เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 13
ตอนที่ 13 เจ้าภูวิษะ
หญิงสาวนั่งบอกบุญไม่รับอยู่กลางกลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังรอรับประทานอาหาร มิรันตีเพิ่งอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วมารวมตัวกับคนอื่นๆ ที่เรือนใหญ่นี้ จึงได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกสนาน ส่วนตรีภูมิที่นั่งเงียบฟังความอยู่นานก็โบกไม้โบกมือไล่รุ่นน้อง เหมือนไล่ฝูงแมลงวันที่กำลังตอมอาหารไม่มีผิด
"น้องฟ้า...ก็แค่เข้าใจผิดกันมั้ง คนรู้จักของไอ้เจ้าคงไม่ทำอะไรพิเรนทร์หรอก"
"ฟ้าก็อยากให้เป็นอย่างนั้นค่ะพี่ตรี แต่เขาแทนที่จะอธิบายดีๆ ดันมาว่าฟ้าอีกปากร้ายเหลือเกิน"
"นั่นสิแอนเห็นด้วยกับพี่ตรีนะ คนหน้าตาดีคงไม่ทำอะไรบ้าๆ หรอก" มิรันตีแย้งขึ้นมา
"แอนคนเราไม่ได้ตัดสินกันที่หน้าตานะ คนหน้าตาดีโรคจิตมีถมไป" คนถูกต่อว่าไม่ได้เถียงแต่หัวเราะคิกคัก แล้วจึงกระซิบถามต่อ
"ว่าแต่ตกลงเห็นอะไรไปบ้างเหรอ? ที่ว่าเขาแก้ผ้าโชว์เธอน่ะ"
"บ้า!! ถามอะไรน่ะ" เท่านั้นแหละความตึงเครียดเมื่อครู่กลับถูกเสียงหัวเราะกลบจนจางหาย
"ไม่ทันได้เห็นหรอก ตานั่นตะโกนมาก่อนว่าจะขึ้นจากน้ำ ฉันก็เลยรีบหันหลังให้น่ะสิ"
"เอ๋า...ก็แปลว่าเขาบอกแล้วว่าโป๊อยู่นี่น้องฟ้า แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจนะ น้องฟ้าโชคดีเองต่างหาก เกือบได้เป็นตากุ้งยิงแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"นั่นสิ รับโชคกันแต่เช้า ฮ่า ฮ่า" คำพูดของตรีภูมิทำให้คนอื่นพลอยนึกขำไปด้วย จึงพากันผสมโรงจนกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว
"แต่ที่ขำกว่านั้นสิ ไอ้เจ้าน่ะร้อยวันพันปีมันเคยเปลี่ยนสีหน้ากับเขาที่ไหน เมื่อกี๊นี้นะมันตกใจตาแหกถึงขั้นทิ้งช้อนเลยนะ"
"แหม..พี่ตรีอะไรจะขนาดนั้น"
"เฮ้ยไม่เวอร์นะเว้ย!! ขำฉิบหายเลยต้องเห็นหน้าไอ้เจ้าตอนนั้น" ตรีภูมิเองก็พลอยออกรสออกชาติกับรุ่นน้องด้วย
เรื่องราวคลี่คลายลงไปเป็นอันมาก วิมุตติกับคนที่ตกเป็นที่ผู้ต้องหาก็พากันออกมาจากห้องพอดี กลุ่มที่กำลังนั่งคุยกันสนุกปากก็พากันเงียบเสียงลงราวนัดหมาย เคียงฟ้านั่งก้มหน้าหลบสายตาไม่ยอมมองหน้าคู่กรณี ที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเข่นเขี้ยวเต็มที่ ส่วนตรีภูมิหันไปยิ้มกับเพื่อนรัก คล้ายจะถามว่าตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
"น้องๆ ครับ ก่อนจะทานอาหารขอแนะนำให้รู้จัก...ญาติของพี่ เจ้าภูวิษะ"
