จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
5 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
รักนี้(แค้น)...ต้องชำระ Chapter 9.1 คนเห็นผี 1

Chapter 9.1 คนเห็นผี 1



เช้าวันนี้สไบนางอารมณ์ดีกว่าทุกๆ วัน เพราะหล่อนมีชุดใหม่สวมแล้ว
เป็นชุดที่หลี่เซี่ยเฟยบรรจงทำให้กับมือ ชายหนุ่มเอากระดาษห่อของขวัญสีแดงลายหมากรุกกับมาพับเป็นกระโปรงแต่เนื่องจากความยาวกระดาษไม่พอ จึงสลับกับกระดาษสีครีมนวล เหมือนจงใจเล่นสีสลับลายกับสีพื้นอย่างที่กำลังนิยมจึงดูสวยเก๋แปลกตาไปอีกแบบ เข้ากับเสื้อเชิ๊ตแขนกุดสีขาวที่ทำมาจากกระดาษถ่ายเอกสารAA แต่งปกและกระเป๋าด้วยกระดาษลายเดียวกับกระโปรง

ทีแรกนั้นหล่อนลุ้นแทบตายว่าชุดจะที่เผาส่งมาจะเป็นเสื้อผ้ากระดาษเหมือนเดิมหรือเปล่า? แต่เมื่อเป็นชุดสวยถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อผ้าสไบนางนั้นกระโดดไชโยโห่ร้องขึ้นมาทัน หล่อนไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้นานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เคยดีใจที่รับของขวัญจากผู้ชายถึงขนาดนี้ เมื่อลองใส่ชุดดูแล้วผีสาวก็หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกเป็นนานสองนาน โดยมีชายหนุ่มนั่งมองด้วยความชื่นชมยินดีไปกับเจ้าหล่อนด้วย แม้ว่าจะใช้เวลาทำถึงครึ่งคืนเจ้าตัวก็ไม่ปริปากบ่น

“สวยแล้ว ไปกันได้แล้ว เฮ้อ...ฉันก็ลืมนึกไป ว่าทำไมเสื้อกงเต็กถึงต้องทำขนาดเท่าของจริง” ผีสาวหันหน้ามายิ้มรับก่อนจะเดินเคียงคู่กับไอดอลหนุ่ม

“จ้ะ! ฉันชอบชุดนี้มากเลย เสียดายนิดหนึ่งที่รองเท้าคนละสีกับกระโปรง” หลี่เซี่ยเฟยก้มมองดูรองเท้าผ้าใบสีม่วงของหล่อน

“ติดไว้ก่อน รองเท้ามันทำยาก ไม่ค่อยมีเวลาด้วย สงสัยไปสั่งซื้อจากร้านกงเต็กดีกว่า...เอ จะมีร้านรับสั่งทางอินเทอร์เน็ตมั้ย?” ช

ายหนุ่มคิดไปไกล มีหวังต่อไปเขาคงสั่งซื้อข้าวของมาให้เธอเต็มบ้านแน่ๆ เลี้ยงผีก็ยังงี้แหละ

“นี่...ทำไม? ทีชุดบาร์บี้เผามามันยังมาสภาพเดิมเปี๊ยบเลย? แล้วทีชุดกระดาษทำไมมันกลายเป็นชุดผ้าได้ล่ะ?”

ชายหนุ่มฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว...นั่นน่ะสินะ เขาเองก็ไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้ เพราะมันเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกลงความเชื่อของชาวจีน ที่ปฏิบัติกันต่อๆ มา เป็นพันปีโดยไม่มีคำถามหรือแม้แต่การสงสัยเกิดขึ้น หลี่เซี่ยเฟยเองก็เช่นกันชายหนุ่มไม่เคยนึกสงสัยหรือคลอนแคลนในความเชื่อนี้เลย เพราะเขาเองก็เชื่อมั่นว่าสไบนางจะได้รับเสื้อผ้าชุดใหม่จากการเผากงเต็กอย่างแน่นอน จึงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้เต็มปากเต็มคำ

“…..มันอาจจะเป็นพระเพณีของแต่ละที่ เหมือนเมืองไทยที่บอกว่าทำบุญต้องกรวดน้ำ ไม่งั้นเดี๋ยวคนตายจะไม่ได้รับ แต่ที่ไต้หวันนี่พระไม่ได้ทำหน้าที่ไปรษณีย์ ทางบ้านจัดการส่งกันเองได้....ไม่งั้นจะมีพิธีกงเต็กทำไม? ”

ผีสาวพยักหน้าพลางคิดตาม ดีนะที่แต่ละประเทศมีความเชื่อเป็นของตัวเอง มีเทพยดาในแต่ละวัฒนธรรม ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงวุ่นวายแน่ๆ เพราะคนตายมีจำนวนมากพอๆ กับคนเป็น ถ้ามีแค่ความเชื่อเพียงหนึ่งเดียว เทวดาท่านคงงานยุ่งพิลึก ว่าแล้วผีสาวเจ้าปัญหาก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีกจนได้

“นี่...ว่าแต่ ทำไมทีเสื้อผ้าต้องทำขนาดเท่าของจริง แล้วทีพวกบ้านหรือรถอะไรงี้ยังทำย่อส่วนเลย ?”

“อืม....คำถามเข้าท่าดีนี่....ถ้าให้เดานะ ผีอื่นน่ะเค้าย่อตัวได้ ไม่ต้องใช้บ้านใหญ่ขนาดนั้นหรอก อย่าคิดว่าผีอื่นเขาจะไม่ได้เรื่องเหมือนเธอสิ? หึ หึ”

ว่าแล้วก็หัวเราะขำๆ ขึ้นมา แต่เพราะเสียงหัวเราะเยาะนี่เองทำให้ผีสาวช่างสงสัยหมดคำถามกันเสียที เวลานี้หล่อนมัวแต่แยกเขี้ยวแต่สักครู่หล่อนก็ทำจมูกย่น...เอาน่า ยกโทษให้อุตส่าห์ทำชุดใหม่ให้หล่อนนี่นะ

และด้วยความอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยทำให้ผีสาวคึกคักกว่าปกติ เมื่อมาถึงกองถ่ายละครในตอนสาย ยังไม่มีการเริ่มงานแต่อย่างใด เพราะ
ซินเทียร์ ซู มาสายตามเคย ผู้จัดการตุ๊ดตู่ของหล่อนโทรมาแจ้งว่า
ซินเทียร์ปวดท้องประจำเดือนลุกไม่ไหวขอมาตอนบ่ายๆ แต่เป็นที่รู้กันของใครต่อใครว่าเมื่อคืนซินเทียร์ ซู คงจะไปเที่ยวดึกแล้วเมาค้างลุกไม่ขึ้นมากกว่า ทำให้ครึ่งเช้าของวันนั้นค่อนข้างจะว่างไม่มีอะไรมาก นอกจากถ่ายฉากตัวประกอบคนอื่นๆ ไปก่อน สองพระเอกของเรื่องจึงค่อนข้างจะว่างว่าแล้วก็นั่งเล่นคุยเล่นกันไปตามเรื่องตามราว หลี่เซี่ยเฟยนั้นยังไม่ยอมทิ้งปมสงสัยที่มีกับหยางเล่ยจึงแกล้งเรียบเคียงถาม ในขณะที่ผีสาวกำลังเล่นกับลูกหมาที่มาเป็นส่วนประกอบในฉากอย่างเพลิดเพลิน จึงไม่ได้ให้ความสนใจชายหนุ่มทั้งสองนัก

