จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
26 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 60

ตอนที่ 60



             พินทุมณีเทวีทรงผุดขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ดวงเนตรเป็นประกายแวววาวนักเมื่อเรื่องสมดังฤทัย มีนางเอื้องนั่งหมอบอยู่หน้าพระแท่นเล่าถวายว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน 


            “นางน้องหน้าโง่ หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น! กล้าทำขนาดนี้มิเกรงอาญา”


            “นั่นสิเพคะ นึกไม่ถึงเลยว่าพระขนิษฐาจะกล้าทำเยี่ยงนี้ ถ้าท่านภูวิษะรู้เข้าจะว่ากระไรบ้าง ท่าจะพิโรธมากนะเพคะ” บัวลออเริ่มเห็นช่องทางใหม่ๆ 


            “ยังก่อนบัวลออ อย่าให้ภูวิษะรู้เด็ดขาด ปล่อยให้นำทัพไปทั้งอย่างนั้นแล ข้าก็อยากรู้ว่าอาคมของพ่อหมอจะขมังแค่ไหน?” 


            “ไม่น่าจะพลาดนะเพคะ เรื่องสมุนไพรพ่อหมอก็เป็นเอก มิเช่นนั้นแม่กุสุมาลย์จะถึงขั้นเสียโฉมกันรึเพคะ” เครื่องประทินโฉมเป็นหนึ่งในพิษความริษยาที่มักจะประทานให้หญิงอื่น แต่มิได้มีผลร้ายแรงเท่าที่เกิดกับกุสมาลย์ ผงพิษเหล่านั้นก็ได้รับมาจากหมอผีชาวกะลอผู้นี้นั่นเอง 


             ผงพิษนั้นถูกผสมลงในเครื่องประทินโฉมอย่างง่ายดาย เพราะเครื่องสำอางโบราณนั้นเป็นผงสีสำหรับผัดหน้าอยู่แล้ว การที่จะผงอื่นผสมเพิ่มลงไปจึงมิมีผู้ใดผิดสังเกต ในกาลสมัยนั้นมีแม่หญิงหลายนางที่เสียชีวิตด้วยเหตุแพ้เครื่องประทินโฉม เนื่องด้วยสมุนไพร หรือไม้ที่นำมาทำนั้นให้ผลเพียงแค่เกิดสีชนิดเดียวกัน แต่ไม่ได้มีสรรพคุณบำรุงรักษาหน้าเหมือนกับสมุนไพรที่ใช้ทำเครื่องสำอางนั่นเอง 


             “บัวลออเจ้าอย่าได้พูดถึงกุสุมาลย์หรือกล่องประทินโฉมนั่นอีก” สีพระพักตร์สลดลงทันที นางคนสนิทจึงค่อยหุบปากลง 


             “พระเทวีอย่าคิดมากเพคะ ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าแม่กุสุมาลย์จะแพ้ผงคันถึงขั้นนั้น ผู้อื่นอย่างมากก็ผื่นขึ้นไม่กี่วันก็หาย”


             “พอที! บอกให้หุบปาก!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดนัก จนนางกำนัลเข้าหน้าไม่ติด


             “ข้ามิได้ตั้งใจ เรื่องนี้เป็นบาปติดในใจของข้า ไม่รู้จะชดใช้ให้นางอย่างไร พระนมกรรณิการ์ก็ไปอยู่เสียไกล อยู่ๆ จะเข้าไปชดเชยให้ก็ทำมิได้เรื่องคงแดง 


               ข้ามิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้เข้า...เจ้าก็ดูเอาเสียสิ แค่ข่าวลือที่เกิดแก่มหิตาผู้คนก็นินทาว่าร้ายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่แล้ว หากมีใครรู้เข้าว่าข้ามีส่วนร่วมเป็นผู้มอบกล่องประทินโฉมให้แก่มหิตาเข้าละก็....ข้าจะอยู่ได้อย่างไร เสด็จพี่คงเห็นข้าเป็นหญิงชั่วช้า” ความทุกข์อันเกิดแต่บาปกรรมทำให้พระนางหวาดกลัวทุกครั้งที่ชื่อของกุสุมาลย์ถูกเอ่ยขึ้นมา


              “อันหญิงเรามีหน้าตาเป็นด่านแรก...แม้มิได้ออกเรือน แต่ใครเล่าจะอยากมีหน้าตาพิกลพิการเช่นนั้น”


              “ถ้าเช่นนั้น เสด็จไปทำบุญให้กุสุมาลย์ไหมเพคะ”


