และการเงินนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก เพราะวงการวิทยาศาสตร์ข้ามพ้นมายาคติแบบที่เห็น "เหตุผลเป็นพระเจ้า" มาไกลแล้ว แต่เศรษฐศาสตร์และการเงินกระแสหลักยังตามไม่ทัน)

ข้อเท็จจริง #2.ตลาดทุนและตลาดเงินของประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศ และของประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ได้เชื่อมโยงซึ่งกันและกันเป็นธุรกิจที่ "โลกาภิวัตน์" ที่สุดในโลก ข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ สุดวิสัยที่รัฐบาลกลางหรือธนาคารกลางของประเทศใดประเทศหนึ่งจะมองเห็นความเป็นไปในภาพรวม

ข้อเท็จจริงข้อนี้สะท้อนให้เห็นในเหตุการณ์นับไม่ถ้วนที่ปรากฏในวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ อาทิ วิกฤตครั้งนี้เกิดที่สหรัฐอเมริกา แต่ส่งผลให้ระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ ที่อยู่ข้ามทวีปออกไปไกลลิบอย่างไอซ์แลนด์ ต้องพังพินาศย่อยยับ กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศแรกในรอบ 30 ปี ที่ขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)

วิกฤตครั้งนี้รุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด เพราะโลกมี "ระบบการเงินเงา" ขนาดยักษ์ที่อยู่นอกรัศมีการควบคุมของธนาคารกลางทั้งหลายและแทบไม่มีใครมองเห็นขนาดที่แท้จริง ผู้เล่นในระบบการเงินเงามีตั้งแต่บริษัทวาณิชธนกิจ (ซึ่งตอนนี้สูญพันธุ์ไปหมดอเมริกาแล้ว ถ้าไม่ล้มละลายก็แปลงเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ยอมอยู่ใต้การกำกับดูแลของภาครัฐแลกกับทุนต่อชีวิต) กองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (ที่เรียกว่า เฮดจ์ฟันด์) นายหน้าขายสินเชื่อบ้าน (ซึ่งส่วนใหญ่สนใจแต่ค่าคอมมิสชั่นจากการขายสินเชื่อ ไม่สนใจและไม่มีความรู้ที่จะประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้) และ "องค์กรกล่อง" (special purpose vehicle) ที่ใช้ในการแปลงสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ (ซึ่งมักจะตั้งอยู่ในเขตปลอดภาษีอย่างเช่นหมู่เกาะเคย์แมน เพื่อ "เซฟ" ภาษีให้กับนักลงทุนและผู้ออกหลักทรัพย์) ยังไม่นับว่าเครื่องมือทางการเงินหลายประเภทที่เพิ่มความรุนแรงของวิกฤตครั้งนี้ เช่น credit default swap (CDS) ไม่ได้ซื้อขายกันในตลาดเปิด (exchange) ที่ทุกคนมองเห็นปริมาณธุรกรรมและราคาตลาด แต่เป็นการซื้อขายแบบตัวต่อตัว หรือที่เรียกว่า over-the-counter หรือ OTC

ในเมื่อผู้เล่นจำนวนมากในระบบการเงินเงาเป็นบริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไปตั้งบริษัทในระบบนี้เพื่อฉวยโอกาสทำกำไรและหลบเลี่ยงการกำกับดูแลของทางการ และในเมื่อโลกาภิวัตน์ภาคการเงินสร้างตลาดระดับโลกที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่วิกฤตจะรุนแรงเหนือความคาดหมายของใครก็ตาม การล้มของสถาบันการเงินส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศอื่น ซึ่งอาจเป็นเจ้าหนี้ คู่ค้า (counterparty) ของสถาบันการเงินแรก หรือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแต่นักลงทุนไม่เชื่อ ล้มต่อกันไปเป็นโดมิโนระลอกแล้วระลอกเล่า

ข้อเท็จจริง #3.วิกฤตการเงินครั้งนี้ทำลายความมั่งคั่งของผู้มีรายได้น้อยหลายล้านคนลงอย่างราบคาบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากลไกตลาดแบบการเงินกระแสหลักที่ผ่านมานั้นไม่สามารถใช้กับ "ตลาดคนจน" ได้