“ดูสิ...นายว่าแปลกมั้ย? ลูกหมานั่นเล่นตัวเดียวก็ได้ มันทำท่าเหมือนเล่นกับใครอยู่เลยนะ มีวิ่งหลอกล่ออีกด้วย” ชายหนุ่มเริ่มชี้นำให้เพื่อนร่วมวงดู

“ลูกหมาก็งี้แหละ...ไฮเปอร์ เล่นไปเรื่อย พอเหนื่อยก็หลับ ตื่นมาก็หิว กินๆๆ แล้วก็เล่น เล่นเสร็จก็นอนต่ออีกรอบ”

แต่หยางเล่ยหาช่องเฉไฉออกไปจนได้ ด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วยังคว้าเอาขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ จนหลี่เซี่ยเฟยชักหงุดหงิดเลยแขวะเข้าให้

“ฟังๆ ดู....พฤติกรรมมันเหมือนนายเลยนะ กินๆๆ เล่นๆๆ หลับ ตื่นมากินๆๆ ใหม่”

“แพท!! เสียหมด....ดีนะไม่พูดต่อหน้ามาร์ตี้ไม่งั้นหมอนั่นคงซ้ำเติมฉันแน่ๆ”

“อ้าวหรือไม่จริง? ฉายานายในเน็ตน่ะ พวกแฟนๆ เขาเรียกนายว่า [เสี่ยวโก่ว] เจ้าหมาน้อยกันแล้วนะ”

“ไม่เห็นเป็นไร....เป็นลูกหมาก็น่ารักดีนี่ ^-^”

“แต่บางที....เค้าอาจจะตั้งฉายานี้ให้นายเพราะสาเหตุอื่นก็ได้นะ”

หลี่เซี่ยเฟยคลี่ยิ้มเย็นๆ ออกมาพร้อมทั้งปรายตามองเพื่อนด้วยสีหน้ากระตุ้นชวนให้อีกฝ่ายอยากรู้ขึ้นมา

“........อะไรเหรอ?” ข้างฝ่ายหยางเล่ยยังไม่รู้ตัวว่านี่เป็นการพาเข้าเรื่องก็ติดกับถามขึ้นมาด้วยความสงสัยทันที

“....ก็หมาน่ะ.....เค้าว่ามันมองเห็นวิญญาณได้ ก็เลยหอนทุกครั้งที่เห็นผี....”

พูดจบหลี่เซี่ยเฟยก็เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาเพื่อนรัก หยางเล่ยนั่งนิ่งไปอย่างที่คิดคล้ายว่ากำลังหาเหตุผลมาอ้างแต่ยังคิดไม่ออก ชายหนุ่มจึงรีบสำทับลงไปอีก

“…..นายว่าจริงมั้ย? หมามันมองเห็นสิ่งที่คนเรามองไม่เห็น....เจ้าตัวเล็กนั่นก็เหมือนกัน บางทีมันอาจจะเล่นกับใครสักคนที่เรามองไม่เห็นอยู่ก็ได้”

“มะ....ไม่รู้สิ” หยางเล่ยส่ายหน้า เริ่มรู้แล้วว่าเพื่อนจะมาไม้ไหนจึงนั่งนิ่งเป็นฝ่ายตั้งรับ

“เคยได้ยินมาว่า...คนเราบางคนก็เป็นคนพิเศษมีซิกเซ้นต์เห็นผีได้เหมือนกัน.....”

ว่าแล้วก็หันมาจ้องตาเพื่อนเพื่อค้นหาความจริง ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาซ้อมค้างอีกไม่กี่ครั้งหยางเล่ยก็คงหลุดความจริงออกมาแล้ว เพียงแต่ไม่อยากเร่งรัดเพื่อนมากเกินไป หากไม่ใช่อย่างที่คิดจะกลายเป็นเข้าตัวเองเสียมากกว่า และถ้าเป็นไปได้หลี่เซี่ยเฟยนั้นอยากให้หยางเล่ยสารภาพออกมาเองในขณะที่พร้อมแล้วมากกว่า จะได้ไม่ต้องบีบบังคับต้อนกันไปต้อนกันมาแบบนี้อีก

“เวส….ไม่ต้องคิดมาก ฉันถามไปอย่างนั้นแหละ”

จากนั้นหลี่เซี่ยเฟยก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางตบไหล่เพื่อนและปลีกตัวออกมา ไม่ได้สนใจว่าหยางเล่ยจะมีสีหน้าอย่างไรอีก ชายหนุ่มเหม่อมองไปยังผีสาวที่กำลังวิ่งเล่นกับลูกสุนัขตัวจ้อยอยู่ที่เดิม เจ้าหล่อนวิ่งไปวิ่งมาด้วยท่าทางร่าเริงสนุกสนาน เขายิ้มให้กับกิริยาเริงร่านั่นด้วยความชอบใจ ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าเขาชอบใบหน้ายิ้มแย้มของสไบนางมากกว่า หน้าเศร้าๆ เคร่งขรึมเช่นเมื่อคืน แต่อยู่ๆ ผีสาวก็ส่งเสียงตกอกตกใจขึ้นมา

“ว้ายยยย!”

สไบนางร้องออกมาได้แค่นั้นก็ตั้งท่าจะถลาล้ม เพราะหล่อนสะดุดเข้ากับเชือกล่ามเจ้าตัวน้อยนั่นอย่างจัง จึงกางแขนกระพือขึ้นลงพยายามพยุงร่างที่เสียการทรงตัวไปเรียบร้อยแล้วให้ได้ แต่ยิ่งเหวี่ยงแขนกลับยิ่งทำให้หล่อนดูเหมือนแม่ไก่ขึ้นไปทุกทีไม่ได้ช่วยรักษาสมดุลเลยแม้แต่น้อย
หลี่เซี่ยเฟยเห็นเข้าตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปรับด้วยความลืมตัว แต่ไม่ทันถึงตัว
ผีสาวก็ล้มคะมำหน้าคว่ำลงอย่างจัง หนำซ้ำกระโปรงยังตลบขึ้นมาจนเห็นกางเกงชั้นใสสีชมพูของหล่อน

“ว่าน!! เจ็บหรือเปล่า?” ผีสาวไม่ได้ตอบแต่รีบผุดลุกขึ้นนั่งดึงกระโปรงลงทันทีด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วตะโกนถามออกมา

“เห็นหรือเปล่า? นายเห็นกางเกงในฉันไปแล้วใช่มั้ย?” หล่อนคาดคั้นด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเต็มที่เรียกได้ว่าทั้งโกรธทั้งอาย

“ไม่เห็น!”

หลี่เซี่ยเฟยตอบเร็วจี๋ด้วยความตกใจพอๆ กัน และรีบเมินหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนจะเกิดความคิดบางอย่างแว่บขึ้นมาในหัวแบบปัจจุบันทันด่วน เมื่อหันไปพบหยางเล่ยที่ทำตาโตอ้าปากค้าง ขวดน้ำที่ถืออยู่ในเมื่อครู่หล่นลงกลิ้งอยู่ที่พื้น จึงพูดต่อทันที

”ไม่เชื่อถามเวสสิ!”

“ใช่! ไม่เห็นอะไรเลย ” หยางเล่ยเผลอตัวตอบรับลูกออกมาด้วยความตกใจอีกคน

“อย่ามาโกหกเลยฉันรู้นะว่าเห็น!!”