              “บัวลออนางโง่เง่า ทำบุญให้แล้วเป็นอย่างไรเล่า นางคืนกลับมาได้รึ? ถึงข้ามิได้ตั้งใจแต่ข้ามิอาจลบความรู้สึกผิดบาปที่ติดค้างต่อนางได้ ข้ามิได้อยากให้นางอภัยแก่ข้า ข้าแค่ต้องการลืมเลือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น ขืนไปทำบุญก็ยิ่งเท่ากับรับว่าตนเองผิดสิ มันมิใช่ความผิดของข้า แต่เป็นมหิตาต่างหากเล่า!!! ต้องนางสิควรจะไปขอขมากุมาลย์มิใช่ข้าเสียหน่อย” หัตถ์เรียวสั่นเทา ด้วยมิอาจควบคุมความกลัวในพระทัยได้


             ตลอดทิวานั้นพินทุมณีเทวีมิอาจเป็นสุขได้ ทรงจมอยู่กับความหวาดหวั่น ความกลัวในความผิดบาป จนปวดเศียร ผู้ใดเข้ามาเอาพระทัยก็เข้าพระพักตร์ไม่ติดจนต้องล่าถอยกันเป็นแถบ เหล่านางกำนัลต่างยกให้เป็นความผิดของบัวลออผู้เดียว นางมิควรเอ่ยนามของผู้ดับสูญ


             ไกลออกไปยังอุทยานหลวงนางผู้ไร้ชีวิตนั่งพับเพียบอยู่ริมบึงน้ำใหญ่ นัยน์ตานั้นลุกวาวหลังจากมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกน้ำ หญิงงามกำมือแน่นริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง


             “นางหาได้สำนึกไม่!! ที่แท้ก็กลัวว่าตนเองจะแปดเปื้อนไปด้วยเท่านั้น วิทยเทพนางต้องได้รับกรรม! ท่านได้ยินไหมนางสมควรได้รับกรรม!!”


             “พินทุมณีเทวีกำลังเสวยกรรมที่องค์เองกระทำต่อแม่และต่อเมืองอยู่...เพียงแต่กรรมนี้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สิ้นสุด เพียงแค่รอเวลาชำระความทั้งมวล สิ่งที่แม่เห็นเป็นเพียงแค่อดีตอันล่วงผ่านมิใช่กาลปัจจุบันของนาง”


             “ปัจจุบันนางเป็นเช่นไร? อยู่หนใด ได้รับการตอบแทนด้วยทุกข์เข็ญเพียงใด?” หญิงงามจ้องหน้าเทพบุตรตรงหน้าคาดคั้นเอาความ คำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ


             “ย่อมได้รับสมควรแก่บุญและกรรมที่กระทำ นางได้รับครบถ้วนบริบูรณ์” คู่สนทนาทอดถอนออกมาดังๆ ให้รู้ว่ายังไม่พึงพอใจ


             “อย่าเพิ่ง...แม่อย่าเพิ่งได้ไต่สวนเราสิ”


             “งั้นก็บอกมาเถิดหนา อย่าช้า”


             “ความนี้แม่ต้องได้รู้แน่ แต่ยังมิใช่เวลานี้ ขอให้เราได้ทบทวนกระบวนความเสียก่อน ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้วเราจะพาแม่ไปพบนางดีหรือไม่” หญิงงามไม่ตอบแต่ดวงตาวาวนั้นแสดงว่ารับรู้


            “ตอนนี้แม่ช่วยเราสักนิดเถิด บอกเรา...เหตุใดหญิงที่มีวรรณะสูงศักดิ์ ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม จึงกระทำตัวต่ำทราม มีความคิดอ่านอันมืดบอดเช่นนี้ หนำซ้ำยังเอาความริษยาเป็นที่ตั้ง ดำเนินตามโมหะกิเลส ให้ร้ายได้กระทั่งพี่น้องร่วมอุทรณ์เยี่ยงนี้?”


            ในชั่วอึดใจสีหน้าเคียดแค้นเมื่อครู่ก็มลายหายไป กุสุมาลย์นั่งนิ่งตรึกตรองโฉมตรูกะพริบตาสองสามครั้งทบทวนความคิด ไม่นานนักคิ้วโก่งงามก็ขมวดมุ่น นางถอนหายใจทั้งที่ไม่มีลมปรานนั้นแล้ว จึงค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ


            “ข้าคิดว่า....ข้าพอจะรู้ทำไมนางจึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้” เมื่อกล่าวแล้วก็สบตาวิทยเทพ


            “เพียงแต่นี่เป็นความคิดอ่านของข้าเท่านั้น มิอาจจะกล่าวสรุปความได้ ข้าเป็นเพียงนางกำนัลก็ได้แต่มองอย่างนางกำนัลเท่านั้น อีกทั้งมิใช่นางกำนัลประจำตำหนักนาง บางที..ท่านไปถามพระเทวีอื่นๆ อาจจะได้ความมากกว่าข้าก็เป็นได้” ใบหน้าหล่อเหลาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อได้ฟังคำตอบ


            “แม่หญิงช่างถ่อมตนนัก มีแต่หญิงผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่หลีกเลี่ยงจะวิจารณ์ผู้อื่นได้เช่นแม่”


