จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
24 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 19

ตอน 19
บ่วงกรรม



                ถังสังฆทานสีเหลืองสดถูกตั้งเรียงรายไว้ตรงหน้า ข้างในบรรจุไว้ด้วยเครื่องสังฆภัณฑ์ชั้นดี ที่วิมุตติสั่งให้ลุงเรืองคนสนิทไปหาซื้อตามรายการแล้วค่อยมาจัดเรียงใส่ถัง ไม่ให้ซื้อสำเร็จรูปอย่างทั่วๆ ไป เพราะหลายครั้งมีของที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็น บางครั้งสินค้าก็ไม่ได้คุณภาพที่ผู้ขายเห็นแก่ได้เอาของใกล้หมดอายุมาจัดไว้ หรือกระทั่งบางเจ้ายัดไส้กระดาษไว้ข้างใน


                 แต่ของจำเป็นกับพระสงฆ์หลายอย่างที่คนทั่วไปมักจะมองข้าม เช่น ยาสระผม เพราะเห็นว่าท่านไม่มีผมกันแล้ว แต่หนังศีรษะยังต้องได้รับการชำระเสมอหาไม่แล้วจะคัน อีกชิ้นหนึ่งที่ขาดแคลนคือมีดโกนคมๆ คุณภาพดีที่ใช้โกนผมพระและเณร หลายวัดต้องทนใช้มีดโกนทื่อๆ ซึ่งใช้โกนมาหลายศีรษะ ไม่ดีทั้งทางด้านสุขอนามัยและโกนยากอีกด้วย ยิ่งเป็นวัดบ้านป่าบนภูเขาแบบนี้ไม่ค่อยมีญาติโยมขึ้นถวายสิ่งอุปโภคบริโภคนัก เหล่านี้ชายหนุ่มใช้ประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านการบวชเรียนมา 2 หน ทั้งเป็นเณรและพระภิกษุมาใช้จัดสิ่งของที่จะถวายพระท่าน


                  ร่างผอมเกร็งของหลวงปู่แสน ถูกประคองให้นั่งลงบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้ให้ ชายหนุ่มส่งรถไปนิมนต์ท่านลงมาจากวัดบนดอย เพื่อเทศนาโวหารรุ่นน้องของเขา นักศึกษาน้องใหม่เหล่านั้นนั่งเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบกับพื้นเรือน ในขณะที่พวกรุ่นพี่นั่งอยู่แถวหน้า วิมุตติกับเจ้าภูวิษะคลานเข่าเข้าไปหาหลวงปู่และก้มลงกราบอย่างนอบน้อม


                 "เจริญพรเถิดโยม" หลวงปู่แสนยิ้มทัก และเมื่อแลเห็นหน้าคนที่เพิ่งลงกราบข้างวิทยาธรเทพนั้น ก็เพ่งมองอยู่นานก่อนจะเอ่ยทักทาย


                 "อาตมานึกว่าใครภูวิษะเจ้านี่เอง ไม่ได้พบเสียนาน ครั้งสุดท้ายที่พบนี่เห็นจะเป็นปีแล้วสินะ เป็นอย่างไรบ้างแข็งแรงขึ้นแล้วรึ?"


                 ประโยคนี้ทำให้เคียงฟ้าที่นั่งอยู่แถวถัดไปต้องเงยหน้าขึ้นมาฟัง คนที่ลงว่ายน้ำตอนเช้าตรู่ทั้งที่อากาศเย็นจนหมอกลงหนานั่นน่ะหรือสุขภาพไม่ดี


                 "ดีขึ้นมากแล้วขอรับพระคุณเจ้า ไม่อย่างนั้นคงมิอาจมาเจริญธรรมที่นี่ได้"


                 "นั่นสิขอรับ...คราวก่อนทำเอาต้องถูเรือนกันหมด"
                 วิมุตติแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม จากนั้นจึงรีบเงียบเสียงลงเมื่อเห็นสายตาคมกริบของอีกฝ่ายปลายตามองมาจนนัยน์ตาแทบจะเรืองแสง ทำเอาหลวงปู่พลอยขันไปด้วย


                "ฮ่า ฮ่า เป็นอย่างนั้นก็ดี...แต่อย่าให้จิตหมกมุ่นมาก ทุกอย่างอาจไม่ได้เป็นดังใจหวัง ต้องปล่อยวางบ้าง..."


