บันทึกไว้...บนใบหม่อน
Group Blog
 
 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
28 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
...เกี่ยวหัวใจไว้ที่ไกปืน...



ธัญณิตา... ทายาทสาวสวยตระกูลโอฬารอมตะผู้ไม่เคยเปิดเผยตัวเอง จนทำให้ผู้คนสงสัยว่าเธอมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า มีเพียงคำเล่าลือเท่านั้นว่าเธอ ‘สวยประหาร’ จนทุกคนต้องยอมแพ้

เอลลีน่า... ดาวสังคมผู้ลึกลับ สวย โดดเด่น ฉลาด ปรากฏตัวที่ไหนมักเป็นจุดสนใจเสมอ แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ถึงเบื้องหลังว่าเป็นเช่นไร

สราวุฒิ... ทายาทหนุ่มตระกูลพิริยะพล หนุ่มเพลย์บอยผู้ที่ควงสาวไม่เคยซ้ำหน้า แต่กลับมาสะดุดตกหลุมอยู่กับผู้หญิงสองคน ซึ่งแม้แต่ตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามอบหัวใจไว้ให้ใครกันแน่

เมื่อรักสามเส้า (หรือเปล่า) ต้องปะทุขึ้นท่ามกลางวังวนความขัดแย้งตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ของสองตระกูลที่ยิ่งใหญ่ขนาดโลกยังต้องจับตามอง ความวุ่นวายจึงตามมาเป็นขบวนยาวเหยียดยิ่งกว่ารถไฟ งานนี้คงต้องตามลุ้นกันล่ะว่าระหว่าง ‘สิงห์หนุ่ม’ กับ ‘เสือสาว’ ใครจะเป็นผู้กำชัยชนะ รวมถึงหัวใจของอีกฝ่ายไว้ในกำมือ


ข้างบน คือ คำโปรยหลังปกของนิยายเรื่องนี้ค่ะ ตอนแรกที่อ่านก็งงว่า ถ้าไม่เคยเปิดเผยตัว ทำไมมันถึงหลงรักกันได้นะ แต่ก็นึกไปเองว่า เขาอาจจะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้ ขอบอกก่อนว่า หม่อนเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องรักแรกพบ ดังนั้น การที่จะมาบอกว่า หลงรักตั้งแต่ยังไม่พบนี่ หม่อนว่ามันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แถมตระกูลยังเป็นอริกันอีกตะหาก มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะคะ

และความจริงแล้ว แค่คำโปรยก็บอกได้ไว้เป็นอย่างดีว่า นิยายเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงสักเท่าไหร่นัก ดังประโยคนี้ “สองตระกูลที่ยิ่งใหญ่ขนาดโลกยังต้องจับตามอง” เพราะจากชื่อและนามสกุลของตัวละครหลัก ก็ชัดแจ้งว่า น่าจะเป็นคนไทย ไม่ก็มีเชื้อชาติไทยเป็นหลักล่ะนะ ซึ่งโลกไม่เคยสนใจอยู่แล้ว (อ๊ะ... แต่ตอนนี้คงจะสนใจบางนามสกุลอยู่นะคะ ก็นามสกุลที่พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่น่ะค่ะ ไม่เอา เลิกพูดดีกว่า)

เอ่อ... ก่อนจะพูดต่อไปขอปักป้ายก่อนนะคะ

“ข้อความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ อาจจะมีบางส่วนที่แสดงถึงเนื้อเรื่อง หากท่านไม่ประสงค์จะรู้เนื้อเรื่องของนิยายเล่มนี้ กรุณาอย่าอ่านค่ะ”

เตือนแล้วนะคะ

...