คนแนะนำหันไปยิ้มกับหนุ่มรูปงามข้างตัว ใบหน้าของเจ้าภูวิษะยังคงเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มปรากฏ สิ่งที่ทำมีเพียงแค่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแทนคำทักทายเท่านั้น แต่ก็เรียกเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัว โดยเฉพาะมิรันตีเจ้าหล่อนทำตาโตจ้องมองชายหนุ่มรูปงามท่าทางสูงสง่าที่ยืนข้างๆ วิมุตติไม่วางตา
"เป็นเจ้าเชียวเหรอ?" ในขณะที่อีกหลายๆ คนพากันซุบซิบ
"ว่าแล้ว...พี่เจ้าน่ะถึงไม่ใช่เจ้าก็ต้องมีเชื้อเจ้า ก็ออกจะมาดดีเสียปานนั้น ญาติเขาก็...หล่อทั้งคู่เลย" จนเคียงฟ้าได้ยินเข้าหล่อนก็หันไปลอบค้อนเพื่อนๆ ที่มัวแต่ตะลึงรูปโฉมอีกฝ่ายจนลืมความทุกข์ร้อนข้องหล่อนไปหมดสิ้น
"คุณเคียงฟ้า" หญิงสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งขึ้นมาเมื่อวิมุตติเรียกหล่อน และจ้องมองมานัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นยังมีแววขำเจือปนอยู่
"เรื่องเมื่อครู่นี้....ระหว่างคุณกับเขามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เจ้าภูวิษะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ ปกติเขาเข้าออกที่นี่ได้ทุกเวลาเหมือนเป็นเจ้าของคนหนึ่ง วันนี้ผมไม่รู้ล่วงหน้าว่าเจ้าภูวิษะจะมา และเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีการรับน้องที่นี่ ไร่ของเราเงียบสงบมาตลอดไม่ค่อยมีผู้คน แล้วยิ่งเช้าตรู่แบบนั้นไม่คิดว่าคุณจะเดินเล่นไกลถึงที่ริมน้ำนั่น เขาแค่ลงว่ายน้ำแบบ...ใกล้ชิดธรรมชาติไปหน่อย และไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็นเข้า ก็เลย...เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น"
"อ๋อ...อ" เสียงหลายคนดังอุทานมายืดยาว แต่หญิงสาวยังนั่งหน้ามุ่ย
"แต่เขาก็ไม่ควรพูดจาหยาบคายจาบจ้วงขนาดนั้น" หล่อนจ้องหน้าเขาไม่ลดละ
"เรื่องนั้น....ผมขอโทษแทนก็แล้วกัน ในฐานะเจ้าภาพผมขอรับรองว่าเจ้าภูวิษะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะพี่เจ้า ถ้าถึงขนาดต้องให้คนอื่นมารับหน้าแทนฟ้าก็ไม่ต้องการคำขอโทษ" หล่อนยังหน้าตึงอยู่ในขณะที่ตรีภูมิช่วยออกหน้ารับแทน
"เอาน่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว ไปๆๆ แยกย้ายไปกินข้าวกันดีกว่า" แต่คนที่กำลังโดนต่อว่าอยู่กลับแทรกขึ้นมาด้วยความขุ่นเคืองพอๆ กัน
"คำขอโทษน่ะเราต้องมีให้แน่ แต่ผู้หญิงที่เอาแต่โวยวายแล้วกล่าวหาคนอื่นก่อนเล่า? จะมีคำขอโทษให้เราหรือไม่?"
"นี่คุณ!!"
