จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กันยายน 2556
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
22 กันยายน 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 58

ตอนที่ 58



            เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงที่พินทุมณีเทวีทรงหว่านเมล็ดไว้ในใจพระขนิษฐา เริ่มแตกต้นอ่อนและเจริญงอกงามขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งพุ่มพฤกษ์ในฤดูฝน เหลืออีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเวลาแห่งการศึกจะมาถึง แน่งน้อยโฉมโสภาทรงอึดอับคับข้องในพระทัยยิ่งนัก ยามบรรทมก็มิอาจบรรทมได้อย่างสนิทใจ ความวิตกกังวลคอยแต่จะรุมเร้าเข้ามา


             ‘อีกไม่ช้าเธอเป็นบ้าไปแน่ๆ’ เสียงที่ไร้ผู้คนได้ยินกล่าวอยู่ข้างพระวรกาย หลังจากเคียงฟ้าเฝ้ามองอาการมาหลายวัน


             ‘นี่ฉันจะทำยังไงดี?’


             “นี่ข้าจะทำกระไรดี?”


             สองเสียงกล่าวออกมาด้วยใจตรงกัน แต่ต่างกันที่กังวลไปคนละเรื่อง ดวงหทัยของมหิตาเทวีอยู่ที่ภูวิษะเจ้า ส่วนใจของเคียงฟ้าจดจ่ออยู่กับมหิตาเทวี ต่างฝ่ายจึงพากันกลุ้มใจไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อคิดไม่ออกหญิงสาวจึงละความสนใจจากนางเทวีไปชั่วขณะแล้วเดินออกไปภายนอก หล่อนเดินจนรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งลงที่ศาลาริมหนองน้ำในอุทยานหลวง


             “อาจารย์คะ...ฉันจะช่วยมหิตาได้ยังไง?” หล่อนรู้ว่านี่เป็นอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เคียงฟ้าไม่อาจทำใจเป็นผู้เฝ้าดูและวางเฉยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ หล่อนรู้...อีกไม่นานมหิตาเทวีต้องก่อเรื่องร้ายขึ้นมาแน่ๆ บางที...นางอาจจะ...ทำในสิ่งที่พินทุมณีเทวีตรัสยุยงไว้ก็เป็นได้


             ‘…ทำใจ’ เสียงนั้นลอยลมมาแผ่วๆ จนหล่อนไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า จึงลองเรียกดูอีกครั้ง


             “อาจารย์คะ ได้ยินเสียงฟ้าไหม?” เงียบ...ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หล่อนจึงได้แต่ถอนหายใจดังเฮือก


              ในขณะเดียวกันอีกห้วงของกาลเวลา ใครบางคนที่เคียงฟ้าเรียกหากำลังเฝ้ามองดูหล่อนผ่านกระจกเงาบานใหญ่ เงาที่สะท้อนกลับมานั้นหาใช่เงาเจ้าของร่างไม่ หากเป็นภาพของหญิงสาวที่ท่องอยู่ในอดีตกาล ภาพนั้นกระจ่างชัดไม่ต่างกับมองเห็นด้วยตาตนเอง


              “ขอให้เจ้าได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา จิตจะได้ไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์ ไม่นานหรอกเคียงฟ้าเอ๋ย เวลาแห่งการตัดสินใจจะมาถึง”


              เงาของผู้พูดค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกระจก หากแต่อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นแตกต่างจากรูปลักษณ์จริงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีดำ ร่างในกระจกเปลือยแผ่นอกกว้าง ทรงสังวาลย์เส้นใหญ่ และพาหุรัดทั้งสองพาหา ผ้าภูษาเป็นสีขาวประกายทอง ชายผ้าที่ยาวลงมาปิดชานุด้านหนึ่งปักตราดอกสีแดง ครู่ต่อมาทั้งเงาและร่างนั้นก็พลันหายไปจากหน้ากระจก ในเงาไม่สะท้อนภาพแปลกปลอมอันใด นอกจากผนังด้านตรงกันข้ามกับกระจกเท่านั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



             “กุสุมาลย์ได้ยินข้าหรือไม่?” เสียงทุ้มนุ่มลึกเรียกเรื่อยริน


             เจ้าของนามไม่ต้องการพบหน้าวิทยาธรเทพ หากแต่ไม่อาจทนคลื่นที่รบเร้าจากเสียงก้องกังวานนั้นได้ ยิ่งทำนิ่งเฉยไม่ใส่ใจเสียงนั้นยิ่งเร่งเร้าจนมิติที่หญิงงามซ่อนเงาอยู่สั่นไหว


             “กระไรกันนี่?”