พร้อมจะอ่านใช่ไหมคะ


เชิญเลยค่ะ



เปิดเรื่องมาที่ฉากงานเลี้ยงการกุศล ที่เป็นงานใหญ่ซึ่งทั้งสองตระกูลจะไปร่วม ทำให้ผู้ประสานงานวิ่งหัวปั่น อ่านแล้วคิดว่าเป็นงานของคนไทยนะคะเลยพาลให้สงสัยว่า ทำไมถึงต้องถ่อไปจัดงานนี้กันที่เจนีวาด้วย อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ ค่ะ เสียดายค่าจัดเลี้ยงจัง แต่มาคิดอีกที นี่อาจจะเป็นการทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของทั้งสองตระกูล (แต่ถึงเป็นเมืองไทยก็ทำได้นะ) จากนั้น ก็เป็นฉากเฉลยว่า แท้จริงแล้ว ผู้หญิงทั้ง 2 คน (เอลลีน่าและธัญนิตา) ก็คือคนเดียวกันนั่นเอง แล้วเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่อไป พระเอกไม่เคยรู้เลยว่าผู้หญิงทั้งคู่เป็นคนเดียวกัน แต่ตอนหลังก็จะมีเหตุที่ทำให้ได้รู้ความจริง มีงอนกันนิดหน่อย แล้วเกิดเหตุให้ต้องช่วยเหลือกัน สุดท้ายก็ได้คบกัน จบ (เอ่อ... มีสงสัยนิดนึงค่ะว่า แล้วตอนท้ายจะใส่ตัวละครเข้ามาทำไมมากมายคะ อ่านแล้วไม่เห็นความสำคัญของตัวละครเหล่านั้นเลยค่ะ)


นิยายเรื่องนี้เป็น 1 ในนิยายที่หม่อนวางไม่ลงค่ะ ที่วางไม่ลงก็เพราะกลัวว่าถ้าวางปุ๊บ จะไม่เกิดความรู้สึกอยากจะหยิบขึ้นมาอ่านต่อ (หลังๆ นี่เกิดแบบนี้หลายเล่มค่ะ เลยต้องบอกตัวเองว่าให้อ่านให้จบ ไม่งั้นเสียดายเงินแย่เลย) สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ขัดใจจนไม่อยากจะอ่านต่อนั้นก็มาจากความเกินจริงของเนื้อเรื่องและความขัดแย้งกันเองของเนื้อเรื่องเป็นส่วนใหญ่ค่ะ

มาว่ากันด้วยเรื่อง “ความขัดแย้งของเนื้อเรื่อง” นะคะ

1.พระเอก – นางเอกพบกันครั้งแรก

จากบทบรรยายช่วงหนึ่ง ถึงฉากที่พระเอกมีเรื่องกับศัตรูอยู่บนถนน แล้วนางเอกเข้ามาโวยวายว่าขัดจังหวะการซื้อของ เธอให้เวลาชายหนุ่มเพื่อจัดการ เมื่อครบเวลานั้น พระเอกยังเล่นงานไม่หมด นางเอกจึงจับปืนมาเป่าศัตรูเหล่านั้นดับ ฉากนี้ นางเอกคิดคำนึงว่า ตอนแรกก็กะว่าจะเปิดเผยตัวว่า เธอคือธัญนิตา แต่เห็นพระเอกทำท่าไม่รู้จักก็เลยไม่พูด อ่านปุ๊บ ส่วนพระเอกก็งงว่า ผู้หญิงสวยๆ คนนี้มาจากไหน เก่งจัง น่าชื่นชม หม่อนก็คิด(ไปเอง)ว่า อืม... นี่คงเป็นฉากที่พระเอกได้พบนางเอกครั้งมั้ง เลยประทับใจในความเก่งกาจ + เด็ดเดี่ยว