                 ภิกษุชราหยุดกล่าวเมื่อกวาดตามองไปที่กลุ่มนักศึกษา และสะดุดเอาที่ดวงหน้าหวานของเคียงฟ้า หลวงปู่ยิ้มให้หล่อนเป็นรอยยิ้มเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา หญิงสาวไม่ทันได้นึกแปลกใจสงสัยอะไร ท่านก็หันไปสนทนากับเจ้ารูปงามต่อ


                 "ทำจิตให้สงบเถิดภูวิษะเจ้า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีได้มาทำบุญร่วมกันอีกครั้ง สิ่งใดที่เคยล่วงเกินกันไปก็อโหสิกรรมให้กันทั้งผู้ที่เคยติดค้าง รวมทั้งทุกคนในที่นี้ด้วย" จากนั้นจึงได้เริ่มการเทศนาขึ้น


                 "โยมทั้งหลาย...การเป็นนักศึกษาใหม่ทำให้เราต้องเตรียมตัวต้อนรับสิ่งใหม่ๆ คล้ายกับการเกิดใหม่ แต่ถ้าพื้นฐานเดิมก่อนมาเข้ามหาวิทยาลัยไม่แน่นก็ทำให้มีผลต่อการเรียน เหมือนกับการที่ชาติที่ผ่านพ้นมาไม่ได้สะสมบุญมามากนัก ชาตินี้พื้นฐานในการกำเนิดไม่ก็พร้อมสรรพเท่าที่ควร ทุกๆ อย่างมันมีผลต่อเนื่องกันเสมอ อย่าได้โทษฟ้าโทษดินโทษชะตาชีวิต แต่ขอให้พิจารณาตนเองก่อน บางคนนั้นก็มีสัญญาเก่าติดมาแต่ปางก่อน จำได้ว่าต้องเริ่มทำกิจอะไร อย่างไร ติดค้างกับผู้ใดไว้ แต่บางคนจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิดบาป แต่ควรจะตั้งสติและวางแผนชีวิตให้ดีป้องกันความผิดพลาดในอดีตที่เราไม่รู้ ไม่ให้ตามมาเป็นกรรมผลาญชีวิตปัจจุบัน อย่ามัวแต่กลัดกลุ้มถามตนเองว่าทำไมต้องเป็นเรา ก็เพราะเป็นบุพกรรมของเราไม่ใช่ของคนอื่น จะไปเกิดเรื่องกับคนอื่นได้ยังไง?


                  บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องของกรรมหรอก แต่เป็นที่นิสัยของตนเองนิสัยไม่ดีที่เรามองข้าม และคิดเข้าข้างตนเองเสมอยึดติดกับตัวกูของกู ทุกอย่างล้วนเป็นมาตรฐานที่กูกำหนด ไม่ใช่มาตรฐานของศีลธรรมอันดีงาม ก็ทำให้มีปัญหาทะเลาะกับคนรอบข้างวนเวียนไม่จบสิ้น เรื่องนั้นผ่านไปเรื่องนี้ก็ผ่านเข้ามา และยิ่งถ้าไม่มีสติพิจารณาก็จะยิ่งกล่าวโทษเวรโทษกรรม คนแบบนี้ไหว้พระไปอีกร้อยวัดก็ไม่หายทุกข์หรอก หากจิตไม่สงบก็เปล่าประโยชน์"


                  หลายคนนั่งพับเพียบเรียบร้อยตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แต่ในขณะที่บางคนเริ่มขยับเนื้อตัวด้วยความเมื่อยขบ เมื่อเวลาล่วงผ่านไปเกิน 30 นาที แต่เจ้าภูวิษะและวิมุตตินั้นนั่งหลังตรงมีสมาธิเต็มที่ บางครั้งมีการพยักหน้ารับตามคำสอน ส่วนตรีภูมินั้นสัปหงกไปตั้งแต่ 15 นาทีแรกแล้ว หลวงปู่หยุดเทศนาไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปบอกเจ้าของสถานที่


                  "วิมุตติปลุกเพื่อนเอ็งหน่อย ไอ้อ้วนนั่นไปเฝ้าพระอินทร์แล้ว" ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองเพื่อนรัก ก็พบว่าตรีภูมิก้มหน้าจะจรดอกอยู่แล้ว


                 "เอ๊า!! ตรี!"


                 "สงสัยอาตมาจะเทศน์น่าเบื่อไป...เฮ้อ...ไอ้เด็กพวกนี้ นั่งเป็นหลับขยับเป็นกิน"
เสียงตำหนิของหลวงปู่ทำเอานักศึกษาทั้งกลุ่มหัวเราะกันครืน ส่วนตรีภูมิที่เพิ่งสะลึมสะลือขึ้นมาก็ยิ้มแห้งๆ แก้เขิน


                 "หลายวันมานี่ผมตื่นแต่เช้ามืดครับหลวงปู่ ก็เลยเผลอไปนี๊ดดดดดด...ด" ภิกษุชราไม่ว่ากระไร แต่ยิ้มขำจนรอยเหี่ยวย่นนั้นยิ่งปรากฏชัดบนใบหน้า