หล่อนลุกพรวดขึ้นจากวงที่นั่งกันอยู่มาประจันหน้าเขาทันที หญิงสาวจ้องหน้าเขาไม่ลดละไม่หลบสายตา แต่น่าแปลกยามนี้ไม่มีไฟร้อนสีทองในแววตาคู่นั้นอีกแล้ว คู่อริรูปงามดูสงบนิ่งไม่ร้อนแรงเท่าเมื่อครู่นี้มาก ไม่นานนักเขาเป็นฝ่ายถอนหายใจและยอมออกปากขอโทษหล่อนก่อน
"เราขอลุแก่โทษ...เรามิได้ตั้งใจทำให้นาง...ให้คุณตกใจ ไม่คิดว่า...จะมีคนมาที่หนองน้ำเช้าขนาดนั้น"
น้ำเสียงนั่นไม่มีแววประชดประชันดังคาด คำพูดที่เตรียมไว้จะฟาดฟันอีกฝ่ายจึงต้องกลืนลงคอไป และตอบรับออกมาอย่างตะกุกตะกัก
"ฉะ...ฉัน ไม่เป็นไร...ฉันก็เองก็ไม่ดีเองที่โผล่พรวดพราดเข้าไป แต่ว่าคุณไม่น่าต่อว่าฉันรุนแรงขนาดนั้นนี่" เจ้าภูวิษะไม่ได้ตอบคำเพียงแต่จ้องมองหล่อนเงียบๆ
"อะ...อีกอย่าง ฉันถามอะไรคุณก็ไม่ตอบ ไม่อธิบาย อยู่ๆ ก็เดินตามมาฉันก็ตกใจสิ" พูดจบหญิงสาวก็ก้มหน้าหลบสายตา ทั้งที่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกแต่กลับประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
"นั่นเพราะคุณเชื่อแต่ในเหตุผลตัวเอง ไม่มองไปรอบตัวถึงไม่เคยเห็นเหตุผลอื่นนอกจากเหตุผลที่ตัวเองคิดเท่านั้น"
"เอ๊ะ?!! ก็ฉันขอโทษไปแล้ว อย่าถือโอกาสหาเรื่องได้ไหม" หล่อนขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ดูสิอุตส่าห์ตั้งใจจะสงบศึกแล้วแท้ๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องหล่อนนักนะ
"เราหรือหาเรื่อง?" ริมฝีปากรูปกระจับนั่นเผลอยิ้มออกมาจนแลมองเหมือนยิ้มเยาะ
"เราจะมาพบวิมุตติที่เรือนนี้ก็ต้องเดินมาทางเดียวกันมิใช่หรือ ?"
คราวนี้เคียงฟ้านิ่งอึ้งไปจนปัญญาจะหาคำมาคัดค้าน ก็จริงอย่างที่เขาพูดแต่ในขณะนั้นหล่อนกำลังวิตกจริตที่อยู่ๆ เดินคนแปลกหน้าเดินตาม
"ก็...ก็...."
"เอาเถิด...ภูวิษะผู้นี้ไม่เคยดีในสายตา...คุณอยู่แล้วนี่" เมื่อฟังจบหญิงสาวต้องเงยมองหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งด้วยความงุนงง หล่อนไม่แน่ใจว่าหูเฝื่อนฟังผิดไปเองหรือไม่ ความจริงเจ้าภูวิษะอาจจะต้องการพูดว่าเขาดูเป็นคนไม่น่าไว้ใจในสายตาหล่อนกระมัง
"กระจ่างก็ดีแล้ว มากินอาหารเช้ากันดีกว่า" เสียงวิมุตติดังขึ้นตัดบท และแยกเจ้าภูวิษะไปที่วงขันโตกที่จัดไว้ต่างหาก สำหรับตนเองและรุ่นพี่รุ่นเดียวกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เจ้าของไร่คลี่ยิ้มเป็นมิตรส่งให้ผู้ร่วมวงคนใหม่ก่อนจะเอ่ยกล่าว
"ภูวิษะ เราไม่ทราบล่วงหน้าว่าท่านจะมา...เลยไม่ได้เตรียมอาหารมังสวิรัติเอาไว้ให้"
"ไม่เป็นไรดอก...ขอโทษที่ทำให้ลำบากกับการมาไม่บอกกล่าวของเรา ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาขนาดนี้"
ชายหนุ่มสองคนยิ้มให้กันอย่างมีความนัย แต่ในสายตาตรีภูมิแล้วคนทั้งสองช่างแก่มารยาทกันเหลือเกิน จนเขาแทบจะแยกตนเองลดลงไปอีกชนชั้นหนึ่ง
"โอ้ย...ฟังเจ้าๆ เขาคุยกันนี่ ไอ้เรา เอ้ย กระผมรู้สึกว่าตนเองเป็นไพร่ไปทันที" หนุ่มร่างท้วมบ่นขึ้นมาแบบติดตลก