ในอเมริกาเพียงประเทศเดียว ราคาบ้านที่กำลังลดลงอย่างฮวบฮาบหลังจากฟองสบู่แตก ประกอบกับเงื่อนไขไม่เป็นธรรมในสัญญาสินเชื่อซับไพรมส่วนใหญ่ (เช่น ล่อหลอกให้คนมาผ่อนบ้านด้วยข้อเสนอที่จะตรึงดอกเบี้ยในอัตราคงที่ 2-3 ปีแรก แต่ไม่บอกว่าอีก 27-28 ปีที่เหลือดอกเบี้ยน่าจะสูงมากจนมีโอกาสต่ำมากที่จะชำระได้) ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่ต่ำกว่า 2-3 ล้านคนกำลังจะถูกยึดบ้าน บ้านซึ่งเป็นทั้งทรัพย์สินที่มีค่าสูงสุดและปัจจัย 4 ในชีวิตคนธรรมดา ผู้ไม่มีปัญญาจะซื้อบ้านหลังที่สองไว้ตากอากาศหรือหากำไรจากการปล่อยเช่า

นักการเงินหลายคนมองว่า ผู้มีรายได้น้อยไม่มีทางผ่อนบ้านได้ ดังนั้นจึงไม่ควรได้รับสินเชื่อตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้สอดคล้องกับฐานะทางการเงินเพียงใดก็ตาม เพราะธนาคารต้องรับความเสี่ยงสูงเกินไป (ในที่นี้หมายถึงธนาคารที่อยากรับความเสี่ยงจริงๆ ไม่ใช่ถ่ายโอนออกไปให้กับนักลงทุนด้วยการแปลงสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์เหมือนอย่างที่ผ่านมา)

แต่ในขณะเดียวกัน นักการเงินเหล่านั้นก็ยังมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ธนาคารแนวใหม่จำนวนนับพันทั่วโลกที่เน้นให้บริการกับคนจนโดยเฉพาะ ด้วยสินเชื่อขนาดจิ๋ว ประกันขนาดจิ๋ว บริการเงินโอนขนาดจิ๋ว ฯลฯ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า วงการไมโครไฟแนนซ์ (microfinance) ส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากวิกฤตในครั้งนี้ (นอกเหนือจากการเผชิญต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททุกแห่งต้องเผชิญเหมือนกันหมดในภาวะที่ธนาคาร "กอดเงิน" ไม่ยอมปล่อยกู้) แต่ยังฉวยโอกาสนี้ขยายฐานลูกค้า และโฆษณา "ความมั่นคง" ของโมเดลไมโครไฟแนนซ์ และข้อดีของการทำธุรกิจแบบ "ทอดสมอได้เมื่อพายุมา" กล่าวคือ ไม่ถูกกระแสโลกาภิวัตน์พัดลอยจนแตกสลายในช่วงพายุโหมกระหน่ำ แต่ก็สามารถล่องกระแสนั้นต่อไปทันทีที่พายุสงบลง

ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้นหมายความว่าอะไร ?

ผู้เขียนเชื่อว่า ภาคการเงินกำลังจะ "ปฏิวัติ" ในทุกระดับ ตั้งแต่โครงสร้างใหญ่หรือที่เรียกว่า "สถาปัตยกรรม" ซึ่งหมายถึงโครงสร้างเชิงสถาบันระดับโลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย กฎเกณฑ์ หรือปทัสถานทางสังคม (social norms) ย่อยลงมาถึงระดับที่เล็กที่สุด คือพฤติกรรมของคนธรรมดา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยคิดเคยเชื่อว่าถูกต้อง ตั้งแต่ "หน้าที่" ของสถาบันการเงิน ผู้บริหารเงิน และนักการเงิน นิยามของความเสี่ยง บทบาทของเงินที่เป็นอยู่และควรจะเป็น โมเดลการบริหารความเสี่ยง เรื่อยไปจนถึงโมเดลการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินและผู้เล่นรายอื่นๆ ในตลาด ความสำคัญของ "ความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงิน" (financial literacy) ตลอดจนความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินกับสังคมส่วนรวม