                 "เอาเถอะฟังบ้างหลับบ้างยังดีกว่าไม่ได้ฟังเลย อาตมาเทศน์แค่นี้ดีกว่าเดี๋ยวมันจะพากันหลับไปทั้งฝูง" สิ้นคำหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงสาธุจากนักศึกษาดังยาวเป็นทิวแถว ไม่แน่ใจว่าซึ้งในรสพระธรรมหรือดีใจที่พระท่านเทศน์จบเสียที


                 เมื่อเทศนาโวหารเสร็จสิ้นวิมุตติจึงรีบรินน้ำชาใส่ถ้วย แล้วประเคนถวายให้หลวงปู่ดื่มแก้กระหาย จากนั้นจึงเป็นการให้ศีลให้พรถวายสังฆทาน และผูกข้อไม้ข้อมือพรมน้ำมนต์ให้กับน้องใหม่ทุกคน สำหรับนักศึกษาชายนั้นหลวงปู่ผูกให้โดยตรง แต่นักศึกษาหญิงท่านส่งสายสิญจน์แจกให้รุ่นพี่เป็นผู้ผูกให้ จนมาถึงเคียงฟ้าภิกษุชราหยุดนิ่งพิจารณาไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มเอ็นดูออกมา


                 "สีกา...เก็บนี่ไว้ หากมีเคราะห์จะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง"
หลวงปู่แสนล้วงเอาเหรียญสีทองแดงรูปพระพิมพ์นูนส่งให้พร้อมกับสายสิญจน์คล้องคอ มิรันตีซึ่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เห็นเข้าจึงเอ่ยถามขึ้นมา


                 "กันผีได้หรือคะ? ถ้างั้นหนูขอสักองค์สิคะ"


                 "กันไม่ได้หรอกสีกา แต่คล้องไว้เพื่อเตือนใจให้มีสติหากคับขันจะได้นึกถึงพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง ใครเขาขาดสติมาร้ายให้อธิษฐานเผื่อเขาให้เขาได้สติขึ้นมา" สองสาวฟังแล้วต้องมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ


                  "พระกันผีไม่ได้เหรอคะ?"


                  "ไม่ได้หรอกโยม พระวันหนึ่งก็ต้องเป็นผีอาตมาก็เช่นกัน เหรียญนี่ก็แค่โลหะชิ้นหนึ่ง แต่ที่ผีกลัวคือพระธรรมต่างหาก บางตนแค่ถูกโทสะครอบคลุมจิต หากเห็นพระก็นึกขึ้นมาได้เขาก็เลิกราไป วัตถุมงคลไม่ใช่สิ่งวิเศษจะเสกโน่นเสกนี่ให้ผู้บูชาได้ แต่จะคอยเตือนสติให้อยู่ในศีลในธรรมหมั่นทำความดีต่างหาก นี่คือจุดประสงค์ของการสร้างพระ ไม่ใช่สร้างมาเพื่ออวดอิทธิปาฏิหาริย์อย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ ถึงไม่คล้องพระแต่พระอยู่ในใจเสมอท่านก็คอยเตือนให้มีสติ ความดีเท่านั้นที่จะคุ้มครองตัวได้....ถ้าทำชั่วต่อให้คล้องพระเป็นสิบองค์ก็เห็นไม่ได้ตายดีสักคน พระท่านไม่คุ้มครองคนเลวที่ห้อยพระหรอก"


                  "อย่างนี้นี่เอง...ขอบคุณมากค่ะ" เคียงฟ้าก้มลงกราบ


                  ในขณะที่มิรันตีทำหน้าแหยๆ เริ่มไม่อยากได้ขึ้นมา เมื่อได้ยินว่ากันผีไม่ได้ แต่เมื่อออกปากขอไปแล้วและท่านก็ให้จึงจำต้องรับมา จากนั้นจึงรีบคลานออกไปสมทบกับเพื่อนที่เสร็จพิธีรับศีลรับพรไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเคียงฟ้าเพื่อนร่วมห้องพักของหล่อนยังถูกหลวงปู่ชวนสนทนาต่อ


                  "ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้างสีกา? ใช่ฝันร้ายบ่อยๆ หรือไม่ ? " หญิงสาวเบิ่งตาค้างทันที


                  "ใช่ค่ะ ท่านทราบได้ยังไงคะ?" หลวงปู่แสนไม่ตอบมีเพียงรอยยิ้มปรากฏออกมาเท่านั้น


                  "ก็ขอบตาคล้ำแบบนี้ ใครเห็นเข้าก็รู้ทั้งนั้นแหละ"
หากเป็นตรีภูมิพูดขึ้นมาหล่อนคงไม่แปลกใจ แต่เมื่อพบว่าเป็นเจ้าภูวิษะหญิงสาวจึงถลึงตาใส่แบบไม่ปิดบังอารมณ์