“ไม่ได้โกหก ฉันก้มหน้าอยู่ไม่ทันเห็นจริงๆ นะ”

หยางเล่ยใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความลืมตัว จึงลนลานตอบแบบลืมไปสนิทว่าแสร้งทำเป็นไม่เห็นหล่อนอยู่เป็นนานสองนาง

“เวสสสสสสส!!???” คราวนี้หลี่เซี่ยเฟยหันควับกลับมาชี้หน้าเพื่อนทันที

“นายเห็นเธอ!!”

“ว่าไงนะ?!....นะนี่หมายความว่า.....” ผีสาวผุดลุกขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามหล่อนเพราะมัวแต่คาดคั้นเพื่อนอยู่

“เวส! นายเห็นว่าน!!?” หลี่เซี่ยเฟยวิ่งพรวดเดียวถึงตัวเพื่อนแล้วดึงแขนหยางเล่ยโดยแรงทันที

“ฉะ....ฉัน...เดี๋ยวใจเย็นก่อน...ฉันพูดอะไรไปเหรอ? ถึงต้องตื่นเต้นขนาดนั้น”

แต่หยางเล่ยยังไม่ยอมรับกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าเมื่อสักครู่พูดอะไรออกไป ผีสาวฟังแล้วเดือดปุดๆ หล่อนลอยละลิ่วพุ่งมายืนเท้ากอดอกอยู่เบื้องหน้า คนโกหกกระทั่งกับผีทันที

“หยางเล่ย!! นายมันแสบมากนะ”

หนุ่มผมสีน้ำตาลไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไร เพราะเป็นคนโกหกไม่แนบเนียนจึงได้แต่นิ่งงัน ไม่ได้เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของหลี่เซี่ยเฟยเลย เมื่อแน่ใจเพื่อนร่วมวงนั้นมองเห็นสไบนางแน่นอน จึงแกล้งใส่ไคร้หาความเข้าไปอีก

“เมื่อกี้มันแอบดูกางเกงในเธอ!”

“ว่าไงนะ!! เห็นหน้าตาดีๆ ที่แท้เป็นคนลามกอย่างนี้เองเหรอ? แถมยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกนะ!!”

“เฮ้ย!! เปล่านะมันบังเอิญ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มยกไม้ยกมือขึ้นปฏิเสธให้วุ่นวาย

“นั่นไง!! เวสสสสสสสสสสสส...ส!!”

คราวนี้สไบนางกับหลี่เซี่ยเฟยแทบจะตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันเลย หยางเล่ยชะงักไปก่อนจะหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นปิดหน้า เมื่อรู้ตัวว่าหนีความจริงไม่พ้นแล้ว เมื่อพลาดพลั้งเผลอติดกับของเพื่อนรักเข้าไปเต็มๆ

“Ok…Ok ก็ได้....ฉันเห็น...ฉันเห็นเธออยู่กับแพทมาพักใหญ่แล้ว”

ชายหนุ่มตอบออกมาด้วยเสียงอ่อยๆ เหมือน เหนื่อยอ่อนเต็มที่ สภาพของชายหนุ่มผมน้ำตาลตอนนี้ราวกับคนทำผิดแล้วโดนจับได้ก็ไม่ปาน

“นี่นายมีซิกเซ้นต์งั้นเหรอ?” หลี่เซี่ยเฟยลดเสียงให้เบาลงตอนที่ถามเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน

“ก็.....นิดหน่อยน่ะ มันบังเอิญ...”

“เห็นฉันชัดแจ๋วขนาดนี้ไม่ใช่แค่นิดหน่อยแล้วมั้ง? คนอื่นน่ะ อย่างมากเห็นฉันก็แค่เงาแว่บผ่าน แต่นี่นายเห็นชัดเจนกระทั่งรู้ว่าฉันใส่กางเกงในสีอะไรแบบนี้น่ะเหรอบังเอิญ?!!”

หล่อนตวาดใส่หน้าหยางเล่ยแบบไม่ไว้หน้าเลย อยากจะบีบคอนักคนโกหกแบบนี้ นี่คงแอบหัวเราะเยาะลับหลังเป็นนานสองนานแล้วสิเนี่ย

“ตายแล้ว!! งั้นนายก็เห็นฉันทำบ้าทำบอ ทำจมูกหมู น้ำลายยืดตอนเห็นเค้กด้วยสิ....หมดกันๆๆ โฮๆๆ ภาพพจน์สาวน้อยน่ารักของฉันทลายหมดแล้ว”

“ว่าน...นั่นไม่ใช่ประเด็น” หลี่เซี่ยเฟยส่ายหน้าก่อนจะหันไปทำเสียงเข้มใส่เพื่อน

“เวสเรามีเรื่องต้องพูดกันยาวแล้ว ไปหามุมปลอดคนคุยกันเงียบๆ ดีกว่า” หยางเล่ยเมื่อเห็นว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินตามไปแต่โดยดี


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


หลี่เซี่ยเฟยกับสไบนางพาหยางเล่ยเดินออกห่างกองถ่ายไปพอสมควร ทั้งสามคนหลบมุมไปหาที่นั่งคุยกันอยู่ใต้โคนต้นไม้ ในสวนหลังบ้านที่ใช้เป็นเป็นสถานที่ถ่ายทำ พอนั่งลงแล้วกลับไม่ได้เริ่มสนทนากันทันทีอย่างที่คิดไว้ เพราะหยางเล่ยเอาแต่มองหน้าเพื่อนของเขาและผีสาวสลับกันไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นจ้องมองเพื่อนด้วยแววตาคมกริบ เหมือนจะเป็นการเตือนไว้ก่อนว่าอย่าได้โกหกเป็นอันขาดไม่งั้นเจ็บตัวแน่ๆ

“ก็....นายจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ ก็ใช่..ฉันเห็นเธอ”

“เห็นตั้งแต่เมื่อไร?” ผีสาวเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเอง สีหน้าของหล่อนจริงจังจนเหมือนว่ากำลังสอบสวนคนร้ายอยู่อย่างนั้นเลย

“เฮ้อ....อ ก็เห็นตั้งแต่วันแรกที่เธอตามแพทมา”

หนุ่มหน้าละอ่อนถอนหายใจออกมา สไบนางฟังแล้วต้องเม้มริมฝีปากอิ่มเข้าหากัน ว่าแล้วเชียว...เห็นมาตั้งแต่ต้นแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น นับว่า [เกือบจะ] แนบเนียนถ้าไม่โดนหลี่เซี่ยเฟยซ้อมค้างจนแผนแตกเสียก่อน

“เธอชื่อว่านน้ำ แนะนำตัวกับเธอเสียด้วย ว่านไม่รู้จักนายหรอก เธอไม่ใช่แฟน Vanilla Shade ”

“เห...ว่านน้ำ...ภาษาอะไรน่ะ? ทีแรกนึกว่าคนญี่ปุ่น หรือเกาหลีนะนั่น ว่าแต่มาจากประเทศที่ยังไม่เจริญเหรอ? Vanilla Shade ถึงไปไม่ถึง ไม่งั้นงกๆ อย่างต้นสังกัดเราคงไปตีตลาดแล้ว”