            “ข้ามิได้หลีกเลี่ยง เพียงแต่ข้า...ข้าไม่แน่ใจ ข้าเป็นผู้คุมแค้นคำตอบของข้าอาจจะทำให้วินิจฉัยของท่านไขว้เขวก็เป็นได้ ”


            “แม่กังวลว่าพินทุมณีจะได้รับบาปกรรมสาหัสกว่าที่ควรได้กระนั้นรึ?” ผู้ถามอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงที่มีเมตตาเพียงนี้ปล่อยวางกับพินทุมณีเทวีได้ หากแต่จ้องจองเวรมหิตาเทวีไม่เลิกรา


            “มิใช่!! นางจะได้รับโทษมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิมก็หาใช่เรื่องของข้า มีแต่จะช่วยส่งเสริมท่านให้ซ้ำนางให้จงหนักเสียด้วยซ้ำ แต่ข้ากลัวว่าหากให้ความเอียงเล่กระเท่ไปจากข้อเท็จจริง ข้าสิต้องรับบาปกับสิ่งที่กล่าวออกไป แค่นี้ข้าก็แย่แล้ว ไม่ต้องการก่อวจีกรรม มิใช่เพื่อผู้ใดแต่เพื่อตัวข้าเองต่างหากเล่า อย่าได้คิดว่าข้าเมตตานางนักเลย”


             “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี! คิดดี แม่รู้จักรักตนเอง แม่ก็จะไม่ทำสิ่งใดให้นำตนเองไปสู่ความเลวร้าย” วิมุตติหัวเราะเสียงดังอย่างรื่นเริง รู้สึกทึ่งในความคิดอ่านของนางนัก ในขณะที่หญิงงามไม่เข้าใจว่ากึ่งเทพจะขำสิ่งใดนักหนา


           “ผู้ดีย่อมไม่พูดพล่อยๆ จะเจรจาเรื่องใดก็รับรองคำพูดตนเองได้ แม่ได้รับการอบรมมาดีนัก” หญิงงามได้รับคำชมก็ตวัดตามอง ก่อนจะค่อยแย้มยิ้มออกมา


            “เอาเถิด...ข้าก็เหมือนผู้อื่น ชื่นชมในคำเยินยอ ข้าจะทำลืมเลือนเสียว่าท่านหว่านวจีหวานล้ำได้ง่ายดายนัก”


            “โธ่...แม่คุณ ไฉนมองเราเยี่ยงนี้” เสียงหัวเราะอย่างพึงใจดังออกมาจากบุรุษตรงหน้า


             หนึ่งหญิงงามหนึ่งบุรุษรูปทองยิ้มให้แก่กันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าชื่นบานนั้นจึงค่อยคลายตัวลง คิ้วโก่งเรียวของกุสุมาลย์จึงค่อยขมวดมุ่นเมื่อนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา


            “พินทุมณีเทวีมีอายุน้อยกว่าข้าหนึ่งชันษา เมื่อแรกที่นางประสูติพระบาทเจ้าผิดหวังที่นางมิได้เป็นบุรุษอย่างที่หมาย แต่ก็มิได้ว่าอันใด เพราะในเพลานั้นท่านยกเจ้าชายฉัตรวรุณผู้เป็นหลานขึ้นมาเป็นราชบุตรแล้ว พินทุมณีเทวีมีชีวิตอย่างเรียบง่ายตามวิถีอิสตรีพึงจะเป็น 


            เมื่อยามเป็นทารกนั้นผู้คนก็พะเน้าพะนอเอาพระทัย ด้วยว่าเป็นราชธิดาองค์เล็ก สิ่งใดที่กระผิดพลาดก็มักมองข้ามเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะเห็นว่ายังเยาว์นัก แต่หลังจากนั้นสามปีมนิษิกาเทวีประสูติ มาพร้อมคำทำนายว่าจะเลอเลิศในหล้ากว่าผู้ใด ทุกผู้คนจึงหันไปให้ความสนใจกับพระเทวีองค์ใหม่ ความสำคัญของพระนางจึงลดลง แม้แต่กับพระบาทเจ้าหรือพระแม่เจ้า...”