แต่... (มีแต่ค่ะ) อ่านไปอีกสักพักก็พบว่า ทั้งคู่เจอกันตัวเป็นๆ คราวแรกในงานเลี้ยงของเพื่อนต่างหาก ซึ่งงานนั้น นางเอกไม่รู้ว่าพระเอกจะไป จึงทำให้ต้องเดือดร้อนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนให้บอกพระเอกว่า นางเอกชื่อเอลลีน่านะ ซึ่งถ้าพระเอกกับนางเอกรู้จักกันตั้งแต่ตอนนี้ ทำไมพระเอกต้องสงสัยด้วยว่า ยัยคนที่โผล่มานี่เป็นใคร มันน่าจะสงสัยมากกว่าทำไมดาวสังคมถึงได้บู๊เก่งปานนั้น (ก็มันเป็นเรื่องปกติเหรอคะ ที่คนเราจะยิงคนอื่นทิ้งอย่างเลือดเย็นขนาดนั้น) ส่วนนางเอก ก็โกหกเขาไปแล้ว ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากจะเปิดตัวทั้งที่ไม่มีเหตุผล ถ้าจะมาบอกกันตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับบอกในงานเลี้ยงเลย เพราะช่วงเวลาระหว่างงานเลี้ยงมาฉากยิงกันนี่ ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นสักนิดนี่นา


2.เพื่อนนางเอก

อ่านในตอนแรก ผู้เขียนบอกไว้ว่า ไม่มีใครรู้ว่า เอลลีน่าคือธัญนิตา นอกจากคนในตระกูล และเพื่อนสนิทในวงการนางแบบ 3 คน แล้วพออ่านมากลางๆ เรื่อง (ตอนที่นางเอกจะเดินแบบน่ะค่ะ) บรรยายราวกับว่า บรรดาเพื่อนๆ ตกใจว่านางเอกจะทำอะไรเพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเอกจะเป็นใคร แล้วก็มาปิดท้ายอีกทีว่า เพื่อนนางเอกรู้นะว่าทั้งสองคนคือคนเดียวกัน

สำหรับเรื่องของความขัดแย้งนี่ ถ้ามีหนังสือในมือแล้วจะตัดบทบรรยายมาให้อ่านอีกทีค่ะ เพราะเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาจากการใช้คำพูด คำบรรยาย ซึ่งอาจจะมีหม่อนแปลความแล้วเข้าใจเช่นนี้เพียงคนเดียวก็ได้ (แต่จากที่อ่านให้เพื่อนฟัง มันเข้าใจเหมือนหม่อนค่ะ)


มาต่อกันที่เรื่องของ “ความไม่สมจริง” หรือ “ความเกินจริง” ของนิยายเล่มนี้นะคะ


1.ความยิ่งใหญ่ของสองตระกูล

เป็นความยิ่งใหญ่ที่โลกต้องจับตามองจริงๆ สองตระกูลนี้มีเครือข่ายโยงใยในทุกที่ของโลก มีความสำคัญในทุกกลุ่มธุรกิจ แค่การแกล้งกันก็ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกชะงักงัน มีกองทัพส่วนตัว เอ่อ... แค่ที่ว่ามานี่ ประเทศไทยก็สมควรเป็นมหาอำนาจแล้วค่ะ เพราะยังไง สองตระกูลนี้ก็มีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศไทย และถ้าทำกันได้ขนาดนั้น ใครๆ ก็ต้องยอมสยบล่ะค่ะ แต่ในเมื่อผู้เขียนไม่บอก ก็แปลความได้ว่า สองตระกูลนี้ไม่สนใจใยดีอะไร เอาแค่ยอมสยบให้ตระกูลฉันก็พอ ประเทศชาติช่างมันใช่ไหมคะ

2.ความเป็นคนในโลกแห่งความจริงของตัวละคร

หม่อนไม่แน่ใจว่า ตัวเอกในนิยายเล่มนี้มีความเป็นคนกันอยู่หรือเปล่าค่ะ เพราะดูช่างจะเก่งเกินจริงกันไปเสียทุกคนจนราวกับเป็นมนุษย์ต่างดาวแปลงกายมากระนั้น

ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า คนในครอบครัวนางเอก (พี่ชาย น้องสาว และตัวนางเอก) ต่างได้รับปริญญาบัตรและใบประกาศเกียรติคุณจนไม่มีพื้นที่จะโชว์ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เป็นอัจฉริยะขนาดไหน มหาวิทยาลัยก็มีกรอบบังคับเรื่องเวลาเรียนและการเปิดรายวิชาเรียนนะคะ ไอ้ที่จะเรียนปริญญาพร้อมๆ กันหลายๆ มหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ต่างรัฐนี่ มันค่อนข้างเป็นไปได้ยากค่ะ (เอ๊ะ หรือเธอจะมีเครื่องย้อนเวลาแบบเฮอร์ไมโอนี่กันนะ)