ดวงตาที่ปกติก็กลมโตอยู่แล้วของหยางเล่ยกลับยิ่งเบิ่งขึ้นด้วยความสงสัยจนโตกว่าเดิม สไบนางดูก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้าไม่ตั้งใจจะแกล้งพูดกระทบกระเทียบหล่อนเหมือนที่หลี่เซี่ยเฟยชอบทำบ่อยๆ ดูท่าทางคงจะไม่รู้จริงๆ มากกว่า แต่ถึงกระนั้นสไบนางรู้สึกว่าหล่อนอยากอ้าปากด่าเจ้าเบื้อกนี่ขึ้นมาจริงๆ ให้ตายสิ

“ประเทศไทย! ฉันมาจากประเทศเดียวกับแม่ของหมอนี่แหละ” ผีสาวชี้นิ้วมือไปที่หลี่เซี่ยเฟย

“อ้อ! ไท่กั๋ว (ไทยแลนด์)! มาจากไท่กั๋วเองเหรอ? เจริญนี่ประเทศนี้ ละครของพวกเราก็ไปถึง ฉันเคยไปเที่ยวเกาะกับแพทด้วย เกาะอะไรนะที่เราไปกันน่ะสวยมากเลย? ที่มีม้าให้ขี่ มีช้างเดินขายกล้วยด้วยน่ะ ” หยางเล่ยยิ้มออกมาในแววตายังบ่งบอกถึงความทับใจในธรรมชาติของเมืองไทย

“ ผู่จี๋(ภูเก็ต)” หลี่เซี่ยเฟยตอบให้ แต่ผีสาวแอบค่อนขอดในใจ...อีโธ่ ช้างเดินขายกล้วยน่ะในกรุงเทพก็มีย่ะ จึงไม่ได้สนใจจับผิดว่าคนจีนนี้หนอดัดแปลงภาษาคนอื่นมาเรียกเสียจนไม่เหลือเค้าเดิม ก็..ผู่จี๋..นี่มันใกล้เคียงกับคำว่าภูเก็ตตรงไหนกันเล่า?!

“ใช่ๆ ผู่จี๋ นั่นแหละ ดีนะตอนนั้นละครเรายังไม่ฉายเลยไปเที่ยวกัน 4 คนได้สบายๆ ไม่งั้นคงต้องวิ่งหนีคนป่าราบแน่ๆ เลย ฮ่า ฮ่า คิดแล้วก็อยากไปอีกจัง”

หยางเล่ยพูดเองหัวเราะเองจนเริ่มนึกได้ว่านอกเรื่องไปไกลโขแล้ว
จึงชะงักเสียงหัวเราะลงเมื่อเห็นสไบนางเริ่มทำหน้าบึ้งหนักกว่าเดิมแล้ว

“อ่า....ฉันชื่อ เวส...เอ่อ...หยางเล่ย แต่จะเรียกฉันว่าเล่ยก็ได้...เอ่อ...เล่ย คำที่แปลว่าอ่อนโยนนะ ไม่ใช่ที่แปลว่าชนิดถึงจะเขียนเหมือนกันก็เถอะ” เจ้าตัวพยามอธิบายเพราะมีคนเข้าใจความหมายผิดไปหลายคนแล้ว

“รู้แล้ว!”

หล่อนตอบห้วนไม่ได้อยากรู้เลยว่าชื่อของหมอนี่จะเขียนแบบไหน เพราะถึงอย่างไรหล่อนก็อ่านภาษาจีนไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ ว่าแล้วก็บ่นออกมาอีกยาวเหยียดต่อเติมให้แบบไม่เปิดโอกาสหยางเล่ยเล่าประวัติตัวเองต่อเลย

“นายเป็นลูกชายเศรษฐีฮ่องกง รวยเละ แต่หนีออกจากบ้านมา ต้นตระกูลเป็นขุนศึกที่เคยเอามาทำละครขุนศึกตระกูลหยางด้วยใช่มะ” คำตอบเล่นเอาหยางเล่ยชักจะอึ้ง ส่วนหลี่เซี่ยเฟยนั้นหัวเราะเบาๆ ออก

“คือ....รู้สึกจะไม่ใช่นะ ต้นตระกูลฉันเป็น [หยินหยางซือ]ประจำราชสำนัก ”

“อะไรหยินๆหยางๆ นะ ไอ้ที่กลมๆ ขาวๆ ดำๆ นั่นน่ะเหรอ? อ๋อ..เป็นนักบวชเหรอ?”

“ไม่ใช่....คล้ายๆ เจ้ากรมพิธีการทางคุณไสยฯน่ะ แบบ [องเมียวจิ] ของญี่ปุ่นไง ” ผีสาวเกาหัวแกร่กๆ มันมีกรมนี้ด้วยเหรอฟะ แต่เมื่อเห็นหล่อนทำหน้ายุ่งหนักเข้าไปอีกจึงขยายความเพิ่มเติม

“เป็นที่ปรึกษาด้านนี้น่ะ เวลาจะทำพิธีบวงสรวงขอฝน หรือบวงสรวงเทพเจ้าอะไรทำนองนั้นน่ะ ”

“ก็เหมือนพราหมณ์ในพิธีที่เมืองไทยน่ะ ตอนวันอะไรพืชๆ ที่เอาวัวมากินขนมน่ะ” หลี่เซี่ยเฟยอธิบายขยายความต่อให้

แม้จะไม่เข้าใจดีนักแต่เจ้าหล่อนก็พยักเออออห่อหมกไปด้วย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ไอ้วันพืชๆ ที่เลี้ยงขนมวัวของพ่อบุญถึงนั่นน่ะ เขาเรียกว่าพิธีเสี่ยงทายพระโค ในวันพืชมงคลต่างหากเล่า แต่สไบนางไม่อยากค้านขึ้นมาเดี๋ยวจะยิ่งงงไปกันใหญ่กับพิธีของแต่ละชาติ ทีนี้คงได้อธิบายกันยาวออกนอกเรื่องไปแบบกู่ไม่กลับเป็นแน่แท้

“แล้ว...เฮ้อ...” หยางเล่ยถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งอกที่อธิบายผ่านขึ้นตอนนี้ไปได้

“แล้วทีนี้....ก็รู้สึกว่าความสามารถแบบนี้มันจะถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมน่ะ”

“หือ? หา?”

หลี่เซี่ยเฟยกับสไบนางอุทานออกมาพร้อมกันและยังเบิ่งตาเสียโพลง
กับเรื่องที่ได้รับฟังมันเกินความคาดหมายไปมาก จากทีแรกหล่อนนึกเพียงแค่ว่าหยางเล่ยอาจจะเป็นหนึ่งในล้านคน ที่ได้รับความสามารถพิเศษให้มองเห็นจิตวิญญาณก็ได้ แต่เรื่องราวมันกลับซับซ้อนกว่าที่หล่อนคาดเดาไปมากมายนัก แม้กระทั่งหลี่เซี่ยเฟยยังต้องแปลกใจเพราะไม่เคยได้รับรู้หรือได้ยินมาก่อนหน้านี้เลย

“ฉัน รวมทั้งพี่น้องคน อื่นๆ กับคนในตระกูล เห็น...ได้...” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจปนทึ่งนิดๆ ของเพื่อนแล้ว ชายหนุ่มก็รีบยกมือขึ้นห้าม

“เอ่อ...มันไม่ได้มีอะไรเวอร์ขนาดนั้นหรอก ก็แค่เห็นน่ะทำอะไรได้เสียที่ไหนเล่า!”