                  "หรือไม่จริง?" แต่คู่อรินั้นไม่ได้ลดราวาศอกเลย ซ้ำยังถามกลับมาอย่างยียวนอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าพระต่อหน้าเจ้าหล่อนคงแขวะเขากลับไปแล้ว


                  "ภูวิษะเจ้า...นิ่งเสียบ้างสิ" กลับเป็นภิกษุชราที่ตำหนิขึ้นมา ทำเอาหญิงสาวลอบยิ้มด้วยความสะใจ


                  "มานั่งข้างๆ สีกานี่ สิ่งใดที่เคยขุ่นข้องกันมาก็ให้อภัยกันเสีย เมื่อตั้งใจจะบวชแต่ทำไม่ได้ ก็ต้องเริ่มแต่ฝึกตนเสียก่อน ก็ละเลิกนิสัยใจร้อนนี่เถอะ สิ่งใดที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านพ้นไป ไม่พอใจสิ่งใดกันมาก็อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันอีก ไม่อย่างนั้นหากจากกันไปโดยที่ยังผิดใจกันอยู่ต่างฝ่ายต่างจะติดค้างต่อกัน สีกาเองก็เช่นกัน...อโหสิกรรมแก่กันทั้งสองฝ่าย"


                  "หลวงปู่คะ...เราไม่ได้โกรธอะไรกันนะคะ ก็แค่...." หล่อนปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อถูกเทศนาเสียยาวเหยียด


                  "ทำตามที่หลวงปู่บอกเถอะคุณเคียงฟ้า" วิมุตติกล่าวข้ามตัวเจ้าภูวิษะมา ในขณะที่เจ้าตัวยังปั้นปึ่งอยู่แต่ก็ยอมพูดออกมาจนได้


                  "เราเป็นชาย...ยินดีจะขอโทษก่อน" หญิงสาวเห็นท่าทางยโสนั่นก็รู้สึกหมั่นไส้นั่นเต็มกำลัง นี่ขนาดจะขอโทษหล่อนแท้ๆ ยังเจ้ายศเจ้าอย่างท่ามากเสียปานนั้น


                  "ขอบคุณค่ะ...ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณนี่"


                  "ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษเราบ้างสิ!"


                  "นี่คุณ!!?" หล่อนหันขวับไปจ้องหน้าอีกฝ่ายทันที ดวงตาคมกล้าคู่นั้นมีแววตัดพ้ออยู่ภายใน มันจริงจังจนหล่อนไม่กล้าพูดต่อ


                  "ขอโทษค่ะ...เรื่องที่ผ่านมาทั้ง 2 วันนี้"


                  "แค่ 2 วันเหรอ?" เจ้าภูวิษะเอ่ยเสียงเรียบๆ ทว่าเย็นชานัก เคียงฟ้าฟังแล้วหน้าแสบร้อนขึ้นมาทันที


                  "ฉันไปทำอะไรคุณนักหนา....เราเพิ่งเจอหน้ากันแค่ 2 วันเองนะ ขอโทษก็ขอโทษไปแล้วคุณจะเอาอะไรอีก?" หล่อนฉุนเฉียวจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ลืมตัวไปชั่วขณะว่าอยู่ต่อหน้าผู้ทรงศีล


                  "....ภูวิษะ"
                  เป็นญาติของเขาที่กระตุกมือฝ่ายตรงกันข้ามไม่ให้หาเรื่องหล่อนอีก และก่อนที่หล่อนจะทันได้ต่อว่าต่อขานอะไรออกมาอีก หลวงปู่แสนก็ส่ายศีรษะแล้วระบายลมหายใจออกมาโดยแรง


                 "เฮ้อ...ภูวิษะเจ้าถ้าไม่ทิ้งโทสะก็หาความสงบไม่ได้หรอกนะ แล้วอย่างนี้หรือที่อยากบวช?" คนถูกทักค่อยได้สติขึ้นมา


                 "ขอโทษที...เห็นคุณเขาไม่เต็มใจขอโทษก็เลย...."
                 เขาตอบเลี่ยงๆ ไม่ยอมสบตาหล่อน สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนรู้สึกผิดมากมายเมื่อถูกหลวงปู่แสนตำหนิ ในขณะที่คนรอบข้างลุ้นกันแทบตาย ตรีภูมิซึ่งนั่งอยู่ห่างก็คลานมานั่งข้างเคียงฟ้า


                  "เจ้าๆๆ ไม่เป็นหรอก เพื่อนกันก็อย่างนี้แหละ มีจิกๆ กัดๆ กันบ้าง น้องฟ้าไม่ถือหรอกใช่ไหม?"