             วิญญาณสาวเหลียวมองรอบกาย พบว่าบรรยากาศบีบคั้นจนมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกสรรพสิ่งค่อยกลืนหาย กุสุมาลย์หลับตานิ่งพยายามฝืนกายไว้ แต่ครู่เดียวที่หลับตาลงทุกอย่างก็คลายตัวลง ไม่มีเสียงเร่งเร้า ไม่มีสิ่งใดน่าหวาดหวั่นเช่นเมื่อครู่ นางจึงค่อยลืมตาขึ้นแล้วพบบุรุษที่แสนชังน้ำหน้ายืมยิ้มอยู่ข้างกาย


            “ท่าน!!”


            “เป็นเราเอง ปล่อยให้เรียกอยู่เนิ่นนาน” กุสุมาลย์ถลึงตาใส่เจ้าของอำนาจที่นำนางมา


            “มีธุระกระไร? ไฉนต้องบีบเค้นลากตัวเรามา”


            “เราแค่ใคร่ขอเชิญแม่คุณมานั่งสนทนากัน”


            “ข้าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่าน”


            “อย่าเพิ่งตัดรอนสิ...ดูนี่ก่อนเป็นไร” หญิงงามจึงค่อยคลายสีหน้าบึ้งตึง แล้วจึงพบว่าตนเองนั่งอยู่ในศาลาซึ่งปลูกสร้างอยู่ในสวนกว้างแห่งหนึ่ง


            “ที่นี่?...” ลุกเดินออกจากศาลาแล้วเหลียวมองไปรอบกาย ทุกอย่างช่างคุ้นเคยดังเห็นมาจนเจนตา สวนอันกว้างใหญ่และงดงามด้วยพฤกษานานาพันธุ์นี้จะเป็นที่ใดไปมิได้ นอกจากอุทยานหลวงแห่งนครจุมภะ


            “ท่านพาข้ากลับมาที่นี่ทำไม?”


            “อยากให้แม่ช่วยสักหน่อย”


            “ช่วย? ถ้าเป็นช่วยเหลือนางบาปนั่น ท่านอย่าหวัง” ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาทันที


           “มิใช่ เราใคร่จะซักถามแม่ ในฐานะพยานเสียหน่อย” อีกฝ่ายตอบ


           “พยาน?”


           “นางอยู่ที่นั่น” กุสุมาลย์มองตามทิศที่บุรุษองอาจชี้มือไป จึงพบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งเดินชมสวนอยู่ มองดูก็รู้ว่าพวกนางเป็นนางกำนัล ตรงกลางมีพินทุมณีเทวีเป็นเดือนเด่น


           “พระพี่นาง?” ผีสาวอุทาน ด้วยนึกไม่ถึง ในใจคิดไปว่าคนที่จะพบเป็นมหิตาเทวีแต่เมื่อไม่ใช่นางจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


           “ใช่...เป็นนาง เราเรียกแม่มาด้วยเหตุว่า นอกจากมหิตาเทวีแล้วแม่ยังเป็นเจ้ากรรมนายเวรของหญิงนางนี้ด้วย” กุสุมาลย์เม้มริมฝีปากแน่น


           “แค้นนางหรือไม่ ประสงค์จะคิดบัญชีกับนางหรือไม่? นางทำกรรมร่วมกับมหิตาล่อลวงแม่ให้เสียโฉม” มือเรียวนั้นกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ


           “หากข้ามิได้กระทำสิ่งใดกับนาง แม้แต่จองเวร แล้วนางจะหลุดรอดจากกงกรรมหรือไม่”


           “ไม่!” เสียงนั้นตอบหนักแน่น “แม้เจ้ากรรมละเว้นให้ ไม่จองเวร แต่กรรมที่กระทำอย่างไรก็ต้องชดใช้ กงล้อกรรมมันเริ่มหมุนตั้งแต่นางกระทำผิดแล้ว”


           “หลังจากที่ข้าตาย นางกระทำสิ่งใดอีกหรือไม่”


           “อีกมาก...ก่อกรรมเลวเพิ่มจนทับถมตัวเอง”


           “นางจะได้รับโทษสถานใด?”