             “เป็นธรรมดาเมื่อมีน้องใหม่เพิ่มขึ้นมา คนเป็นพี่ก็เป็นเช่นนั้นแหละ มิใช่เรื่องใหญ่โต” หญิงงามปลายตามองเป็นเชิงเตือนมิให้ขัดคอ


            “ข้าก็ว่ามิใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่พระนางไม่เคยถูกสอนให้เป็นพี่ นางเคยชินแต่การเป็นน้อง เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม มันก็อาจเป็นปมเล็กๆในพระทัย ยิ่งต่อมามหิตาเทวีประสูติออกมาอีกองค์ แล้วเทวีน้อยงดงามหมดจดเป็นที่รักเอ็นดูยิ่ง 


             พินทุมณีเทวีก็ถูกบังคับให้วางองค์เป็นพี่ทั้งที่ยังเยาว์ ยังมิพร้อมยอม พอถูกปฏิบัติเช่นเจ้าหญิงที่เจริญชันษาแล้ว อย่างพระเทวีกลุ่มแรก...ก็น้อยพระทัย” นางหมายถึงพระพี่นางทั้งสี่ที่ทรงเจริญพระชนม์กว่าอย่าง กัมลาภาเทวี อาภาเหมเทวี เขมมินีเทวี และ มณีนิลเทวี


            “พระนม กับคุณท้าวประจำตำหนักก็ปล่อยปละตามพระทัย เรื่องใดเล็กน้อยก็มิว่ากล่าว มิห้ามปราม หากพระแม่เจ้าจะดุด่าก็ออกรับแทน อีกทั้งทรงรู้จักออดอ้อนฉอเลาะทำให้พระทัยพระบาทเจ้า พระแม่เจ้าพระทัยอ่อน จึงมิเคยถูกลงทัณฑ์แรง อย่ามากก็ตรัสตำหนิเท่านั้น”


            “ก็เลยเอาแต่พระทัย?”


            “ทรงรู้องค์ดีว่าเพลาใด ที่จะเรียกร้องตามแต่พระทัยได้ต่างหากเล่า ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายก็ทรงเก็บซ่อนอย่างเงียบงัน ที่ยิ่งถลำเพราะไม่เคยถูกห้ามปรามจากผู้คนรอบตัวคือการมีบ่าวช่างยุ การมีผู้สนับสนุนเมื่อดำริเข้าข้างองค์เอง หรือตรัสให้ร้ายผู้อื่น เมื่อมีผู้ร่วมส่งเสริมก็ทำให้มิได้ระวังวจี ระวังหทัย เกิดเป็นความเคยชิน”


            “มีคนรอบกายไม่ดี ก็เป็นกรรมประการหนึ่ง” บุรุษรูปทองกล่าว


            “นอกจากนั้นเมื่อกระทำสิ่งใดผิด คนรอบวรกายยังสรรหาเหตุต่างๆ นานามาเข้าข้าง ให้ทรงสบายพระทัย แต่เล็กจนโตเป็นเช่นนี้ แต่โชคดีมิเคยมีเรื่องใดใหญ่โต หากมีปะทะวาจาระหว่างพระเทวีก็ทรงเหน็บกันพอเป็นพิธีแล้วเลิกรา เมื่อไม่มีผู้ใดตักเตือนก็สะสมนิสัยเช่นนั้นเรื่อยมา จนเห็นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา นานวันเข้าเรื่องที่ทรงกระทำก็หนักข้อขึ้น เป็นที่ระอิดหนาระอาใจแก่พี่น้อง จึงพากันหลีกเลี่ยงมิเช่นนั้นก็วางองค์เฉยไม่ใส่พระทัย”


           “นางก็เลยยิ่งถลำ?”


           “อาจเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อทรงเจริญวัยขึ้นเรื่องต่างๆ เหล่านี้มิใช่เรื่องใหญ่โต จะว่าไปอาจเป็นด้วยความเคยชินที่ทุกคนมีให้นางก็เป็นได้”


           “เข้าใจได้อยู่ แต่ก็น่าประหลาดอยู่ดี ความคิดให้ร้ายผู้อื่นของพินทุมณีเทวีมันทวีความเกลียดชัง ริษยาต่อพี่น้องร่วมอุทรณ์ ราวกับไม่อยากให้ผู้ใดเป็นสุข” วิทยเทพตั้งข้อสังเกต กุสุมาลย์นิ่งฟังแล้วถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง


            “ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว มันต่อเนื่องด้วยปมเหตุอื่นอีก แต่ทุกปมนั้นก็ผูกเงื่อนขึ้นมาด้วยตนเองเสียสิ้น” เสียงทอดถอนหายใจดังมาจากผู้ฟัง คนเรานี้หนามักเป็นเช่นนี้ทุกผู้คน


             วันเวลาในอดีตคล้ายไหลย้อนเคลื่อนกลับมา พินทุมณีเทวีในวัย 16 ชันษายังเป็นดรุณีแรกรุ่น ชะเง้อพักตร์อยู่หลังพระวิสูตรลอบทอดพระเนตรโฉมหน้าบัณฑิตนามชยาทัต คนผู้นี้มิได้รูปชั่วอย่างที่กลัวนักซ้ำยังดีกว่าที่คาดหมายไว้ อายุอานามมิใช่บุรุษคราวบิดาอย่างที่หวั่นวิตกจึงค่อยคลายพระทัยลง 