                  "ค่ะ...ฟ้าไม่ถือสาหรอกค่ะ เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้น่ะ" หล่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างมีชัย


                  "ฉันอโหสิให้คุณทุกเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจใส่อารมณ์กับฉันก็ตาม" หล่อนตอบออกมาอย่างเสียมิได้


                 "ดีแล้วสีกา" 
                 สิ้นคำชมของภิกษุชรา ชายหนุ่มเชื้อเจ้าค่อยๆ หันมามองหล่อนอีกครั้ง หนนี้ไม่มีประกายความร้อนในดวงตาคู่สวยนั้นอีกแล้ว คงเหลือแต่ความชืดชาดูก็รู้ว่าเขาไม่พอใจกับกิริยาของหล่อน


                 "....มันควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่" 


                 "คุณพูดอะไรน่ะ!!" เคียงฟ้าฟังแล้วต้องนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ เมื่อได้สติก็ออกงิ้วทันที
                  หญิงสาวนั้นโกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ แต่คู่กรณีไม่ได้สะทกสะท้านดวงตาของเขาจ้องมองมาราวจะแทงทะลุใจหล่อน ราวกับจะเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของหล่อนคนเดียว


                 "เอาเถอะแม้คุณจะไม่เต็มใจขอโทษก็ตามที...แต่ก็ยอมเอ่ยออกมา"


                 "นี่คุณจะประชดฉันไปถึงไหน? เจ้าภูวิษะคุณนี่มัน!! ต่อหน้าพระแท้ๆ คุณยัง..."
หล่อนเว้นประโยคพูดไว้แค่นั้นด้วยเกรงใจผู้ทรงศีลนัก เมื่อไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนได้หล่อนจึงหันไปกราบลาหลวงปู่แสน แล้วคลานถอยหลังออกไป


                 "....." 


                 ความเงียบเข้าครอบคลุมไปชั่วขณะ จนตรีภูมิเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน แม้จะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นด้วย ที่เจ้าภูวิษะทำให้เรื่องที่ควรจะยุติแล้วจบไม่ลง เพราะเพียงแค่ไม่พอใจกิริยาที่เคียงฟ้าแสดงต่อเขาเท่านั้น


                 "เจ้า...อย่าไปถือสาอะไรกับผู้หญิงเล้ย..ย ทะเลาะกับแม่พวกนั้นไปเราก็ไม่ชนะหรอก"


                 "เราตั้งใจจะให้มันจบลงตรงนี้อย่างที่คุณตรีว่านั่นแหละ แต่...เป็นนางที่ตะบึงตะบอนใส่เราโดยไม่ดูการกระทำของตนเอง" ใบหน้างามปานรูปสลักนั่นปั้นปึ่งบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด


                 "อาจต้องใช้เวลาบ้าง....เดี๋ยวก็เข้าใจกันเอง" วิมุตติยกมือขึ้นตบไหล่เขาเป็นการปลอบใจ


                 “เข้าใจงั้นรึ? แค่เรื่องเล็กน้อยยังไม่เคยเป็นฝ่ายยอมรับว่าผิด แล้วเรื่องใหญ่กว่านี้เล่าน่ายกโทษให้นักหรือ?”


                  “โยม...” ผู้ทรงศีลนั่งฟังอยู่นานจึงแทรกขึ้น เมื่อเห็นอารมณ์ของเจ้าภูวิษะเริ่มร้อนไปด้วยโทสะ


                 “การที่เราจะยกโทษให้ใครสักคนนั้นอยู่ที่ใจเราเอง มิต้องรอให้คนๆ นั้นสำนึกผิด เพราะการสำนึกผิดนั้นต้องเกิดจากใจเขาเอง หาใช่การบังคับให้สำนึกไม่ หากเป็นการบังคับแล้ว...จะไม่เกิดกุศลจิตอันใดเลย ยิ่งเราคาดหวังให้เขาเข้าใจให้เขาสำนึกแล้วไม่เป็นอย่างนั้น เราเองนี่แหละจะยิ่งร้อนรนจะยิ่งถูกโทสะกัดกร่อน เพราะทั้งเราและเขาต่างยึดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก 