แล้วที่มาบอกว่า แค่นางเอกไปร่วมทำวิจัย แค่นี้มหาวิทยาลัยก็พร้อมจะมอบปริญญาให้แล้ว คือ ทำวิจัยน่ะค่ะ เข้าใจคำว่า “ทำวิจัย” ไหมคะ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลาทำไม่กี่วันไม่กี่เดือนเหรอคะ ถ้าหม่อนเป็นคนทำวิจัยร่วมกับนางเอก หม่อนคงฆ่าตัวตายไปแล้วค่ะ เหมือนกับเราใช้เวลาทำวิจัยอยู่ตั้งนาน แต่พอยัยคนนี้มาช่วยแป๊บๆ งานที่เราทำแทบตายยังไม่สำเร็จก็สำเร็จอย่างง่ายๆ รู้สึกตัวเองโง่มากมายอย่างไรไม่รู้ แล้วถ้ามันได้จริงๆ หม่อนคงได้ปริญญามาเพิ่มอีกใบ 2 ใบแล้วล่ะค่ะตอนนี้

อ้อ... เรื่องที่บอกไว้ว่านางเอกเธอประดิษฐ์เครื่องฉายภาพสามมิติขนาดเล็กได้ (วิทยานิพนธ์ของปริญญาใบไหนไม่รู้) และฉายภาพตัวเองตอนขับเฟอร์รารี่ให้ดูเป็นคนอื่นนั้น (นัยว่ารถเปิดประทุน ถ้าเห็นเป็นคนอื่นจะได้ไม่มีการลอบยิง) จะทำไปทำไมคะ อันนี้ถามจริงๆ นะคะ เพราะพอลงจากรถ ก็กลับมาเป็นเธออยู่ดี (นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่า จะจัดการให้ฉายภาพได้ยังไงนะคะ เอาอะไรเป็นฉาก ถ้าเป็นแบบโฮโลแกรม ดูก็รู้ค่ะว่าโฮโลแกรม ไม่ได้ประโยชน์) และรถเฟอร์รารี่เองก็คงมีคนเอามาขับไม่เท่าไหร่ แค่รถก็รู้แล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นจะรู้ไหมว่าเอลลีน่าขับรถไปหาใคร แล้วที่บอกว่า ยังใช้ฉายเพื่อเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถนี่ เอาเครื่องไปไว้ตรงไหนกันคะ ระยะตกกระทบมันพอหรือ

ที่สำคัญ นางเอกเป็นอัจฉริยะของบรรดาอัจฉริยะอีกทีด้วยใช่ไหมคะ ถึงได้มีความรู้ไปซะทุกเรื่องขนาดนั้น (คุ้นๆ ว่าเคยมีคนบ่นเคสนี้ของเรื่องอื่นไปแล้วนิ) ทั้งวิศวกรรมศาสตร์ (ในหลายๆ สาขา ทั้งเจาะโปรแกรมป้องกัน ทั้งประดิษฐ์เครื่องฉาย) ทั้งเศรษฐศาสตร์ นี่ยังไม่รวมความสามารถในการเดินแบบและโปรยเสน่ห์นะคะ แต่ทว่า... ทั้งๆ ที่คุณนางเอกเธอเก่งซะรอบด้านขนาดนี้ หม่อนอ่านไม่เจอค่ะว่า เธอได้แบ่งเศษเสี้ยวความรู้ที่เธอมีไปทำประโยชน์ให้สังคมหรือเปล่า หรือแค่ทำประโยชน์ให้กับตระกูลตัวเองเท่านั้น