           “ก่อนจะพิจารณาโทษ จึงต้องเรียกแม่มาซักถามเสียก่อน” สายตานั้นจริงจังนักมิมีแววกรุ้มกริ่มหยอกล้อเหมือนอย่างเคย


           “วิมุตติไฉนวิทยเทพอย่างท่าน จึงได้รับสิทธิ์ในการพิพากษ์กรรม” หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตา ในแววตานั้นหามีความทุกข์ ความแค้น หรือความรักอันใด สิ่งที่ปรากฏออกมามีเพียงความฉงนฉงายเท่านั้น


           “เพราะกรรมของพินทุมณีเทวีเกี่ยวเนื่องกับเมือง การล่มสลายของเมืองนางมีส่วนร่วม จึงถูกนับรวมเข้าไปคดีที่เราดูแลอยู่ ไม่เฉพาะภูวิษะเจ้าหรือมหิตาเท่านั้น”


           “พินทุมณีนางหญิงชั่ว!!...ข้าอุตส่าห์ไม่จองเวร คิดว่าเจ้ามิมีเจตนาจะทำร้ายข้า แต่นี่กลับ...เป็นถึงราชธิดาแท้ๆ ไฉนจึงทำให้เมืองของตนล่มสลายกัน บรรพกษัตริย์ตลอดจนผีเมืองคงไม่ให้อภัยนาง”


           “หึ หึ” บุรุษข้างกายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ทำให้ผีสาวหันขวับกลับไปจ้องทันที


           “มีกระไรน่าขบขัน เมืองทั้งเมืองล่มสลาย ผู้คนต้องตายมากมาย ครอบครัวแตกแยกกระสานเซ็นเช่นนี้ ท่านยังเห็นเป็นเรื่องน่าขันไปได้รึ?”


           “มิได้...แม่คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ที่ข้าขบขันเป็นนางต่างหาก แม่แค้นถึงเพียงนี้แต่ยังใช้เหตุและผลแยกแยะเจตนาที่ทำร้ายตนได้อีก นี่สิ..จะว่าพิกลก็พิกลนัก ทีมหิตาเทวีไฉนจึงจองแค้นนักหนา”


           “วิมุตติท่านมิใช่คนเขลา ไม่จำเป็นต้องถามข้ากระมัง เหตุผลนั้นท่านคงเข้าใจกระจ่างแจ้งดีอยู่แล้ว” หญิงงามจ้องหน้าด้วยสายตารวดร้าวนัก บ่งบอกให้รู้ว่านางจริงจังกับสิ่งที่กล่าวมาเท่าใด


           “ขออภัยเถิด...เรามิใช่สัพพัญญู แม้รู้ด้วยตาแต่ไม่อาจกระจ่างแจ้งด้วยใจ สู้ให้แม่แถลงไขเองดีกว่า”


           “ถือเป็นคำให้การใช่หรือไม่?”


           “จะว่าใช่ก็ใช่ จะไม่ก็ไม่ เราอยากรับฟังในฐานะสหาย”


           “สหาย? ข้ารึเคยเป็นสหายของท่าน” นารีแสนงามเดินปั้นปึ่งเลี่ยงไปนั่งห่างออกไป ทำเอาสัตบุรุษยิ้มขำแล้วเดินตามไปทอดร่างลงนั่งเคียงนาง


           “หรือแม่อยากให้เรารับฟังในฐานะบุรุษที่ใคร่พึ่งพิงก็ย่อมได้ ” สิ้นคำกล่าวหน้านวลของกุสุมาลย์ก็ร้อนผะผ่าว


           “ท่าน...ข้าจะไม่พูดกับท่านแล้วนะ หากยังเกี้ยวพาราสีอีก” ดวงตาคู่งามค้อนขวัก


          “มิได้เกี้ยว หากอยากให้นางพึ่งพาโดยสัตย์จริง จงเชื่อในวิทยฐานะของเราเถิด” กึ่งเทพรูปทองสำทับถึงภาระหน้าที่แห่งตน


          “ถ้าอย่างนั้นท่านอยากจะถามกระไรก็เชิญเถิด”


          “ต้องการให้เคียงฟ้ากระทำสิ่งใดเพื่อแม่ได้บ้าง ความทุกข์ความแค้นจะได้ทุเลาลง” หญิงงามเงียบไปเนิ่นนาน นัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่ในภวังค์แห่งตน


          “นาง...ไม่อาจทำสิ่งใดได้ดอก สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขมิได้ เอาชีวิตเราคืนมามิได้”


          “แม่ต้องการมีชีวิตอีกครั้ง?” วิมุตติขยับปากจะกล่าวว่าหากปล่อยวางก็สามารถไปสู่ภพภูมิอื่นได้ แต่ยั้งไว้มิทันได้พูดเมื่อเห็นนางกำลังจะเอื้อนเอ่ยขึ้นมา


          “ไม่...แต่ข้ากำลังรอ”


          “รอสิ่งใด?”