                  เมื่อเป็นฝ่ายถูกต่างก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ ก็ยิ่งหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองมากขึ้น แต่เมื่อเรื่องราวไม่ได้ถูกตัดสินไปตามที่เราเข้าใจ หรือไม่ใช่อย่างเหตุผล 108 ที่เราหามาอ้างเพื่อเข้าข้างตนเอง ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์เพิ่มพูนขึ้น ภูวิษะเจ้าอาตมาคงบอกได้เพียงอย่างเดียวทุกข์นั้นเกิดจากจิต ท่านต้องดับทุกข์ด้วยตนเอง ปล่อยวาง...ให้อภัย มิต้องสนใจว่าผลจะออกมาตามที่เราหวังหรือไม่ เพราะเราบังคับผู้อื่นไม่ได้แต่ทำจิตตนเองให้สงบได้”


                  “ขออภัยขอรับพระคุณเจ้า ภูวิษะผู้นี้โง่เขลานักจึงได้ติดกับดักอยู่ภายในใจตนเอง” ชายหนุ่มฟังคำสอนแล้วความร้อนรุ่มจึงค่อยบรรเทาเบาบางลง จึงก้มลงกราบขอบพระคุณหลวงปู่แสน


                 “ดีแล้วโยม...เราปรุงแต่งจิตใจผู้อื่นไม่ได้ แต่ปรุงแต่จิตใจตนเองให้ผ่องแผ้วได้ ในเมื่อตั้งใจจะให้อภัยก็อย่าได้คาดหวัง แม้ผลตอบรับจะไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ตาม”


                 "เฮ้อ...ผู้หญิงก็แบบนี้แหละเจ้า รายไหนรายนั้นผิดแล้วยังงอนงี่เง่าทุกราย แต่เจ้าน่ะอย่าซีเรียสนักสิ อย่าไปสนใจคำพูดยัยฟ้านักเลย...ไม่งั้นคุยกันทีไรคงได้ควันออกหูทุกที"


                 "ฮึ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า...โยมคนนี้เห็นนั่งหลับอยู่เป็นนาน แต่เข้าใจธรรมะได้ดีนี่...ใช่แล้วหากปล่อยวางได้เหมือนเขา ท่านเองก็ไม่ถือสาเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงความว่างเปล่า จิตใจจะเกิดความสงบนิ่งไม่ร้อนเท่าตอนนี้”


                 “แหม...หลวงปู่ชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ”
                 ตรีภูมิลูบศีรษะแก้เขิน ไม่อยากบอกความจริงว่าเขาแค่เป็นคนไม่คิดมากอย่างเจ้าภูวิษะเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนลึกซึ้งในธรรมะอย่างที่เพิ่งถูกชมไปหรอก


                 “หนทางยังอีกยาวนะไม่เสร็จสิ้นง่ายๆ ดังที่ท่านปรารถนาหรอกภูวิษะเจ้า หากมีโอกาสก็ทำความเข้าใจกับสีกาใหม่อีกครั้ง ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไปเร่งรัดให้เขาเข้าใจเรา...และอย่าเพิ่งท้อถอยไปหมดกำลังใจ คนเคยมีกรรมร่วมกันมายาวนาน มิใช่แก้ไขง่ายๆ ได้ในวันเดียวหรอกโยม" 


                  หลวงปู่แสนพูดจามีลับลมคมนัยคล้ายมีนัยยะแอบแฝง แล้วยังแนะนำเจ้าภูวิษะให้ปรับความเข้าใจกับหญิงสาวอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ทั้งสองอาจจะไม่พบเจอกันอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างนิ่งเฉยไม่ช้าก็คงเข้าสู่ชีวิตปกติของตนเอง และคงลืมเรื่องโกรธเคืองนี้ไปในที่สุด แต่ตรีภูมิคิดว่าผู้ทรงศีลคงมิได้แค่ตักเตือนสั่งสอนเท่านั้นจึงกล่าวขึ้นมาแบบนี้ ยิ่งฟังก็ยิ่งทนอดรนสงสัยไม่ได้ หนุ่มร่างท้วมคันปากยิกๆ อยากถามเต็มแก่ตามประสาคนนิ่งไม่เป็น ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปตรงๆ


                 "หลวงปู่ครับ หมายความว่าเจ้าภูวิษะกับยัยฟ้าเคยมีกรรมร่วมกันมา? แต่สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันได้ 2 วันเอง งั้นกรรมที่ว่านี่หมายถึงชาติก่อนเหรอครับ?"
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามไปแบบนั้น แต่ก็ทำให้หนุ่มรูปงามทั้งสองจึงหันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว แต่ภิกษุชรารู้ทันคนถาม และคิดว่าเรื่องของผู้ใดก็คงต้องให้ผู้นั้นบอกกล่าวเอง จึงตอบเป็นกลางๆ ว่า