“นายเห็นผี 24 ชม. แบบ The eyes เลยหรือเปล่า? ” หยางเล่ยฟังแล้วก็หน้าเจื่อนขึ้นมาเล็กน้อย

“ว่าน...ฉันไม่ใช่ 7-11 นะ จะได้เปิด 24 ชม. จะเห็นก็เฉพาะที่มันแรงๆ หรือเขาต้องการให้เห็นเท่านั้นแหละ” สิ้นคำตอบสไบนางต้องหัวเราะกิ๊กๆ ออกมาเลยทีเดียว

“งั้นก็แสดงว่าฉันแรงล่ะสิเลยเห็นน่ะ”

“ติงต๊องอย่างแรงมากกว่า!!”

ผีสาวกำลังภูมิใจแต่กลับถูกนายบุญถึงของเธอขวางขึ้นมากลางลำ จึงหันไปซัดผั๊วะเข้าให้แต่เจ้าตัวนั้นรู้ทันจึงเบี่ยงตัวหลบได้ทันซ้ำยังหัวเราะเยาะหล่อนเข้าให้อีกด้วย

“ช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับให้ด้วยนะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นมีแววชวนน่าเห็นใจในขณะที่เอ่ยคำขอร้อง

“อย่างนายน่ะ ถึงบอกไปก็ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก ติงต๊องพอกันๆน่ะสิถึงเห็นยัยว่านได้น่ะ”

หยางเล่ยฟังแล้วไม่โกรธซ้ำยังขำเสียด้วย แต่ผีสาวกลับโกรธแทนเสียเอง เลยหันมาเอาเรื่องตั้งท่าจะทุบตีหลี่เซี่ยเฟย

“อีกแล้วนะ!! คำก็ติงต๊อง สองคำก็ติงต๊อง นี่นายมันจะหาเรื่องกัดฉันทุก 5 นาที 10 นาทีเลยหรือไงหา?”

“ใช่!” เจ้าของใบหน้าคมคายนั้นตอบออกมาก่อนจะคลี่ยิ้ม สไบนางเห็นเข้ายิ่งอารมณ์ขึ้นแล้วโดยเฉพาะแววตาวาวๆ คู่นั้นแล้ว

“งั้นก็ตายซะเถอะ!!”

หล่อนพุ่งเข้าใส่หลี่เซี่ยเฟยซึ่งตั้งท่าจะลุกหนีอยู่แล้วแบบเร็วจี๋แต่ยังไม่ทันพ่อรูปหล่อ เลยกลายเป็นว่าผีสาววิ่งไล่ชายหนุ่มไปรอบๆ สวน ในขณะที่หยางเล่ยยืนดูแล้วต้องหัวเราะออกมา ด้วยไม่คิดว่าเพื่อนของเขาจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


คืนวันนั้นหลี่เซี่ยเฟยชวนหยางเล่ยไปค้างที่คอนโดของเขา เพื่อจะได้พูดคุยปรึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินอีกมากมายหลายเรื่อง...แต่ทุกเรื่องที่สรรหามาคุยนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องราวของสไบนางทั้งสิ้น
ตั้งแต่อยากซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้หล่อน อยากหาถ้วยกาแฟส่วนตัวให้หล่อนใช้ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่จะให้หล่อนสะดวกสบายกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง
แถมยังร่ำๆ ว่าจะยกห้องทำงานให้เป็นห้องนอนของผีสาวไปเลยจะได้อยู่อย่างเป็นสัดส่วนเสียที

หยางเล่ยฟังแล้วต้องแอบอมยิ้มนึกขำเพื่อนตัวเอง หลี่เซี่ยเฟยไอดอลหนุ่มที่ชื่อว่าหยิ่งยะโสที่สุดในวงการ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไม่เคยแคร์ใคร แต่กลับเอาใจใส่กับวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หนำซ้ำผีสาวตนนั้นตั้งปณิธานว่าจะอาฆาตมาดร้ายเขาให้ถึงที่สุดแท้ๆ
หยางเล่ยคิดว่าเพื่อนของเขาคงไม่ทันรู้ตัวถึงหลายสิ่งในตนเองที่แปลกไป

ชายหนุ่มยิ้มบ่อยขึ้น พูดคุยเล่นหัวมากกว่าที่เคยเป็น สดใสร่าเริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่เคร่งเครียดดังที่เคยเป็น และยังรู้จักพูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัยมากขึ้นไม่ห้วนตัดบทตัดตอนเหมือนพูดเท่าที่จำเป็นจะพูดเช่นเมื่อก่อน ทั้งๆ ที่โดยเนื้อแท้แล้วนั้นหลี่เซี่ยเฟยก็เป็นคนที่มีน้ำใจน่าคบหาทีเดียว แต่เพราะวิธีพูดที่เถรตรงและท่าทีที่แสดงออกนั้นแข็งกร้าวเกินไป แต่ทั้งหมดนั้นหยางเล่ยคิดว่าหลี่เซี่ยเฟยคงจะได้รับอิทธิพลมาจากสไบนาง ที่ทำให้หลี่เซี่ยเฟยค่อยๆ อ่อนโยนขึ้นเป็นลำดับโดยที่แม้ตนเองก็ไม่ทันได้รู้สึกตัวถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

ผีสาวตนนั้นเจ้าหล่อนร่าเริงแจ่มใสมองโลกในแง่ดีอยู่เป็นนิตย์ แม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ไม่ได้ดูหดหู่หม่นหมองดังเช่นวิญญาณดวงอื่นที่เขาเคยพบเห็น แต่กลับดูสว่างไสวสดใสนั่นทำให้หยางเล่ยสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ทั้งๆ ที่วันนั้นเขากำลังงัวเงียได้ที่แต่กลับมองเห็นแสงสว่างเรืองรองอยู่ข้างหลังเพื่อนรัก แล้วแม่หน้าแฉล้มนั่นก็ยื่นหน้าออกมาจ้องมองเขา ตามปกติแล้วถ้ามีภูติผีวิญญาณติดตามขนาดนี้ ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้มีดวงจิตกล้าแข็งหรือเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษและมีสิ่งคุ้มครองแบบเขา มนุษย์คนนั้นน่าจะโดนกัดกินดวงจิตจนหม่นหมองไร้สง่าราศี หรือแบบที่ชาวบ้านเรียกกันง่ายๆ ว่า [ดวงตก] นั่นเอง

แต่หลี่เซี่ยเฟยไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ชายหนุ่มยังคงดูผ่องแผ้วหมดจด รูปหล่ออย่างเหนียวแน่นเช่นเดิมทั้งๆที่ ฟังเรื่องราวจากผีสาวที่บอกว่าหล่อนอาฆาตเขาออกปานนั้น โกรธแค้นที่ทำให้หล่อนต้องจบชีวิตลงแทบอยากให้หลี่เซี่ยเฟยตายตามด้วยซ้ำไป แต่สิ่งที่เห็นมันกลับตรงกันข้ามจนดูน่าประหลาด หนำซ้ำพักนี้เพื่อนของเขาดูดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ สีหน้าและสายตาดูดีมีความสุขไปหมดคล้ายกับคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักมากกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้หยางเล่ยอดไม่ได้ที่จะลอบสังเกตเพื่อนรักกับผีสาวตนนั้นบ่อยๆ แล้วก็พลอยขำในสิ่งที่หล่อนทำประจำ เพราะสไบนางทั้งป้ำเป๋อ ซุ่มซ่าม ก็เท่านั้น แต่ก็ยอมรับล่ะว่าใครที่อยู่กับหล่อนคงไม่เครียด เพราะหาเรื่องมาทำให้หัวเราะท้องคัดท้องแข็งได้ทั้งวัน จนเขาเองหลายๆ ครั้งเก็บสีหน้าไม่อยู่เผลอหัวเราะออกมาให้หลี่เซี่ยเฟยเห็น เป็นเหตุให้โดนจับไต๋ได้จนความแตกนี่แหละ