          “บางทีอาจจะรอการมาของท่าน รอให้ทุกสิ่งยุติลงจริงๆ เสียที”


           “ความจริงแล้วแม่ยุติทุกสิ่งลงได้ด้วยตัวเอง มิต้องรอให้เราหรือใครมาปัดเป่าให้ก็ย่อมได้”


           “มิได้”


           “ไฉนเล่า?”


           “วิมุตติหัวใจท่านเคยมี ‘รัก’ ไหม?”


           “รัก?”


           “ใช่...รัก ความรักที่ท่านมีให้แก่ผู้อื่น อาจเป็นพี่น้อง ผองเพื่อน”


           “ย่อมต้องมีแน่นอน”


           “ข้ารักภูวิษะเจ้า!” บุรุษที่นั่งเคียงข้างมาตลอด แม้รักษาท่าทีสงบเสงี่ยมได้แต่หากดวงตายังเบิกค้างสีหน้าหม่นไปชั่วขณะ


           “ข้าเข้าใจ...ภูวิษะเป็นชายที่น่าชื่นชม”


           “มิใช่รักด้วยกิเลส ข้าเติบโตมาภายใต้การคุ้มครองของนาคาเทพ ทั้งชีวิตจวบสิ้นลมหายใจก็ล้วนอยู่ภายใต้ลิขิตพญามหิทธราบดี ผู้คนทั้งปวงในจุมภะก็ล้วนกราบไหว้บูชาพญามหิทธราบดีทั้งสิ้น ข้ามิเคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เห็นราชบุตรแห่งจอมบาดาล ท่านรู้ไหมเมื่อแรกเห็นข้ารู้สึกเช่นใด” ผู้ฟังส่ายศีรษะ


           “ภูวิษะเจ้าเป็นบุรุษที่งามนัก งามทั่วสรรพางค์กาย ท่วงท่ากิริยาก็พิลาสล้ำหาชายใดเทียม แค่มองปราดเดียวข้าก็รู้ว่าท่านเป็นผู้ใดจำแลงมา นับเป็นบุญของข้านักที่ได้ชมโฉมและถวายการรับใช้อย่างจะหาใดเปรียบปานได้ ข้าบูชาท่าน รับใช้ท่านด้วยความปรีดา หากมีสิ่งใดที่ข้ากระทำให้ท่านได้ข้าก็ยินดีนัก แม้จะเป็นเรื่องน้อยนิดเท่าใดก็ตาม” นางทอดถอนหายใจเมื่อกล่าวถึงเรื่องวันวาน


           “ข้าหวังเพียงแค่...ท่านจะหันมามองข้าบ้าง ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนเท่านั้น”


           “แค่มองเท่านั้นรึ?” โฉมงามพยักหน้า


           “แค่นั้นข้าก็พอใจแล้ว เป็นวาสนาอย่างสูงสุด ข้าอยากให้ท่านอำนวยพรให้ข้า ให้มารดาของข้า พูดจากับข้าบ้างในฐานะที่ข้าเป็นเบื้องบาทซึ่งภักดีนัก แต่ท่านมิเคยเหลียวมองเลย”


            “ภูวิษะเอ็นดูแม่ มิเช่นนั้นจะไม่ประทานสิ่งของต่างๆ ให้”


            “วิมุตติ...ท่านก็รู้ มิใช่ท่านประทานเพราะทรงโปรด แต่ประทานให้เนื่องด้วยข้ารับใช้มหิตาเทวีเท่านั้น มิมีสิ่งใดมากไปกว่านี้” นางยิ้มเยื้อนให้บุรุษข้างกาย นัยน์แววตานั้นเศร้าหมองนัก


            “ความรักของข้ายังมีอีกหนึ่ง...ข้ารักมหิตาเทวี รักนางเช่นเดียวน้องร่วมสายโลหิต ความจริงแล้วหากนางต้องการให้ข้าตาย ข้ายอมได้ตามความประสงค์ของนางเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่....” กล่าวได้เพียงแค่นั้นน้ำตาก็ร่วงเป็นสาย ร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาใกล้