ว่าแต่ว่า เท่าที่อ่านมารู้สึกตระกูลพระเอกจะอ่อนด้อยกว่าตระกูลนางเอกมากๆ เลยนะคะ การข่าวสู้ไม่ได้ ความสามารถสู้ไม่ไหว นี่ถ้านางเอกไม่ใจอ่อนเพราะรัก ตระกูลนางเอกจะทำลายตระกูลพระเอกได้สบายๆ เลยค่ะ


ความจริงแล้ว ในนิยายนี่ถ้าจะมีความไม่สมจริงอยู่บ้าง นักอ่านก็พอรับได้นะคะ แต่ไม่ใช่ว่า ผู้เขียนนึกอยากให้มีอะไรก็ใส่ๆ เข้าไป แล้วค่อยพยายามนึกหาเหตุผลมาเพื่อรองรับ (มันทำให้เหตุผลนั้นอ่อนไปอย่างกรณีทำวิจัยร่วมล่ะค่ะ) ถ้าเรื่องนี้ ผู้เขียนบอกซะก่อนว่า นี่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง เป็นมิติคู่ขนานไปเสีย อาจจะพอทนไหว แต่พอมีฉากที่เกี่ยวพันกับโลกจริงแล้ว มันรับไม่ค่อยได้ค่ะ หม่อนคิดว่า มันเกินไปนิดนึง

ไม่ปฏิเสธหรอกนะคะว่า นิยายมันก็คือเรื่องสมมติ แต่ขนาดนี้มัน ควรไปจัดอยู่ในโลกแฟนตาซีแล้วค่ะ ลองดูละครโทรทัศน์ที่คนชอบว่ากันว่ามันเวอร์สิคะ ถึงชีวิตจริงนางร้ายจะไม่มากรี๊ดกร๊าดกันแบบนั้น แต่ยังไง วิถีชีวิตของตัวละครก็ยังอิงกับโลกของความเป็นจริงอยู่ดี


สรุป ถ้าอยากอ่านนิยายเรื่องนี้ให้สนุก ให้ลืมไปซะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนบนโลกนี้ พยายามนึกภาพมิติคู่ขนานที่มีสภาพทางภูมิศาสตร์คล้ายกัน แต่สังคม ชีวิตและความเป็นอยู่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แล้วคุณจะไม่ขัดใจเหมือนหม่อนค่ะ ^^”



Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 28 มกราคม 2550 0:18:49 น. 13 comments
Counter : 635 Pageviews.

 
จะขอชมว่า...เก่งอ่ะหม่อน

อ่านจบได้ไง


โดย: piccy IP: 203.113.35.8 วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:0:45:05 น.  

 



ตามมาอ่านด้วยคนจ้า


โดย: icebridy วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:1:12:21 น.  

 
อยากบอกว่าเข้าใจอารมณ์เลยครับ วางไม่ลงเนี่ย เจอบ่อยเหมือนกันครับ แต่ก็นั่นแหละครับ ลองว่าถ้าอ่านแล้วมันก็อยากอ่านให้จบน่ะนะ ไม่งั้นก็ค้างคาแย่เลย

แวะมาหวัดดีครับผม


โดย: หมื่นทิพ TRAVOLTA (เทพบุตรตบะแตก!! ) วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:1:35:26 น.  

 
ยังไม่ได้อ่าน จะลองอ่านดูบ้าง

แต่ฟังจากที่หม่อนบอกแล้ว ชักไม่แน่ใจ กลัวใจตัวเอง


โดย: papermint วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:14:27:24 น.  

 
เก่งจังเลยค่ะ ทนอ่านจนจบได้ด้วย

นิยายออกแนวเว่อร์ ๆ หลุดโลกแบบนี้ น่าจะไปอยู่ในชุด jamsai love series จะดีกว่าเนอะ ประเภทไม่เอาสาระ หรือความจริงบนโลกมนุษย์

ขอบคุณที่รีวิวค่ะ



โดย: Masaomi วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:15:41:09 น.  

 
อืมม์...นิยายที่อ่านแล้ว....วางไม่ลง



โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:15:44:37 น.  

 
เอ่อ!