"แกเพิ่งรู้ตัวเหรอวะตรี" พงศ์เทพที่นั่งเงียบอยู่นานแซวขึ้นมา เขานึกดีใจว่าหากวงขันโตกนี้ไม่มีตรีภูมิร่วมอยู่ได้คงอึดอัดพิลึก อีกทั้งอยู่ต่อหน้าคนพวกนี้เขาเหมือนถูกบีบให้ใช้คำพูดสุภาพกว่าปกตินัก
"อ้าว? ไอ้พงศ์ถ้ากรูเป็นไพร่มึงก็ไพร่ด้วยกันนี่แหละว้า" เพื่อนรักไม่ได้ตอบโต้แต่หันไปพูดกับชายหนุ่มมากศักดิ์ทั้งสองคนแทน
"เจ้ากับเจ้าภูวิษะ...ท่าทางจะมีเรื่องส่วนตัวคุยกัน ถ้างั้นเดี๋ยวฉัน...เอ้ย ผม ขอตัวไปดูแลน้องๆ ดีกว่า ท่าทางต้องอบรมอีกเยอะเดี๋ยวเผลอทำอะไรไม่ถูกไม่ควรเข้า ก็ขอโทษด้วยนะเจ้าภูวิษะ น้องฟ้าไม่ได้ตั้งใจพูดจาไม่ดีใส่หรอก แล้วก็เจ้าวิมุตติด้วยโทษทีนะเดี๋ยวจะช่วยดุให้" เขาทำหน้าแห้งเหมือนต้องรับหน้าแทนสาวรุ่นน้อง ในขณะที่วิมุตติเห็นเป็นเรื่องขำขัน
"เราไม่ใช่เจ้า..." คนถูกเลื่อนยศยิ้มละมัย "เป็นแต่เพียงเจ้าที่ตรีตั้งให้เท่านั้นแหละ ไม่เหมือนภูวิษะที่เป็นเจ้าโดยกำเนิด" พงศ์เทพฟังแล้วยิ้มรับไม่ต่อความมากกว่านั้น แต่ลุกออกไปโดยไม่สนใจจะชวนตรีภูมิไปด้วยกัน
"เฮ้ย! ช่างน้องมันเหอะ เจ้าๆ เขาไม่ถือสากันหรอกเอ็ง...จริงไหมเจ้า...อ้าวไอ้พงศ์ไปไหนแล้ว" หนุ่มร่างท้วมยังพูดไม่ทันจบประโยคดี เมื่อหันมาอีกครั้งพงศ์เทพก็ลุกไปไกลเสียแล้ว
"อะไรวะไอ้พงศ์....เอ่อ..สงสัยมันเป็นโรคแพ้เจ้า อย่าถือสาเลยนะเจ้าภูวิษะ"
เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบเพียงแต่ยิ้มรับจางๆ ทั้งสามนั่งรับประทานอาหารไปเงียบๆ จนกระทั่งตรีภูมิซึ่งก้มหน้าก้มตากินอย่างเจริญอาหาร เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าภูวิษะนั้นแทบจะไม่ได้รับประทานอะไรเลย
"อ้าวเจ้าทำไมไม่กินล่ะ?" คนที่ตอบคำถามนี้แทนกลับเป็นวิมุตติ
"ภูวิษะอยู่ในช่วงถือศีลกินมังสวิรัติ เดี๋ยวเราค่อยให้ศรีบัวทำให้อีกชุด"
"เหรอ...กินแก้บนอะไรเหรอ?" ตรีภูมิเกาหัวแกร่กๆ ด้วยความงุนงง แต่ยังอุตส่าห์เดาส่งเดช
"ไม่ได้แก้บน มิได้บนบานสิ่งใดไว้ เพียงแต่เราอธิษฐานบางสิ่ง" เจ้าภูวิษะอธิบายคนร่างท้วมพยักหน้าหงึกหงักไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็เออออไปด้วยจนได้ ตามประสาผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดีนั่นเอง
"ว่าแต่...ผู้หญิงคนนั้น" เจ้าภูวิษะลดเสียงลงแผ่วพลางเหลือบไปมองทางที่เคียงฟ้านั่งอยู่
"เคียงฟ้า เธอชื่อนั้น" ผู้อ้างตัวเป็นญาติชิงตอบมาก่อน แล้วมองไปยังหญิงนางที่ถูกกล่าวถึง
"อ๋อ...น้องฟ้าน่ะเหรอ? อย่าไปถือสาเลยผู้หญิงก็แบบนี้แหละ เอะอะโวยวายเจออะไรก็กรี๊ดไว้ก่อน ว่าแต่เจ้าน่ะแจ็คพ็อตแตกแต่เช้าเลยนะ ฮ่า ฮ่า"
ว่าแล้วตรีภูมิก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ในขณะที่เจ้าภูวิษะนิ่งอึ้งปั้นแต่งสีหน้าไม่ถูก เมื่อเหลียวไปมองคนนั่งข้างตัวก็พบว่าวิมุตติเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยความเกรงใจหากเผลอเผยอยิ้มตามไปด้วย
"วิมุตติ..."