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เปรียบเสมือนเสียง "ปลุก" ให้เราได้ทบทวนและรื้อสร้างสถาบันต่างๆ ระบบต่างๆ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ วิธีคิดของเราเกี่ยวกับเงิน การเงิน และการบริหารจัดการเงิน

โฉมหน้าใหม่ของภาคการเงินจะเป็นอย่างไร การปฏิวัติครั้งนี้จะ "ถอยหลัง" หรือ "ก้าวหน้า" เป็นไปได้หรือไม่ที่ภาคการเงินจะวิวัฒน์เป็น "ระบบนิเวศการเงิน" ที่ระบบการเงินน้อยใหญ่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน ตลาดการเงินระดับประเทศตั้งอยู่เคียงข้างหรือซ้อนทับระบบการเงินระดับท้องถิ่นซึ่งอาจเล็กขนาดหมู่บ้านเพียงหมู่บ้านเดียว อาทิ ธนาคารอิสลาม สัจจะออมทรัพย์ และ "เงิน" เองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ระบบเงินตราใหม่ๆ จะช่วยพัฒนาคนหรือจะฉุดรั้งชีวิตมนุษย์ให้ตกเป็นทาสมันมากกว่าเดิม

ผู้เขียนขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันค้นหาคำตอบในคอลัมน์ "การเงินปฏิวัติ" ซึ่งจะมาพบกับท่านทุก 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:9:07:40 น.  

 
จากกรุงเทพธุรกิจ


"ธรรมะกับการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ"

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์

ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท

ตำราเกี่ยวกับการบริหารและการจัดการองค์กรในปัจจุบันให้ความสำคัญกับคำว่า “วัฒนธรรม” เป็นอย่างมาก



เพราะการจัดการสมัยใหม่ จะเน้นรูปแบบของการดำเนินชีวิต วิถีและลีลาในการทำงาน ตลอดจนค่านิยมที่พนักงานยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้เป็นหลักการของการควบคุมตนเอง (Self Control) ของพนักงาน โดยไม่ต้องเน้นเรื่องกฎ ระเบียบ และการควบคุมโดยผู้บังคับบัญชา



เพราะว่าการควบคุมตนเองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพนั้น จะทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกว่าตนเองเป็นปัจเจกชนที่มีอิสระเสรีในการทำงาน เป็นการทำงานด้วยความสมัครใจและเจตนารมณ์เสรีของตนเอง ความมุ่งมั่น ความทุ่มเทอุทิศ และความสุขในการทำงานย่อมมีมากกว่าการทำงานภายใต้การกำกับ ควบคุมที่เคร่งครัดด้วยกฎระเบียบ



เมื่อเราให้คำนิยามวัฒนธรรมว่า “วัฒนธรรม คือ แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีงามขององค์กรหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่สมาชิกขององค์กรและสังคมยอมรับและปฏิบัติร่วมกัน เพื่อให้เกิดความงอกงาม ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ดี แนวทางในการทำงานที่ดี มีค่านิยมที่ยึดถือปฏิบัติที่ดี” เราอาจจะพูดได้อย่างชัดเจนว่า วัฒนธรรมแทบจะเป็นสิ่งเดียวกับธรรมะ เพราะธรรมะก็คือแนวทางของการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และถ้าหากคนในองค์กรธุรกิจนำเอาธรรมะมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ ก็จะสามารถทำให้ธุรกิจมีการพัฒนางอกงามได้เป็นอย่างดี ถ้าพูดแบบคนศึกษาธรรมะก็ต้องบอกว่าเป็นการทำธุรกิจอย่างคนมีศีลธรรม จริยธรรม ถ้าพูดแบบวิชาการการจัดการสมัยใหม่ก็ต้องบอกว่าเป็นการบริหารองค์กรทางธุรกิจให้ประสบความสำเร็จด้วยการมีวัฒนธรรมที่ดีงามและเข้มแข็ง



เมื่อพูดถึงธรรมะ หลายคนจะคิดถึงศีล สมาธิ และปัญญา การมีศีลก็คือการละเว้นจากการทำชั่ว การมีสมาธิก็คือการตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ และการมีปัญญาก็คือการมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ปราศจากอวิชชา ไม่ปล่อยให้อวิชชาครอบงำการกระทำของตนเอง เวลาพูดถึงธรรมะพื้นฐาน หลายคนจะบอกว่าจะต้องมีเบญจศีลและเบญจธรรม คือมีการละเว้นทำความชั่ว 5 ประการ และมีการทำดี ทำสิ่งที่ควรทำ 5 ประการ