             แม้จะติติงว่าเป็นแค่สามัญชนมิใช่เชื้อวงศ์ใด แต่เมื่อเป็นรับสั่งของพระบาทเจ้า เห็นชอบว่าควรอภิเสกสมรสกับบุรุษผู้นี้ พินทุมณีเทวีก็น้อมตามรับสั่ง ดำริว่าอย่างไรก็อยู่ในนครแห่งตนนับว่าเป็นเรื่องที่ดี จึงมองข้ามรากวงศ์ของบุรุษผู้นี้ไป


             ชยาทัตจัดว่าเป็นชายรูปงาม ซ้ำยังมีวาจาอ่อนหวาน มีสติปัญญาต่างยศศักดิ์ เพียงเท่านี้ก็ควรค่าต่อการเป็นพระสวามีที่พึงสมัครสวาทด้วยดวงฤทัย และยิ่งชยาทัตมีใจภักดิ์ให้พระนางก็ลบเลือนข้อด้อยอื่นๆ ไปได้มาก 


             กึ่งปีผ่านไปก็ตั้งพระครรภ์ พินทุมณีเทวีดีพระทัยยิ่งนักเมื่อแรกครรภ์นั้นก็สมบูรณ์ดีทุกประการ จนย่างเข้าเดือนที่สี่ก็ปวดภายในพระครรภ์มาก เมื่อข้ามคืนโลหิตก็ไหลออกจากพระโยนีเป็นจำนวนมาก แน่นอนนั่นหมายถึงการตกพระโลหิต!!


            “นางตกเลือด!?” หญิงงามพยักหน้ารับ


            “เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน และเสียพระโลหิตเป็นจำนวนมากจนกลัวว่าจะสิ้นพระชนม์ด้วยซ้ำ หมอหลวงเป็นแม้เป็นพราหมณ์ก็เป็นบุรุษจะแตะต้องรักษาก็มิเหมาะสมจึงทำได้เพียงให้ยาหยุดโลหิต แล้วผลัดมือต่อให้หมอตำแยเป็นผู้รักษา แม่หมอบอกว่าพระหน่อมิได้อยู่ในถุงน้ำจึงต้องรีดเอาโลหิตที่เน่าเสียออกมาให้หมด” 


             ใบหน้างามหลับตานิ่งเมื่อนึกภาพที่แม่หมอขึ้นนั่งยันทั้งตัวบนวรกายของพินทุมณีเทวี แล้วใช้มือกดพระครรภ์ไล่เชื้อพระหน่อที่สิ้นแล้วออกมาทางพระโยนี เรื่องนี้นางมิได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ฟังมาจากเพื่อนนางกำนัลเล่า เท่านี้ความหวาดกลัวผสมกับเวทนาก็แล่นขึ้นจับจิต


             “และมิใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นถึงสามครั้ง ที่สุดแล้วแม่หมอก็ว่าพระวรกายบกพร่องไม่อาจจะตั้งพระครรภ์ได้ จึงได้แต่กินยาห้ามไว้จนกว่าถุงน้ำจะแห้งและหดหายไป ทำให้ไม่สามารถตั้งพระครรภ์ได้อีกเลย ท่านเข้าใจหรือไม่หญิงที่มิอาจมีลูกได้นางจะรู้สึกเช่นไร” นัยน์ตาคมจ้องมองมาทางวิมุตติ


             “คงเป็นความทุกข์อันแสนวิปโยค”


             “ถูกต้อง เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระเทวีองค์ใดตั้งพระครรภ์ความริษยาก็เกิดกำเริบขึ้นมา ครั้นพระพี่นางเขมมินีเทวีซึ่งพลาดจากการอภิเสกสมรสครั้งก่อน และไร้วี่แววจะได้ออกเรือน ทรงอยู่รั้งตำหนักมาเนิ่นนานก็มิมีผู้ใดมาทาบทาม 


              จู่ๆ กลับได้อภิเสกสมรสกับเจ้าชายวรปักษ์ แล้วไม่นานนักก็ตั้งพระครรภ์ขึ้นมา เรื่องน่ายินดีเหล่านี้กลายเป็นไฟร้อน เป็นสิ่งแสลงพระทัย ทำให้จ้องหาเรื่องกับเขมมินีเทวีอยู่เป็นนิตย์”


             “อ้อ...มิน่าเล่า” คู่สนทนาเลิกคิ้วขึ้นคล้ายเห็นเป็นเรื่องขำขัน “คงเหนื่อยน่าดูนะ หากต้องร้อนรนทุกคราที่พี่น้องตั้งครรภ์”


             “ท่านนี่..อย่าเห็นความความทุกข์ของสตรีเป็นเรื่องชวนหัวเช่นนั้น” วิทยาธรหนุ่มรีบยกมือขึ้นโบกแทนคำบอกกล่าวว่าจะไม่หัวเราะอีก