ได้อ่านคอมเม้นต์ในเวบแจ่ม เห็นบอกกันหลายคนเหมือนกัน ว่าสนุกมาก อ่านแล้ววางไม่ลง ถึงแม้จะเว่อร์ๆ ก็ตาม

แต่

ไม่รู้ทำไม พักหลัๆ อ่านนิยายแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองคอยจับผิด ติโน่น ตินี่ไปหมด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน เว่อร์แค่ไหนก็รับได้อยู่

สงสัยต้องบอกปัดเล่มนี้ เพราะไม่อยู่ในโหมดอยากอ่านอารายเว่อร์ๆ


โดย: nunja555 IP: 58.9.171.56 วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:16:44:41 น.  

 
คอเล่าว่าคงเป็นเพราะต่างคนต่างความชอบด้วยมั้งคะ บางคนอาจบอกว่าสนุกมากกกกกกกก บางคนอาจบอกเฉยๆ แต่บางคนอาจทนอ่านไม่จบด้วยซ้ำ




สำหรับคอเล่า แนวนี้ไม่ใช่สำหรับตัวเองเหมือนกันค่ะ คงต้องขอผ่าน


โดย: คอเล่า IP: 202.44.135.35 วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:18:52:35 น.  

 
ถ้าใบหม่อนยืนยันขนาดนี้ พี่คงไม่อ่านค่ะ

สงสารเด็ก


โดย: ผู้สาวเมืองยศ วันที่: 28 มกราคม 2550 เวลา:19:13:02 น.  

 
อ่านแล้วค่ะ วางไม่ลงเหมือนกันรู้สึกเหมือนที่ จขบ.เขียนเลย ว่าทำไมเก่งกันซะขนาดนั้น อ่านแล้ว เสียดายตังค์น่าดู


โดย: มะลิ IP: 203.156.149.41 วันที่: 29 มกราคม 2550 เวลา:1:51:11 น.  

 
เออ...พี่แค่ไปเปิดตามร้าน เจอฉากเด็ดแปลงร่างรถเฟอรารี่แล้วก็วางไว้อย่างสงบ อาจจะไม่ใช่แนวของเรา หรือว่าต่อมจินตนาการของพี่ได้หมดไปแล้ว (ฟิ้ว...)



โดย: พี่อิง IP: 58.9.122.86 วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:14:02:19 น.  

 
สวัสดีจ้ะหม่อน

เรื่องนี้พี่ไม่ซื้อเลยล่ะ กลัวเสียใจ แล้วจะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆนะ

พี่สวิ


โดย: เคียงจันทร์ IP: 61.19.47.117 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:08:11 น.  

 

อ่านรีวิวแล้วยิ้มเลยรู้ป่ะ

เราเพิ่งอ่านหนังสือของพี่ปุ้ย 'กิ่งฉัตร' ซ้ำ ไป2-3 เรื่องติดๆ กัน มันทำให้เราคิดๆๆๆ เลยนะว่า ต้องพยายามให้มากๆๆๆๆๆๆๆๆ ยิ่งไปกว่านี้อ่ะ

ยิ่งมาอ่านรีวิว ทำให้เรายิ่งคิดหนักไปอีกว่า ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก นอนอ่านนิยายต่อไปก่อนดีกว่า... ว่าแล้วก็ไปนอนอ่านนิยายต่ออ่ะก๊ะ

5555555555555



โดย: p_jung IP: 125.24.42.251 วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:20:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใบหม่อน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นนัก(ขยัน)อ่านค่ะ โดยเฉพาะอะไรที่อ่านแล้วไม่ค่อยใช้ประโยชน์ในหน้าที่การงานและการสอบเนี่ย ชอบนักแล

หวังว่า จะมีนัก(ขยัน)เขียนผลิตงานมาให้หนูอ่านเยอะๆ นะคะ (โดยเฉพาะคนในลิสท์ล่างๆ น่ะค่ะ ได้โปรด หนูอยากอ่าน)
Friends' blogs
[Add ใบหม่อน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.