“ฉันอยากหาเสื้อผ้าเพิ่มให้ว่าน แบบสำเร็จรูปได้ยิ่งดีจะได้ไม่ต้องมานั่งทำชุดกระดาษเองหลังขดหลังแข็ง”

หลี่เซี่ยเฟยเอ่ยขึ้นมาในขณะที่กำลังกินอาหารค่ำกันอยู่ มื้อนี้ชายหนุ่มไม่ได้ทำเอง แต่แวะซื้อเอาระหว่างเดินทางกลับ

“นาย...อยากซื้อให้เธอ แถมแพททริกคนนี้น่ะนะทำเสื้อผ้าเองด้วย โอ้วววว...ฉันฟังผิดหรือเปล่า ลงทุนทำให้สาวขนาดนี้เธอโชคดีมากนะว่าน!!”

หยางเล่ยทำหน้าล้อเลียนเพื่อน เมื่อรู้ว่าชุดที่เธอสวมอยู่หลี่เซี่ยเฟยทำเองกับมือยิ่งเซอร์ไพร์หนักเข้าไปอีก

“....เงียบไปเลยเวส! ถ้าไปหาซื้อได้ฉันก็ไม่ต้องมานั่งทำเองหรอก ก็..แม่นี่น่ะ....เห็นรูบี้แต่งตัวสวยก็อยากมั่ง ไอ้เราก็ผู้ชายผู้หญิงขอก็ต้องตามใจสิ”

“นี่! ฉันไม่ได้ขอนายสักหน่อย นายทำเองหมดตั้งแต่พาไปซื้อชุดบาร์บี้ แล้วมานั่งทำชุดกระดาษเนี่ย ฉันขอเมื่อไร?” ว่าแล้วสไบนางก็หันมาแฉชายหนุ่มเป็นชุด ก็เรื่องที่เขาเผาชุดตุ๊กตาบาร์บี้ให้เธอนั่นแหละ

“คิดดูนะ นึกได้ยังไงน่ะ ....ว่าชุดตุ๊กตามันจะขยายขึ้นมาเท่าคนใส่ได้น่ะ!!!”

“ก็ทีผีอื่นเขายังย่อส่วนได้ ทำไมเธอไม่หัดย่อส่วนลงไปจะได้ใส่ชุดบาร์บี้ได้ไง!!?”

“จะบ้าเหรอ? ผีที่ไหนเขาย่อส่วนไปเหลือเท่าตุ๊กตาบ้าง!! แล้วไปหลอกใครที่ไหนเขาจะกลัวกันล่ะนั่น เห่ยซะไม่มี!”

ได้ยินเรื่องราวอลเวงของทั้งคู่แล้ว หยางเล่ยก็อดรนทนไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาดังๆ

“แล้วยังจะโบ้ยว่าฉันขออีกนะ...เวส จริงๆ แล้วหมอนี่น่ะคิดเองเออเองหมดไม่มีถามฉันเลยสักคำด้วย!!” หล่อนยังคงบ่นต่อไปฉอดๆ พลางดึงทึ้งแขนเสื้อหลี่เซี่ยเฟยไปมาประกอบอารมณ์ในขณะเล่าเรื่อง

“บ่นให้ฟังก็เหมือนขอแหละน่า!!”

“เอ๊...ฉันไม่ได้บ่น นายมาถามฉันเองต่างหากจำไม่ได้เหรอยะ?”

“ก็เธอทำหน้าหงิกหน้างอจ๋อยซะขนาดนั้น ไอ้ฉันมันคนขี้สงสารนี่...เชอะ”

พูดจบชายหนุ่มก็สะบัดหน้าหนี ปล่อยให้ผีสาวแว๊ดๆๆ ใส่เขาไปเรื่อยๆ หยางเล่ยมองดูแล้วก็คิดว่าพอเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว คนอย่างหลี่เซี่ยเฟยเกลียดการซ้ำซี้ที่สุดไม่น่าจะทนได้ถึงขนาดนี้ แต่นี่เจ้าตัวดูจะสนุกสนานที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับหล่อนด้วยซ้ำไป

“โอ้ย! เถียงกับนายจนหิวน้ำแล้ว นี่ๆๆ กินน้ำหน่อยสิ” คนถูกสั่งทำท่ารำคาญแต่ก็ยอมหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“ไม่เอา....จะเอาน้ำกีวี่ที่เพิ่งซื้อมาอ่ะ ไม่เอาน้ำเปล่านะ”

หล่อนยังบ่นกระปอดกระแปดใส่เขา ซึ่งเจ้าตัวก็ชักสีหน้าใส่เหมือนจะบอกว่าหล่อนเรื่องมาก แต่ก็ยอมตามใจอีกจนได้

“น้ำกีวี่ก็กินแล้ว จะกินอะไรต่ออีกล่ะ?”

“ขนมจีบ”

“เข้ากันตายล่ะ”

“ก็จะกินนี่!”

“รสนิยมการกินเธอนี่มันจับฉ่ายจริงๆ ให้ตายสิ”

พูดจบก็เอาซ่อมจิ้มขนมจีบไส้ปูนั่นเข้าปากตามคำขอ หยางเล่ยยิ่งมองยิ่งอยากหัวเราะ เอาน้า...คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

“หัวเราะอะไรเวส?” แต่ถูกเจ้าของดวงตาคมกริบนั่นดักคอเสียก่อน

“ก็เห็นอะไรขำๆ น่ะสิถึงได้หัวเราะ ”

“ก็บอกแล้วว่าอย่ามาเถียงกันเรื่องปัญญาอ่อนต่อหน้าคนอื่น ดูซิ! ถูกเวสหัวเราะเยาะเลย” ผีสาวพูดจบค้อนควับใส่คนข้างตัวเข้าให้ทีหนึ่ง

“แหม....เดี๋ยวนี้มีพวกเรา...มีคนอื่นด้วยนะ” หยางเล่ยแกล้งเน้นเสียงอ่อนเสียงหวานพูดทีละคำแบบช้าๆ ชัดๆ เป็นการล้อเลียน

“อ้อ!! เดี๋ยวนี้ฉันกลายเป็นคนอื่นไปแล้วเหรอเนี่ย...น่าน้อยใจจัง”

“เวส....เดี๋ยวหลังมือ!!” แต่หลี่เซี่ยเฟยไม่รับมุขด้วย เขากลับตอบมาด้วยหน้าตาบูดบึ้งเต็มที

“ฮะ ฮะ ฮะ ล้อนิดล้อหน่อยก็ไม่ได้”

“ฉันเรียกนายมาปรึกษานะ ไม่ได้ให้มาหัวเราะฉัน”

เพื่อนของเขาเคยขี้งอนอย่างไรก็ยังขี้งอนอยู่อย่างนั้นก็ดูเหมือนมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยน ต่อไปคงได้มีอะไรให้ต้องหัวเราะบ่อยขึ้นแน่ๆ หยางเล่ยบอกตัวเองแบบมั่นอกมั่นใจเต็มที่