             “ครั้นต่อมามหิตาเทวีก็อภิเสกสมรส หนนี้เมื่อแรกนางไม่ริษยาเพราะเขาผู้นั้นเป็นสามัญชน ไม่ต่างกับสวามีนาง แต่บุรุษอย่างท่านภูวิษะพิศทั่วสรรพางค์กายก็มิใช่คนสามัญ อีกทั้งกิริยาวาจาก็ทรนงองอาจนัก ดูอย่างไรก็ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เกิดในชาติตระกูลสูง” คำชมเชยของนางกำนัลคนงามมิได้เกินจริงแม้แต่น้อย


             “รูปงามไปนั้นถือว่าเป็นความผิดของภูวิษะ ไม่รู้จักจำแลงให้ขี้ริ้ว แล้วยังวิสัยทรงศักดิ์นั่นอีก...เฮ้อ อย่าว่าแต่พินทุมณีเทวีชิงชังเขาเลย เราว่าคงมีอีกหลายผู้คนโดยเฉพาะบุรุษด้วยกัน เพียงแต่มิได้เอ่ยออกมาเท่านั้น” กุสุมาลย์มีสีหน้าไม่ดีนัก คล้ายอยากตำหนิมิให้กล่าวร้ายถึงเทพที่นางเฝ้าบูชา แต่จะหาข้อโต้แย้งเถียงก็มิได้


            “หรือมิใช่...เขาเป็นเช่นนั้นมาเนิ่นนานแล้ว มิใช่เพิ่งมีท่วงท่าเช่นนี้เมื่อไรกัน แต่เชื่อเถิดว่าภูวิษะมิได้สนใจดอกว่าผู้ใดจะมองเขาเช่นไร” ผู้เป็นสหายกับนาคเจ้ามาเนิ่นนาน แย้มยิ้มนักยามเมื่อกล่าวถึง


             “ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” กุสุมาลย์ตัดบทอย่างแง่งอน


             “ไม่เอาน่า...เล่าต่อเถิด เรามิกล้าล้อ “ท่านภูวิษะ” ของแม่แล้ว” แต่ในน้ำเสียงยังเจือหัวเราะ ส่งผลให้ถูกดวงตาคู่งามค้อนขวักเข้าให้


             “ขอถามหน่อย มีวิทยาธรอื่นใดที่ข้าจักให้การด้วยได้หรือไม่?”


             “จะถามหาผู้อื่นไปทำไม?”


             “จะได้มิต้องมาให้นั่งให้หยอกเอินอย่างไรเล่า”


            “โธ่..แม่คุณอย่าทำใจน้อยสิ” แต่ยังไม่หยุดหัวเราะ


            “จักฟังต่อหรือไม่?!” หญิงงามทำหน้าปั้นปึ่ง เรียกให้วิมุตติรีบกลั้นเสียงหัวเราะแล้วนั่งลงบนก้อนหินข้างกายนาง


            “ว่าต่อเถิด...”


           “พินทุมณีเทวีแม้องค์เองไม่อาจมีลูกให้ท่านชยาทัตได้ แต่นางหายอมให้หญิงอื่นอุ้มครรภ์สืบวงศ์ให้ท่านชายาทัตได้เช่นกัน”


           “แล้วนางทำเช่นไร?”


           “ว่ากันว่านางมียาดี ให้คุณท้าวคอยแจกจ่ายให้นางเล็กๆ เหล่านั้นดื่มทุกครึ่งเดือน หลบเลี่ยงก็มิได้คุณท้าวจะตบตีเอา”


           “ชยาทัตรู้หรือไม่?”


           “ข้าไม่แน่ใจ แต่นางไม่อยากให้รู้แน่”


           “เรื่องแบบนี้ปิดมิอยู่ดอก ข้าเชื่อว่าชยาทัตรู้แต่แสร้างทำเป็นไม่รู้ต่างหากเล่า”


           “เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เมื่อนางตั้งครรภ์มิได้ก็มิควรห้ามหญิงอื่น มิเช่นนั้นก็ไร้ทายาท”


           “ก็นางเป็นเจ้าหญิง และที่นี่คือจุมภะนครแห่งนาง แต่การที่ชยาทัตแสร้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เอ่ยกล่าวต่อว่าใดๆ ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจมิใช่น้อย”


            “หรือเขาเกรงพระทัยพินทุมณีเทวีกัน?”


            “เขาเป็นผัว มีผัวใดบ้างกลัวเมีย เว้นแต่ผัวนั้นต้องอยู่ใต้อำนาจเมียด้วยเหตุผลบางประการเท่านั้นแหละ”


            “หรืออาจเกรงใจพระบาทเจ้า”


            “หากพระบาทเจ้ารู้เข้า คิดว่าจะเห็นดีเห็นงามกับพินทุมณีหรือไม่?”