การละเว้นทั้ง 5 และการทำดีทั้ง 5 นั้น เมื่อนำมาใช้ในการทำธุรกิจย่อมทำให้องค์กรธุรกิจนั้น เป็นองค์กรที่มีหลักธรรมาภิบาลอย่างครบถ้วน
นอกจากการละเว้นจากการทำสิ่งชั่วแล้ว นักธุรกิจที่ดีก็ควรจะมีเบญจธรรม คือรู้จักทำสิ่งที่ดีงาม 5 ประการด้วย นั่นคือ ต้องมีความเมตากรุณา ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์และเป็นสุข ต้องประกอบอาชีพด้วยความดีงาม ต้องสำรวมในเรื่องของความอยากได้ผลประโยชน์ มุ่งที่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเอง และต้องมีความตระหนักรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร และสิ่งที่ทำนั้นจะมีผลกระทบกับใครอย่างไร สิ่งที่เป็นธรรมะที่สอนให้เราทำดีนั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตัวของผู้ประกอบการที่ลงทุน หรือพนักงานที่เป็นลูกจ้างทำงานอยู่ในองค์กร



นอกเหนือจากเบญจศีลและเบญจธรรมแล้ว “มรรค 8” เป็นอริยมรรค สำหรับให้เราดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ ด้วยกาย วาจา และใจ ก็ถือว่าเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการดำเนินธุรกิจที่จะทำให้ธุรกิจของเราแข็งแกร่ง มรรคทั้ง 8 มีดังต่อไปนี้



สัมมาทิฏฐิ (ปัญญา) เข้าใจให้ถูกต้อง เข้าใจเหตุ เข้าใจผล เข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดอยู่ เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รู้แนวทางในการวางยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความพึงพอใจได้ มี สัมมาสังกัปปะ (ปัญญา) ความใฝ่ใจที่ถูกต้อง ใฝ่ใจทำดี ไม่ใฝ่ใจมุ่งร้ายใคร ไม่กระทำการใดที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ต้องการให้พนักงานมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า ต้องการให้การดำเนินธุรกิจของตนมีผลดีต่อองค์กร และต่อประเทศชาติ



สัมมาวาจา (ศีล) การพูดดี พูดสิ่งที่ถูกต้อง พูดความจริง ไม่พูดเท็จ วาจะไพเราะ พูดจริงกับพนักงาน พูดจริงกับผู้ร่วมทุน พูดจริงกับลูกค้า เป็นนักธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้ เป็นนักธุรกิจที่รักษาคำสัญญา ไม่พูดจาหลอกลวงใคร



สัมมากัมมันตะ (ศีล) มีการกระทำที่ถูกต้อง ประพฤติสิ่งที่ดีงาม ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อผู้อื่น มีพฤติกรรมที่งดงาม มีกิริยางามกับทุกคน มีการกระทำที่ดีงามในการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอน



สัมมาอาชีวะ (ศีล) มีการดำรงชีพที่ถูกต้อง ทำธุรกิจที่ถูกต้อง ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ตามหลักธรรมาภิบาล ทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย ทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต



สัมมาวายามะ (สมาธิ) มีความเพียรพยายามในสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ดี มีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น การดำเนินธุรกิจจะต้องเพียรพยายามหาสินค้าและบริการที่ดีมานำเสนอให้แก่ลูกค้า มีความพยายามที่จะปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา



สัมมาสติ (สมาธิ) คือการระลึกประจำใจถูกต้อง รู้ตัวอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไร ในการดำเนินธุรกิจ จะต้องตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ดำเนินการอยู่นั้นคืออะไร ต้องเลือกทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์