"ไอ้เจ้า...แกไม่ต้องมาทำเป็นหันไปทางโน้นเลยนะ ฉันรู้นะว่าแกหัวเราะอยู่ เอาน่าเจ้าภูวิษะอย่าคิดมาก ถือว่าวันพระไม่ได้มีวันเดียวให้ไอ้คุณวิมุตติมันหัวเราะไปก่อน"
"วันนี้ไม่ใช่พระนี่ ยังมีหลายค่ำนัก" ทว่าเจ้าตามศักดิ์โดยกำเนิดกลับไม่เข้าใจสิ่งที่ตรีภูมิพูด
"มันเป็นสำนวนล้อเล่น หมายถึงยอมๆ ไปก่อนสมมุติว่าวันพระไม่ควรโกรธน่ะ" คนฟังยังนั่งนิ่วหน้าคล้ายไม่พอใจ
"สำนวนแปลกจริง คนเมืองเขาชอบเอาวันเวลามาล้อเล่นกันหรือ?"
คนเริ่มเรื่องฟังแล้วแทบสำลักออกมากับความเชยของอีกฝ่าย พลางถามตัวเองว่าหรือเขาจะขี้เล่นเกินไปกันนะ ในขณะที่กำลังนั่งอ้าปากค้างพลางคิดว่าจะตอบยังไงดี เพื่อนของเขาก็ชิงเป็นฝ่ายอธิบายแทน
"เวลาเปลี่ยน สังคมก็เปลี่ยนไป ความหมายนี้มิใช่หมายถึงการดึงลงต่ำ ตรีไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะดอก อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่ดีของเรา ระหว่างไปเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ได้เขาช่วยเหลือเราหลายอย่าง ทั้งเรื่องการปรับตัว เราไม่มีสหายนัก สิ่งแปลกใหม่นอกเหนือจากที่เรารู้ก็ได้เรียนรู้จากตรีนี่แหละ" เจ้าภูวิษะฟังแล้วจึงคลี่ยิ้มให้ตรีภูมิบ้าง
"ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงต้องเรียนรู้จากคุณตรีบ้าง"
"โห...ชมจนจะลอยอยู่แล้ว ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเจ้า ผมแค่มนุษย์สัมพันธ์ดีเลยชอบหน้าเสนอหน้าไปคุยกับเขาไปทั่ว ส่วนไอ้เจ้านี่มันขี้เก๊กใครๆ เลยไม่กล้าชวนคุยเท่านั้นเอง"
"ไม่หรอก เราเชื่อว่าหากวิมุตติเอ่ยชม คุณตรีคงเป็นคนดีอย่างแน่นนอน"
"โอ้โฮ...เขินวุ้ย เจ้าครับผมจะอิ่มเพราะเล่นชมกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้นี่แหละ" ชายหนุ่มทั้งสองมองท่าทางตรีภูมิแล้วคลี่ยิ้มออกมา
"คุณตรี...ในกาลหน้าเราอาจมีบางสิ่งต้องรบกวนคุณ" เจ้าภูวิษะเอ่ยขึ้นมา
"กาล? อ๋อ...แหมใช้อย่าใช้ศัพท์สูงกับไพร่ๆ อย่างผมเลย เรียกตรีเฉยๆ ก็พออย่าเรียกคุณเลยเจ้าขนลุก จะไหว้วานอะไรก็บอกผมเพื่อนไอ้เจ้าก็เหมือนเป็นเพื่อนคุณด้วยนั่นแหละ"
"ขอบคุณมาก...ถึงเวลานั้นมาถึงเราอาจต้องขอรบกวน"
ตรีภูมิไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนั้นนัก เพียงแต่คิดว่าญาติของเพื่อนนั้นแปลกไม่แพ้เพื่อนตนเองจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังอาหารเช้ามื้อนั้นตรีภูมิพาคณะออกไปผจญภัยกับการรับน้องเช่นเดียวกับวันแรก กลุ่มหญิงสาวพากันแห่มารุมล้อมเขาเอาไว้ แล้วยิงกระหน่ำยิงคำถามใส่จนแทบฟังไม่ทัน จนตรีภูมิต้องบอกให้พูดทีละคนจึงค่อยสงบลงบ้าง มิรันตีเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นมา