            “ไม่ มิน่าจะเห็นชอบด้วยประการทั้งมวล หน้าที่สืบวงศ์เป็นของสตรี หากมิได้ก็ต้องผ่อนผันให้หญิงนางอื่นทำแทน”


           “ก็นี่อย่างไรเล่า ต่อให้นางกล้าดี แต่ชยาทัตมีเหตุผลอันใดที่แสร้งทำเป็นไม่รู้”


            “...อาจจะเป็นเพราะ ความรัก?”


            “ความรัก? แม่คิดว่าชยาทัตรักมั่นในตัวพินทุมณีงั้นรึ?” หญิงงามพยักหน้า


            “ข้าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น ครรภ์สุดท้ายที่พินทุมณีเทวีตกพระโลหิตไปนั้น ทรงเสียพระทัยมากกรรแสงเสียจนผู้ใดเห็นเข้าก็เวทนา ที่ตำหนักข้ายังวางแผนกันว่าจะปลอบพระทัยพระพี่นางอย่างไร 


            เมื่อถวายเครื่องหวานที่ทรงโปรดปรานไปก็มิยอมเสวย อย่าว่าแต่เครื่องหวานเลย เครื่องคาวก็ไม่รับเช่นกัน เอาแต่โศกตรมอยู่เช่นนั้นหลายวัน จนกระทั่งท่านชยาทัตกลับมาจากราชกิจ รู้เรื่องเข้าก็เข้าปลอบพระทัย...” สีหน้าของนางยามเล่านี้คล้ายว่าลืมความแค้นไปเสียสิ้น มีแต่จิตเวทนามอบให้เท่านั้น


             “เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นางกำนัล” พูดจบก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย


             “คงเป็นเรื่องที่น่าจดจำ”


             “ใช่ แม้แค่รับรู้ก็พลอยปลาบปลื้มยินดีไปด้วย” บุรุษรูปทองเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงไตร่ถาม


             “อันว่าในห้วงสมุทรแห่งความทุกข์นั้น ยังมีรุ้งงามพาดผ่าน ท่านชยาทัตแม้เป็นสามัญชนแต่ก็เป็นบุรุษที่สตรีพึงใจภักดิ์ ล่วงเข้าสนธยาท่านชยาทัตกลับมาถึงตำหนัก รู้เรื่องเข้าก็สลดใจนักแต่ก็เข้าไปพบพินทุมณีเทวีแล้วสวมกอดนางไว้อย่างแสนคนึงหา...” ผู้ฟังพยักหน้าตาม ดูท่านางจะประทับใจกับเรื่องที่กำลังเล่านัก


              ดวงพักตร์ที่นองไปด้วยหยาดอัสสุชลหันกลับมาทอดพระเนตรเห็นพระสวามีก็โผเข้ากอด ทอดวรกายในอ้อมพาหานั้นทันที ทว่าเสียงกรรแสงยังดำเนินต่อไปมิได้หยุด


             “เสด็จพี่...ลูกของเราจากไปแล้ว แม่หมอบอกว่าน้อง...น้องไม่อาจให้กำเนิดราชบุตรได้ แม้แต่ธิดาน้องก็มิมีโอกาสอีกต่อไปแล้ว”


            “พินทุมณี พี่รู้แล้ว”


            “ทรงเสียพระทัย ทรงผิดหวังในตัวหม่อมฉันไหมเพคะ?” ผู้เป็นสวามีมิได้ตรัสตอบอันใด


            “ข้าอาจจะผิดหวังไปบ้าง แต่คงยังไม่ถึงเวลาของเรา”


            “แต่น้อง...น้องมิสามารถให้กำเนิดได้อีกแล้ว” ตรัสแล้วก็กรรแสงออกมาอย่างเจ็บปวด


            “เป็นมิได้ทั้งแม่ และเมียที่ดี อย่างนี้แล้วยังทรงรักหม่อมฉันอีกหรือไม่?” รับสั่งนั้นทิ่มแทงหทัยตนเองนัก ดวงเนตรที่นองอัสสุชลเฝ้ารอคำตอบอย่างคาดหวัง


             “น้องหญิง...ก่อนหน้าที่เราจะได้ครองคู่กัน เจ้าคงมิเคยเหลือบแลบุรุษสามัญอย่างพี่” พินทุมณีเทวีดันวรกายออกจากอ้อมอุระด้วยความตกพระทัย


             “น้องมิได้...”