“ครับๆๆ ขอโทษครับ อ่ะๆ คุยต่อเรื่องกงเต็กใช่มั้ย? ที่บ้านฉันมีกิจการหลายอย่างทั้งธุรกิจใหญ่ๆ อย่างอสังหาริมทรัพย์ หรือจะแบบเล็กๆ แบบขายเรื่อยๆ เปื่อยๆ อย่างขายยาจีน วัตถุโบราณ หรือทำร้านกงเต็กก็มีนะ”

“มีร้านกงเต็กด้วยเหรอ?” หลี่เซี่ยเฟยเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทันในแววตาดูจะยินดีอยู่ไม่น้อย

“อื้อ...เมื่อก่อนก็แค่ร้านตึกแถวธรรมดาทั่วๆ ไปแต่มีหลายสาขาหน่อย ในไต้หวันเองก็มีสาขานะ “

สไบนางลอบสบตากับหลี่เซี่ยเฟย แม้จะบอกว่าเป็นแค่ร้านตึกแถวแต่มีสาขามาถึงไต้หวันอย่างนั้นหรือที่เรียกว่าร้านเล็กๆ ธรรมดาทั่วๆไป แบบที่ไหนก็มี หยางเล่ยไม่ทันได้สังเกตแววตาของหล่อนเขายังเล่าต่อไปด้วยท่าทีราบเรียบราวกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ ตามที่กล่าวมา

“แต่พออาสามรับไปดูแลก็ทำแบบครบวงจรเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็ตั้งเป็นบริษัทรับจัดพิธีศพ จัดหาของไหว้ เครื่องกงเต็ก ชุดสังฆภัณฑ์ พวงหล่งพวงหรีด รถแห่ศพ จองศาลา พร้อมหาที่ฝังให้ หรือถ้าไม่มีญาติก็มีพนักงานรับจ้างร้องไห้ไว้ให้ด้วยนะ มีหมดเบ็ดเสร็จเลย ”

“โอ้โฮ...” ผีสาวครางออกมา

“ยังๆ ไม่หมดเท่านั้น รับบริการโดยสั่งจองผ่านเวบไซน์ก็ได้ เดี๋ยวนายก็คลิ๊กเข้าไปเลือกของที่ต้องการในเวบได้เลย มีเดลิเวอร์รี่ให้ด้วยซื้อน้อยก็จ่ายค่าส่ง ซื้อมากก็จัดส่งฟรีอะไรงี้อ่ะ”

“เฮ้ย? เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้นเชียวเหรอวะ?” หลี่เซี่ยเฟยฟังแล้วยังต้องตะลึง

“เฮ้อ...นายนี่เชยจริงๆ ว่ะแพท รู้มั้ยคนจีนทั่วโลกมีอยู่กี่สิบกี่ร้อยล้านคน เยอะแยะออกขนาดนี้ แล้วไชน่าทาวก็มีอยู่ทั่วโลกแทบจะทุกประเทศที่มีคนจีนอาศัยอยู่เลย ทำมากินกับคนตายน่ะรายได้ดีจะตาย มีตายกันทุกวันเลย เป็นธุรกิจที่ไม่เสี่ยงทำค่ายเพลงยังเสี่ยงเจ๊งกว่าอีกนะ”

“นั่นสินะ...คนเกิดกับคนตายมีทุกวันนี่”

ผีสาวพึมพำออกมา จริงสิมิน่าเล่าถึงมีพวกหากินกับงานศพอย่างที่เป็น
ข่าวในเมืองไทยบ่อยๆ ทั้งตั้งบ่อนในงานศพเอย หรือจะอีกสารพัดรูปแบบ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมิจฉาชีพเสียมากกว่า

“แล้วค้าขายกับคนตายน่ะ ไม่จบแค่งานศพนะ ว่างๆ ก็กลับมาเยี่ยมญาติปีละ 2 หน ตอนเชงเม้งหนหนึ่งกับศาสตร์จีนอีกหน แล้วญาติก็ต้องเตรียมข้าวของไว้ให้เผื่อตอนเดินทางกลับด้วย” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเล่าไปยิ้มไปเหมือนเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

“แล้วบางทีญาติพี่น้องก็คิดถึงอยากส่งของไปให้เองก็มี หรืออาจจะแบบว่า...มาเข้าฝันบอกทางบ้านว่าอยากได้ไอ้โน่นไอ้นี่ ที่กำลังฮิตๆ อยู่ตอนนี้ก็มือถือล่ะ”

ฟังหยางเล่ยสาธยายแล้วหลี่เซี่ยเฟยแทบมึน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนแยกแยะ
ระเรื่องหว่างคนกับผีออกแน่เหรอ? ดูแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว

“เวสนายพูดเหมือนคนตายแล้ว แค่เดินทางไปต่างประเทศนานๆ ทีก็กลับมาเยี่ยมบ้านสักที แล้วก็มาขนของกลับไป”

“เออ....อ ก็ทำนองนั้นแหละ แล้วบางคนก็ไม่ยอมไป ไม่รู้วีซ่าไม่ผ่านหรือไงกลายเป็นผีเร่ร่อน หรืออย่างว่านนี่ก็ต้องเรียกว่าลักลอบเข้าเมืองเถื่อนสินะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สไบนางฟังคำเปรียบเทียบแล้วก็ขำจนตาหยี
นึกชอบใจความอารมณ์ขันของเขาเป็นอันมาก

“บางพวกนะ ไม่มีญาติเป็นผีจรจัด ว่างๆ ก็มาขอส่วนบุญกันหน้าตาเฉยๆ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสักหน่อย แล้วส่วนมากคนเห็นก็ต้องทำบุญให้แหละ ”

“เค้าเรียกเจ้าไม่มีศาลเว้ย! ไม่ใช่ผีจรจัด” หลี่เซี่ยเฟยขมวดคิ้วหลงฟังอยู่นานดูซิ...เปรียบเทียบผีเสียใกล้เคียงกับหมาจรจัด

“คนไทยเค้าเรียกสัมภเวสีย่ะ เรียกซะเสียหมด”

“......เรียกไม่ผิดหรอกคนสวย ….ผีเร่ร่อนน่ะมีอยู่ทั่วไป แต่ไม่นานนักถ้าไม่ดับสลายไปเองก็ถูกยมทูตตามจับไปจนได้”

ชายหนุ่มยิ้มให้หล่อนทำเอาผีสาวแอบดีใจขึ้นมา...ถูกคนหล่อชมเข้าให้นี่นะจะไม่ดีใจได้ยังไง แม้หยางเล่ยบุคลิกหน้าตาไปคนละเรื่องกับหลี่เซี่ยเฟยเลยก็ตามแต่เรื่องรูปหล่อคงไม่ด้อยกว่ากันเพียงแต่หล่อกันไปคนละแบบ ชายหนุ่มเตี้ยกว่าคุณบุญถึงของสไบนางเล็กน้อย รูปร่างอาจไม่ผึ่งผายเท่าแต่ใช่ว่าจะผอมบางจนขาดความน่ามอง เขามีผมสีน้ำตาลแดงซึ่งไม่ใช่สีเดิมโดยกำเนิดแต่เกิดจากการทำสีผมตามแฟชัน แต่สีผมเชดนี้ก็เข้ากันได้ดีกับทรงผมซอยสไลท์ไล่ระดับลงมาถึงลำคอ แม้มันจะดูยุ่งๆ และชี้โด่ชีเด่เหมือนขนสุนัข แต่ก็รับกับใบหน้าสดใสที่มักจะมีรอยยิ้มน่าเอ็นดูปรากฏให้เห็นอยู่เป็นนิตย์ นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใสแจ๋วคู่นั้นก็ดูมีชีวิตชีวาชวนให้มองได้ไม่รู้เบื่อ ต่างกับใครบางคนที่มีดวงตาคมกริบแก้วตาดำขลับจนเหมือนนิลสุกปลั่งเม็ดโต ซึ่งถูกประดับด้วยแพขนตายาวแลดูสวยอมโศก