"พี่ตรีคุยอะไรกันกับเจ้า 2 คนนั้น เห็นหัวเราะกันลั่นเลย" หนุ่มร่างท้วมนึกแปลกใจเมื่อเห็นสายตาใคร่รู้ของสาวๆ
"เขาว่าอะไรฟ้าหรือเปล่าคะ?" รุ่นพี่ของพวกหล่อนยังไม่ตอบคำถามแรก เคียงฟ้าถามแทรกขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
"เอ๋า! ยัยนี่...คิดมาจริงแม่คุณใครเขาไปว่าอะไรเธอ"
"ก็แค่ถามดูน่ะค่ะ" เห็นรุ่นน้องทำสีหน้าไม่ดีหนุ่มร่างใหญ่ก็เลิกทำหน้าเข้มใส่
"ทำไมล่ะ? อย่าอคติกับเขาสิ เจ้าเขาไม่มีอะไรหรอก ติดจะเชยๆ ตามประสาเจ้าไม่ค่อยได้เจอไพร่ ๆ อย่างพวกเราเลยแก่มารยาทไปหน่อย นี่น้องฟ้าทีหลังก็อย่าปากไวนักถามก่อนค่อยด่าทีหลังก็ได้"
ไม่ใช่ฟ้าไม่ถามนะคะ เขาไม่ตอบต่างหากแถมเชิดใส่ฟ้าด้วย
เอาน่าๆ พวกเจ้าก็เป็นงี้แหละขี้เก๊กเป็นกฎประจำตระกูล อย่าไปสนใจเลย
แต่ว่า...แบบนี้ก็กลายเป็นฟ้าเป็นฝ่ายหาเรื่องเขาสิคะ หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่ไม่ทันได้ถามต่อก็โดนมิรันตีผลักให้ถอยห่างออกไป เพื่อจะคุยกับตรีภูมิบ้าง
อย่าไปสนใจยัยฟ้าเลยค่ะพี่ตรี ก็ไปหาเรื่องเขาจริงๆ นี่นาสมควรที่เขาจะโกรธอยู่หรอก ว่าแต่เมื่อกี้พี่ตรีบอกว่าไงนะคะ...เขาเคร่งมารยาทเหรอคะ?
ก็ประมาณนั้น...เขาเป็นผู้ดีนี่ อย่าไปลามปามเล่นหัวแล้วกัน ถ้าคุยธรรมดาก็ไม่ถือสาอะไรขนาดนั้นหรอก ตรีภูมิตอบด้วยอาการงงๆ เพราะยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของรุ่นน้อง
"งั้นพวกเราก็ต้องทำตัวเป็นผู้ดีกันหน่อยแล้วสิคะ เดี๋ยวเจ้าหนุ่มๆ เขาจะไม่ชอบใจ" มิรันตีคลี่ยิ้มหวานแล้วหันไปพยักพะเยิดกับกลุ่มเพื่อน ที่ผงกหัวสนับสนุนเป็นทิวแถว
"อะไรฟะยัยแอน ไหนว่าเล็งไอ้เจ้าไงทีแรก แล้วไหงย้ายไปเจ้าภูวิษะแล้วล่ะ"
"แอนยังไม่ได้ปักใจอะไรแน่นอนสักหน่อยนี่คะ ขอเก็บรายละเอียดก่อนค่อยตัดสินใจ"
"ใช่ค่ะพี่ตรี คนนั้นก็หล่อคนนี้ก็เท่ อย่าว่าแต่แอนเลยค่ะพวกหนูก็ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน" แล้วบรรดารุ่นน้องก็หัวเราะเสียงใสกันขึ้นมา
"ปัดโธ่...รุ่นน้องฉัน บอกมาได้ไม่มีอายเลยสักคนนะ ใช่สิสองคนนั้นมันหล่อนี่..แบบนี้มีหวังหนุ่มๆ ในคณะเราน้อยใจแย่เลย" ตรีภูมิส่ายหน้าคงมีแต่เคียงฟ้าเท่านั้นที่ยืนหน้าบึ้งอยู่
"อย่านับรวมฟ้าเข้าไปด้วยนะคะ"
"ดี...ตัดศัตรูหัวใจออกไปได้อีก 1 คน" มิรันตีหันไปจ้องหน้าแล้วแค่นเสียงใส่หญิงสาว สิ้นประโยคนี้ทั้งกลุ่มก็พากันหัวเราะเสียงดังออกมา
"แล้วตกลงเจ้าภูวิษะเขามีแฟนหรือยังคะ?" บรรดาสาวไม่ยอมให้เสียเวลาเปล่า พวกหล่อนพากันรัวถามตรีภูมิอย่างต่อเนื่อง
"ไม่รู้เว้ย! ไม่ได้ถามเพิ่งเจอหน้ากันเดี๋ยวเดียวใครจะไปถามกันหา?" พอตอบคำถามนี้เสร็จ คำถามใหม่ก็พุ่งเข้ามาแทนที่ทันที
"แล้วพี่เจ้าล่ะคะ?"