                 "คนที่มาพบเจอกันนั้น โดยมากก็เวียนว่ายตายเกิดทำบุญทำกรรมร่วมกันมา จึงได้วนเวียนมาพบกันอีก ไม่ว่าจะเป็นภูวิษะเจ้า วิมุตติ หรือแม้แต่โยม รวมทั้งนักศึกษาคนอื่นๆ หากไม่เคยมีบุญกรรมร่วมกันมาแต่ปางก่อน ก็คงแค่พบกันชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจากกันไปไกล แต่บางคนผูกพันกันมามากกว่านั้น ก็ยังคงต้องพบเจอกันต่อไป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกโยม"


                  หนุ่มร่างท้วมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ไม่อยากซักถามต่อ ประเดี๋ยวหลวงปู่จะใจดีเทศนาแถมให้อีกกัณฑ์หนึ่ง จึงได้แต่ยิ้มรับก่อนจะกราบลาขอตัวไปดูแลรุ่นน้อง ปล่อยให้สองหนุ่มรูปทองสนทนาธรรมกับผู้ทรงศีลต่อไป เมื่อลับร่างตรีภูมิแล้ว ภิกษุชราจึงหันมากล่าวกับนาคจำแลงที่นั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้า


                  "โยมนาค...เรื่องราวอาจไม่ง่ายดายอย่างที่ใจคิด หากตั้งเจตจำนงจะอโหสิกรรมชี้ทางให้เขาแล้ว ก็อย่าให้โทสะมาบังตารังแต่จะเพิ่มกรรมต่อกันมากกว่า"


                  "ขอรับพระคุณเจ้า...ขอบพระคุณที่ชี้แนะ" ภูวิษะเจ้ารับคำ แต่วิมุตติที่นั่งข้างเคียงหาได้เบาใจขึ้นเลย



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                 หลังอาหารเย็นของวันนั้น นักศึกษาทั้งหมดพากันทยอยเดินขึ้นรถโค้ชบัสที่โดยสารมาเพื่อกลับกรุงเทพ ตรีภูมิกล่าวขอบอกขอบใจเจ้าของสถานที่เป็นการใหญ่ โดยมีมิรันตีเป็นตัวแทนมอบของขวัญที่ระลึกแทนน้ำใจในครั้งนี้ด้วย วิมุตติยิ้มรับตามมารยาทไม่ได้สนใจสายตาหวานหยาดเยิ้มที่จ้องมองมาเลย ส่วนเจ้าภูวิษะนั้นไม่ได้มาร่วมล่ำลาคนอื่นๆ เพียงแต่ใช้สายตาส่งหญิงสาวเงียบๆ บนชานเรือนนั้น


                "พี่เจ้าคะ...แอนชอบที่นี่มากเลยทั้งเงียบสงบ ทั้งวิวสวย ติดใจ๊...ติดใจ วันหลังขอมาพักอีกได้ไหมคะ? " เจ้าหล่อนจงใจทิ้งไมตรีอย่างไม่ปิดบัง ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ


                "แม่คุณเขาไม่ได้เปิดเป็นรีสอร์ทให้พักนะเฟ้ย!!" ครั้งนี่ก็เป็นตรีภูมิอีกตามเคยที่ขัดคอหล่อนขึ้นมา


                "แอนรู้แล้วล่ะค่ะ...แต่แอนขอพี่เจ้าเป็นกรณีพิเศษต่างหาก...ได้ไหมคะ ? " ท้ายประโยคหล่อนหันไปอ้อนเขา


               "ถ้าผมอยู่ที่ไร่นะครับ....ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยู่รับรอง"


               "ได้เลยค่ะ แอนจะโทรมาก่อนนะคะ ว่าแต่...แอนยังไม่รู้เบอร์พี่เจ้าเลย"
มิรันตีควักมือถือขึ้นมาทันที หญิงสาวคิดว่าหล่อนขอเบอร์โทรของเขาได้อย่างแนบเนียน และไม่แสดงออกจนเกินงามนัก แต่อะไรก็ไม่เป็นไปดังคาดเมื่อวิมุตติตอบกลับมา


                "ผมไม่มีมือถือ"


                "หา? อย่ามาอำกันเลยค่ะ แอนไม่เชื่อหรอก..."
                หล่อนยังไม่ยอมแพ้ก็ยุคนี้มือถือแทบจะเป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วผู้ชายรูปหล่อฐานะร่ำรวยอย่างเขาน่ะหรือ จะไม่มีแค่มือถือเครื่องเชียว


                "ก็อยู่บนภูเขา...ไม่รู้จะโทรหาใครนี่ครับ" เขาตอบหน้าตาเฉยในขณะที่หล่อนทำหน้าไม่เชื่อถือ


               "จริงๆ ยัยแอนหาตัวมันยากจะตาย จะโทรหานี่ต้องโทรเข้าบ้าน แล้วกว่าจะไปแงะตัวมันออกกระท่อมน้อยปลายน้ำของมัน ให้มารับโทรศัพท์ที่เรือนใหญ่ได้นี่ รอไปอีกชั่วโมงเถอะ" ตรีภูมิการันตีความล้าสมัยของเพื่อน


               "เอ่อ...ถ้างั้นขอเบอร์ที่ไร่ได้ไหมคะ?"