ถ้าให้สไบนางเปรียบเทียบชายหนุ่มทั้งสองคน แม้จะแตกต่างกันมากมายนักแต่ก็เคียงคู่ขนานกันทุกวันคืนดังเช่นทิวากับราตรี ผีสาวมัวแต่พิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มสองคนสลับกันไปมา ยิ่งมองยิ่งค้นพบเสน่ห์เฉพาะตัวในแบบฉบับของใครของมัน จนลืมไปว่าอยากจะถามหยางเล่ยเรื่องยมทูตตามล่าวิญญาณไปเสียสนิท เหตุไฉนหล่อนยังอยู่เคว้งเต้งอยู่ขณะนี้โดยยังไม่มีคนจากโลกโน้นมารับสักที แต่ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในความคิดตนเองนั้นก็ถูกหลี่เซี่ยเฟยขัดคอขึ้นมาอีกจนได้

“ที่เรียกผิดที่สุดก็ตรงที่เรียกยัยว่านว่าคนสวยนี่แหละ.....ยัยนี่สวยตรงไหน? หมวยก็เท่านั้น! เตี้ยก็เตี้ย ! ตัวกลมๆ ป้อมๆ แก้มงี้ยืดได้เป็นคืบ แถมกินเก่งอย่างกับยัดกระสอบ เลี้ยงแมวยังกินไม่เปลืองเท่าหล่อนเลย!!”

“ว่าไงนะ! ตัวเองมองไม่สวย แล้วคนอื่นเขามองสวยไม่ได้หรือไง”

ว่าแล้วผมยาวสีน้ำตาลทองของผีสาวเริ่มปลิวสยายไปด้วยแรงลมซึ่งเกิดจากความโมโหของหล่อน นัยน์ตารียาวคู่นั้นก็เริ่มส่องแสงวาวออกมา ทำเอาหลี่เซี่ยเฟยหุบปากแทบไม่ทัน

“ก็ได้ๆ เธอสวย....แต่เป็น...สวยหลบในนะ”

เท่านั้นแหละแทบจะเกิดพายุหมุนในบ้านเลยทีเดียว หล่อนยังคงนั่งอยู่กับที่ในตอนที่ปล่อยพลังอาละวาดอยู่นั้น ลมหมุนพัดเอาแก้วน้ำบนโต๊ะสั่นกึ่กๆๆๆ จาน ชาม บนโต๊ะก็เลื่อนไปกระทบกันจนเสียวจะแตก ขนมจีบไส้ปูหลายลูกกระเด้งดึ๋งดั๋งขึ้นมาราวกับมีชีวิต

“เฮ้ยยยยยยย....ย ว่านหยุด หยู๊ดดดดด....ด ”

“ก็ขอโทษก่อนสิแล้วจะหยุด!!” หล่อนยังตั้งแง่ไม่ยอมหยุดง่ายๆ

“โอ้ยย..!! เดี๋ยวของกินก็หกหมดโต๊ะหลอกอุตส่าห์ซื้อมา ติ๋มซำเจ้าดังที่เธออยากกินนะนั่น....”

“ว้ายๆๆ จริงด้วย !! ลืมไปเลย....เวส ช่วยตะครุบไว้ก่อนเร็วเดี๋ยวปลิวหมด”

“ได้ๆๆ ”

แขกที่มาเยี่ยมบ้านเลยต้องรีบดึงถ้วยดึงจานเอาไว้จ้าละหวั่นไปหมด มีแต่หลี่เซี่ยที่แอบแยกเขี้ยวยิงฟันใส่หล่อนลับหลัง....โธ่...ยัยผีเห็นแก่กินเอ้ย! นี่ถ้าบอกว่าแม่คุณกินจนท้องแตกตายจะเชื่อมากกว่าโดนรถชนตายนะเนี่ย...

และแล้วอาหารค่ำมื้อนั้นก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะ สไบนางนึกดีใจที่ได้เพื่อนเพิ่มมาอีก 1 คนแล้ว ผีสาวรู้สึกอบอุ่นหล่อนไม่ได้สนุกสนานแบบนี้มานานแล้ว บรรยากาศของการจับกลุ่มพูดคุยสรวลเสเฮฮากับเพื่อนฝูงแบบนี้ ห่างหายไปจากชีวิตหล่อนมาพักใหญ่แล้ว หลังจากที่ผีสาวหมดลมหายใจลงทุกสิ่งที่เคยมีในชีวิตล้วนแล้วแต่มลายหายไปหมดสิ้นดังคำว่าอนิจจังไม่เที่ยง ไม่มีใครรับรู้ได้ยินเสียงของหล่อน..ไม่อาจสัมผัสหรือมองเห็นเธอได้อีก ในทางตรงกันข้ามผีสาวได้แต่มองดูความเป็นไปของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เงียบๆ แค่เพียงนี้ความตายก็ช่างดูเปลี่ยวเหงาและว้าเหว่ยิ่งนัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นคือสไบนางได้พบกับหลี่เซี่ยเฟย ผู้ชายคนเดียวที่คอยเคียงข้างให้กำลังใส่ใจสิ่งละอันพันละน้อยของหล่อน แม้ทั้งอารมณ์ความรู้สึกของวิญาณที่เป็นเพียงอากาศธาตุอันว่างเปล่าเท่านั้น ผีสาวจึงนึกขอบคุณชายหนุ่มยิ่งนักกับหลายๆ อย่างสิ่งที่เขามอบให้เธอ แม้กระทั่งวันนี้เขาก็หาเพื่อนที่สามารถพูดคุยและสัมผัสดวงจิตของเธอได้มาให้คลายเหงาเพิ่มอีกหนึ่งคน


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อ่านต่อตอนหน้าค่ะ








Create Date : 05 มกราคม 2549
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 0:28:24 น. 2 comments
Counter : 462 Pageviews.

 
หวัดดีคะ นิยายพี่สนุกมากเลยค่ะ อิอิ แต่งต่อเร็วๆนะคะรออยู่ค่ะ อืม...พี่เรียนภาษาจีนด้วยเหรอคะ เก่งจัง แต่สุนัขนี่เค้าใช้โกว่นะคะ แต่อันอื่นก็ถูกค่ะ (อืม..หรือว่าเราผิด) ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ


โดย: pea IP: 203.188.60.245 วันที่: 7 มกราคม 2549 เวลา:10:08:44 น.  

 
ไม่ได้เรียนภาษาจีนมาค่ะ...แค่พูดได้นิดหน่อย แต่สงสัยเบลอๆ ลืมไปว่าไต้หวันมันพูดจีนกลางนี่เนอะ จะอ่านว่าเสี่ยวเก้าไม่ได้ ต้องออกเสียงว่าโก่ว จริงๆ ด้วย ขอบคุณค่ะ ที่เตือนมา

แต้จิ๋วกะจีนกลางเวลาเผลอๆ ชอบเขียนปนกันเรื่อย


โดย: แก้วกังไส วันที่: 7 มกราคม 2549 เวลา:21:44:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.