"เอ...ไอ้นั่นท่าจะยังมันเพิ่งสึกมาปีที่แล้ว คงยังไม่อยากเบียด"
"งั้นก็มีลุ้นเนอะ...พี่ตรีคะช่วยสืบให้หน่อยสิ เจ้าๆ เขาชอบผู้หญิงแบบไหน? สวยใส หรือเปรี้ยวนิดๆ หรือสาวแจ่มใสมนุษย์สัมพันธ์ดี" ตรีภูมิฟังแล้วส่ายหน้าด้วยอาการหมั่นไส้
"โอ้ย...พามารับน้องนะเว้ย! ไม่ได้มาพาชะนีมาคืนป่า!!" หนุ่มร่างท้วมทำหน้าทะเล้นใส่ ได้ผลในทันใดพวกหล่อนพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดใส่เขาทันที
"กรี๊ดดดด!! พี่ตรีบ้า!!?" หลังจากนั้นชายหนุ่มก็โดนสาวๆ ทั้งกลุ่มไล่ทุบจนต้องวิ่งหนีกันชุลมุน เพื่อนร่วมคณะเห็นเข้าก็พากันหัวเราะชอบใจและส่งเสียงเชียร์กันใหญ่
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มถึงรูปโฉมชายหนุ่มที่เป็นหัวข้อสนทนากันนั้น ไม่มีรู้เลยว่าเคียงฟ้ารู้สึกอึดอัดกับผู้ชายมาดดีทั้งสองคนนั่นอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด มันคล้ายเมฆหมอกปกคลุมมองไม่ชัดจนขุ่นมัวไปหมด กับวิมุตตินั้นหล่อนนึกขยาดดวงตาที่คล้ายจะมองทะลุความคิดคนอื่น และเฝ้าจับตามองหล่อนอยู่ตลอด แต่ที่คนที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกแย่จนจมดิ่งคงไม่มีใครเกินไปกว่าผู้ชายยโสอย่างเจ้าภูวิษะคนนั้น กับแววตาวาวโรจน์ยามจ้องมาที่หล่อน มันเหมือนชายหนุ่มกำลังเอาความโกรธแค้นทุ่มใส่หล่อน ราวมีเรื่องแค้นเคืองกันมาสักสิบชาติ แต่พอจะถามเขากลับนิ่งเงียบไป สิ่งที่แสดงออกมานั้นมีแต่อาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
เคียงฟ้าบอกตนเองว่าแม้หล่อนจะเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาสามัญชนไม่ได้เป็นเจ้ามียศมีศักดิ์อย่างเขา แต่เขาก็ไม่ควรแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาขนาดนั้น ความประทับใจที่มีแต่แรกเริ่มจึงติดลบเป็นศูนย์ หล่อนได้แต่เร่งวันเร่งคืนให้การรับน้องครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยไว จะได้ไม่ต้องพบหน้าสองหนุ่มรูปทองนั่นอีก
แต่คำภาวนานี้ไม่เป็นผลเอาเสียเลย ตลอดทั้งวันนั้นแววตาประกายกล้าของใครบางคนรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเสียงพร่ำเพรียกในมโนสติอันหาที่มาไม่ได้ ดังก้องอยู่ในจิตดังคอยเตือนเป็นระยะ เมื่อแรกหล่อนคิดว่าหูแว่วไปเองแต่เมื่อเหลียวหาที่มาก็พบเพียงเสียงเฮฮาของกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ และเสียงพูดสนทนาของเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น ทำเอาหล่อนขนลุกเกรียวด้วยความหวาดหวั่นเลยทีเดียว เมื่อเสียงลึกลับนั่นพร่ำพูดว่า....
'เจ้ามิอาจหนีพ้นดอก....มหิตา...เทวีแห่งเรา!'
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 17 ตุลาคม 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 17 ตุลาคม 2555 0:59:38 น. |
Counter : 2615 Pageviews. |
|
|
|