สัมมาสมาธิ (สมาธิ) คือการตั้งใจมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง สำรวมใจให้เข้มแข็งในการตัดสินใจทำธุรกิจ ลับสติปัญญาให้แหลมคมอยู่เสมอ มีความตั้งใจดีในการดำเนินธุรกิจ หวังให้ธุรกิจเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง มีความตั้งใจอย่างมุ่งมั่น ให้ผู้ร่วมทุนและพนักงานมีความสุข ให้ลูกค้ามีความสุข ให้ชุมชนมีความสุข ให้คู่ค้ามีความสุข รวมถึงสังคม
ไม่มีวัฒนธรรมใด ที่จะทำให้องค์กรธุรกิจเจริญก้าวหน้างอกงามได้ดีเท่ากับวัฒนธรรมแห่งการมีศีลมีธรรม และการดำเนินธุรกิจตามแนวทางแห่งอริยมรรคทั้ง 8 ประการ แนวทางนี้คือเส้นทางที่จะทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง อยู่บนรากฐานของการทำดีด้วยประการทั้งปวง.


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:13:58:41 น.  

 
สวัสดีค่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าห่างหายจากเพื่อนพ้องไปนานจริง ๆ
ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะแค่โดนงานฉุดกระชากลากถูไปเท่านั้น
ชีวิตยังสบายดีค่ะ สุขและทุกข์ไปตามสภาพ

ขอบคุณมากนะคะที่แวะไปทักทายกัน
ยังไงจะพยายามกลับมาบ่อย ๆ ค่ะ

สุขสันต์ในวันที่โลกยังอยู่นะคะ


โดย: ทิวลิปสีน้ำเงิน วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:7:55:58 น.  

 




ขึ้น 15 ค่ำเดือน 5..ตรงวันพระ

ยิ่งถ้าคุณมองเห็นตัวคุณ อยู่ท่ามกลางความสำเร็จ
ในมโนภาพที่คุณต้องการได้เด่นชัด ซึมซับไว้ให้มั่นคง
สิ่งที่คุณปราถนาในความสำเร็จก็จะเกิดแก่ตัวคุณ
จงใช้เวลาในแต่ละวันอยู่กับความสำเร็จของคุณให้มากที่สุด
ให้มากกว่าความล้มเหลว ที่คุณเคยนึกถึงมัน

ทำตัวให้สบาย สัญญาณที่เกิด จะคมชัดปราศจากมลทิน
เป็นสัญญาณที่ใสสะอาด ส่งผ่านไปที่จิตใต้สำนึกอย่างมีพลังเสมอ
นั้นคือสิ่งที่คุณเริ่มรู้จักตัวเองได้มากขึ้น
ย่อมประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่ง


พระนี้มีบุญเป็นจิตให้ระลึกและนำเยือนกัลยาณมิตรเสมอ
อนุโมทนา...ค่ะ



ขอให้สนุกในเดือนสงกรานต์..ประเพณีบ้านเรานะค่ะมิตรที่รัก




ปล..คุณแคทชอบบรรยากาศที่สังขละค่ะ
ดูยังคงความเป็นชาวบ้านย้อนยุคบางจุดนะค่ะ
แต่เห็นหลายจุดเริ่มจะมาเปลี่ยน..บรรยากาศแล้วสิ
ชอบสายน้ำ ชอบความกว้างที่ไร้จะดหมาย
ดูเคว้งคว้างดีค่ะ



โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 9 เมษายน 2552 เวลา:10:31:22 น.  

 
สวัสดีค่ะ
สงกรานต์ท่ามพรก ฉุกเฉิน
วิถีไทย ไทย

หวังว่าคุณคนเดินดินฯคงสบายดีนะคะ


โดย: นกแสงฯ IP: 222.123.231.40 วันที่: 11 เมษายน 2552 เวลา:14:11:21 น.  

 
ชอบบ..เพลง Bee Gees..มากเลยค่ะ
เพราะจังค่ะเพลงที่นำเสนอ..ชอบทุกเพลงเลยค่ะ
แต่เพลงนี้ชอบมากเลยค่ะ

How Deep is Your Love

ขอบคุณมากค่ะความสุขที่มอบให้ด้วยเสียงเพลง
เราคงยังต้องสู้กันต่อไปนะค่ะ




โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:19:56:45 น.  

 
หนี่ฯ แว๊บ ๆ "สวัสดีวันปีใหม่ไทย" ด้วยค่ะ
หนี่ฯ ขออวยพรให้มีความสุขมาก ๆ และตลอดไปนะคะ จุ๊บ ๆ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:23:19:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.