              “มิใช่เรื่องแปลก หากเจ้าหญิงสูงศักดิ์อย่างน้องจะมองมาที่พี่สิ คงเป็นเรื่องน่าประหลาดนัก” พระสวามีแย้มสรวลให้ ในพระทัยพินทุมณีเทวีฉงนนัก จึงหยุดกรรแสงชั่วครู่แล้วรอสดับอย่างตั้งพระทัย


              “แต่เล็กจนโตพี่เป็นคนด้อยวาสนา เป็นกำพร้าแม่แต่เล็ก ส่วนพ่อนั้นมีก็เหมือนไม่มี ดีแต่ว่าได้ลุงอุปถัมภ์ค้ำชูมา จึงต้องมานะพยายามให้มากกว่าผู้อื่น ครั้นพอมีวาสนาได้เข้ามาเป็นราชบุตรเขย แต่ก็เทียบอันใดมิได้กับบรรดาเจ้าชายผู้ทรงศักดิ์ เรื่องราชการพอจะริเริ่มการณ์ใดก็มิมีผู้ใดเชื่อถือ ไหนเลยจะเหมือนเจ้าชายทั้งหลาย หลายครั้งทำให้พี่คิดว่าเจ้าจะรู้สึกว่าได้คนต่ำต้อยมาเป็นสวามีหรือไม่?”


              “เสด็จพี่...ไฉนตรัสเช่นนั้น”


              “พี่รู้ว่าเจ้าคิด”


              “..มิได้” ทรงนิ่งอึ้งไปแต่ก่อนจะตรัสต่อ พระสวามีก็ยกดัชนีขึ้นมาแตะริมฝีปากเบาๆ


              “เจ้ามิผิดที่จะคิดเช่นนั้น การได้เคียงคู่กับเจ้านั้นเกินวาสนาคนอย่างพี่เสียด้วยซ้ำ การไม่มีบุตรคงจะเป็นความอับโชคอีกประการของพี่ก็เป็นได้ เตือนให้รู้ว่าอย่าหมายสูงกว่าที่เป็นมิเช่นนั้นไม่ว่าสิ่งใดก็หลุดลอย”


              “มิใช่...มิใช่เพราะเสด็จพี่!”


              “พินทุมณี...เจ้ารู้หรือไม่เจ้าเป็นดาราดวงเดียวที่พี่เอื้อมถึง เป็นสิ่งเดียวที่คนอับวาสนาอย่างพี่มีบุญได้ครอบครอง เจ้าจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ เป็นความภาคภูมิ เป็นลมหายใจ เป็นศักติอันเลอค่า ฉะนั้น...การที่เจ้ามิอาจมีบุตรให้พี่ได้มิใช่เรื่องสำคัญเลย”


              “เสด็จพี่...” ยามนั้นพินทุมณีเทวีปลาบปลื้มกับสิ่งที่ได้ยินพระสวามีตรัสออกมายิ่งนัก มันเป็นความยินดีเหนือความยินดีทั้งมวล


               “พี่ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น...อยู่กับพี่ อย่าได้จากไปไหน พี่ต้องการเพียงเท่านั้น” 


              สิ้นประโยคนั้นวรกายบอบบางของเจ้าหญิงแห่งจุมภะก็โถมทับลงบนพระอุระบุรุษเบื้องหน้า แล้วกอดก่ายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ทรงมี สองเนตรก็หลั่งอัสสุชลจนนองไปทั่วพระพักตร์ แต่มิใช่อัสสุชลแห่งความเสียพระทัยอีกต่อไป หากเป็นน้ำพระเนตรที่หลั่งออกมาด้วยความปิตินัก


               “เสด็จพี่...เสด็จพี่ ข้ารักเสด็จพี่” ทรงตรัสวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น จนนับคำรักได้มิถ้วน


               ปมเรื่องรากวงศ์ของพระสวามีที่ลอบเก็บไว้ในพระทัยเงียบๆ มลายเป็นเถ้าธุลี มิได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว พระนางรู้แต่เพียงบุรุษตรงหน้าเป็นพระสวามี เป็นชายอันประเสริฐ เป็นผู้ที่สมควรถูกรักด้วยทั้งหมดของหทัย มิมีสิ่งใดสำคัญอีกต่อไปแล้ว แม้การตกพระโลหิตก็ทรงลืมเลือนไปสิ้น จึงตั้งพระทัยว่าต่อไปนี้ไม่ว่าชยาทัตจะต้องการสิ่งใดก็จะมิขัดข้อง แม้มิต้องเอ่ยปากขอก็จะทำให้ทุกประการ ขอเพียงบุรุษอันเป็นที่รักพึงใจเท่านั้น


          ไม่เว้นแม้กระทั่ง...การบ่มเพาะความทุกข์ให้มหิตาเทวี กับ ภูวิษะผู้เป็นสวามีก็ตามที!!!




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ปล.มาช้าหน่อยนะคะตอนนี้ บ้านก็ซ่อม คอมก็เจ๊ง แมวก็ตาย





 

Create Date : 26 ตุลาคม 2556
1 comments
Last Update : 26 ตุลาคม 2556 17:32:37 น.
Counter : 2710 Pageviews.

 

สวั้สดีปีใหม่ครับคุณแก้ว ปีใหม่แล้ว ขอให้พบพานแต่เรื่องดีๆ มีความสุข สมหวัง ตลอดปี และตลอดไปนะครับ

 

โดย: สามปอยหลวง 2 มกราคม 2557 10:12:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.