               "ยัยแอนเอ้ยอย่าเสี่ยงเลยเชื่อพี่เถอะ ถ้าเสด็จพ่อมันรับสายขึ้นมาจะถูกซักฟอกจนตัวพรุนเชียวนะ" หญิงสาวยิ่งฟังก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ากำลังถูกรุ่นพี่อำเข้าให้หรือเปล่า จึงหันไปส่งสายตาถามเอากับเจ้าของไร่


               "ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย...เพียงแต่พ่อท่านไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้า ถ้าโทรมาครั้งแรกก็โดนซักถามมากหน่อย" มิรันตีฟังแล้วชักหวั่นใจจึงลดมือถือลง ไม่กล้ารบเร้าเขามากไปกว่านี้แล้ว


               "งั้นถ้าซื้อมือถือแล้วอย่าลืมให้เบอร์กับแอนเป็นคนแรกนะคะพี่เจ้า" หล่อนยังหยอดทิ้งท้ายได้หวานหยดตามเคย 


               "เอาล่ะลากันพอละ...ไปก่อนนะไอ้เจ้า แอนขึ้นรถได้แล้วเดี๋ยวก็ปล่อยทิ้งไว้นี่เสียหรอก" มิรันตีทำท่าแง่งอนและบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปขึ้นรถแต่โดยดี


                ในขณะที่เคียงฟ้าซึ่งเป็นกรรมการรุ่นและควบตำแหน่งเหรัญญิกไปในตัว กำลังเช็คข้าวของที่ท้องรถเมื่อครบทุกอย่าง แล้วจึงค่อยก้าวขึ้นรถไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะไปหล่อนหันกลับมายกมือไหว้วิมุตติ แต่ไม่วายเหลียวขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่บนเรือนชานนั้น หญิงสาวเห็นใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้อนของครู่อริรูปงาม ก็เชิดหน้าใส่บ้างและเดินขึ้นรถไป


                 วิมุตติเห็นแล้วต้องส่ายศีรษะให้กับกิริยาของคนทั้งสอง จนเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนระอา ขณะเดียวกันนั่นเองสายตาก็เหลือบแลไป เห็นเงาร่างสตรีผมยาวสลวยปล่อยยาวลงมาเกือบถึงปั้นเอว รูปทรงอรชรงามระหงในชุดผ้านุ่งยกดอกทอมือสีหมากสุกอวดเอวเปลือยคอดกิ่ว ท่อนบนนั้นพันผ้าแถบชิ้นเล็กสีเดียวกันแต่ปราศจากลายมัดตรึงทรวงอกกลมกลึง สีผ้านุ่งที่หุ้มห่มอยู่นั้นขับผิวที่เคยนวลผ่องแต่บัดนี้ซีดขาวจนน่ากลัวราวไม่มีเลือดหล่อเลี้ยง ให้เรืองรองเด่นชัดขึ้นในแสงสลัวจากดวงอาทิตย์ที่กำลังลับเหลี่ยมเขา


                  ดวงหน้าสตรีนางนั้นงดงามปานนางอัปสรามาจุติ ทว่าแววตานั้นกลับเรืองโรจน์ไปด้วยกองเพลิงร้อนทอแสงอยู่ภายใน วิญญาณหญิงงามหันมาจ้องมองชายหนุ่มแวบหนึ่งก็ก้าวขึ้นรถตามเคียงฟ้าไป วิทยาธรเทพตระหนักว่าตนเองมิได้ตาฝาดไปจึงนิ่งอึ้งไปด้วยความหวั่นใจ


                  ‘จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกหนอ…หรือเวลาแห่งการทวงหนี้กรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว...’



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2555
3 comments
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2555 2:47:34 น.
Counter : 2101 Pageviews.

 

บล็อกสีหวานน่ารักจังค่ะ

 

โดย: lovereason 24 พฤศจิกายน 2555 12:52:00 น.  

 

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: หวาน IP: 118.174.88.253 24 พฤศจิกายน 2555 13:29:38 น.  

 

โอ๊ยยยยยยยยยยย .. เห็นภพก่อนรักกันอยู่ดีๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นน๊าาาาาา อยากรู้ๆๆ ลุ้นนน จังค่ะ ^^

 

โดย: เจ้คนไกล IP: 223.206.72.134 15 กรกฎาคม 2556 22:48:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.