            “ร้องเถิดแม่คุณ...หากทำให้เจ้าคลายทุกข์ใจได้” กล่าวพลางยกนิ้วขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มนวล


            “แต่เด็กมาข้าถูกสั่งสอนว่าหากพระเทวีประสงค์สิ่งใด หากเป็นสิ่งที่ข้ามีก็ต้องให้ หากเป็นสิ่งเดียวกันก็ต้องล่าถอย ตลอดมาข้ามิเคยขัดข้อง หากมีอันตรายข้าต้องขวางแม้แลกด้วยชีวิต ท่านเข้าใจหรือไม่นี่เป็นวิถีของนางกำนัล” กึ่งเทพพยักหน้าให้นางอีกครา


            “ข้าทำเช่นนั้นมาตลอด จนนางพบภูวิษะเจ้า...เมื่อแรกข้าไม่เชื่อ แต่ต่อมาก็รู้ว่านางได้พรจากมหิทธราบดี ข้าหวังว่านางจะสูงส่งกว่าเทวีองค์ใด เราทั้งสองจึงรอคอยวันที่ราชบุตรแห่งพญานาเคนทร์จะเสด็จมาตามสัญญา แล้วท่านก็มา ข้าตกตะลึงภูวิษะเจ้างามดังชะลอลงมาจากฟ้า...วันนั้นข้าและนางสบตาภูวิษะเจ้าพร้อมกัน หากในสายพระเนตรภูวิษะเจ้ามิได้หันมาทางข้า มิเป็นไร...ก็ข้าเป็นเพียงนางกำนัลต้อยต่ำ”


             “แม่เป็นหญิงงาม โสภากว่าผู้ใดที่ข้าเคยพบ” คำปลอบประโลมนั้นเรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากนางได้


             “วันที่มหิตาเทวีอภิเษกสมรสกับภูวิษะเจ้า ข้าหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี ข้าดีใจมาก...มากที่สุดในชีวิต คนที่ข้ารักที่สุดในชีวิตได้ครองคู่กับคนที่ข้ารักและชื่นชมบูชาอย่างสุดวิญญาณ วันนั้นคงไม่มีใครมีความสุขได้เท่าข้าอีกแล้ว ท่านเข้าใจหรือไม่ ว่าข้าปราโมทย์เพียงใด” กุสุมาลย์ยิ้มเป็นยิ้มงดงามแช่มช้อย ปราศจากความอาฆาตพยาบาทแต่หมองเศร้า


            “เมื่อข้าสมหวังในสิ่งที่เห็น ข้าจึงตั้งใจว่าจะรับใช้นางและภูวิษะเจ้าให้ดีที่สุด ให้เหมือนที่ข้าบำบวงต่อพญามหิทธราบดี”


            “เราเชื่อว่าแม่ได้ทำอย่างที่กล่าวมาแล้วทุกประการ”


            “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่รู้...มหิตาเทวีมิได้เห็นข้าเป็นพี่สาวอย่างที่เคยตรัส นางเห็นข้าเป็นแค่นางกำนัลเท่านั้น ส่วนข้าหลงลำพองตัวเองว่าเป็นคนโปรด เป็นพี่น้องเป็นคนที่ได้รับความรักจากนางเช่นเดียวกับที่ข้าให้นางไป จึงไม่เคยสะกิดใจเมื่อนางริษยาข้า”


             “นางชื่นชมโฉมแม่ จึงหึงหวง” จากประโยคที่วิทยเทพเอ่ย หญิงงามยกมือขึ้นลูบใบหน้าซีกขวาช้าๆ รอยไหม้เป็นทางยาวปรากฏขึ้นทันที


              “ทำไมทำกับข้าแบบนี้....นี่หรือที่เราเคยสัญญากัน” กุสุมาลย์ร้องไห้ออกมาปริ่มว่าจะขาดใจ


              “มหิตานางสัญญากระไรรึ?”


              “นางสัญญาว่า....”


               ภาพในอดีตค่อยๆ ปรากฏในความทรงจำ มหิตาเทวีอยู่ในช่วงวันเวลาแห่งความเยาว์วัยความพิสุทธิ์ใสอ่อนเดียงสายังคงอยู่กับนาง ส่วนกุสุมาลย์นั้นอยู่วัยสาวแรกรุ่น นางกำนัลคนงามมีท่าทีลังเลใจ เมื่อถูกชักชวนให้นั่งลงเคียงกันเบื้องหน้าศาสตราแห่งวิษณุเทพ จักรวัชรนาภ [1] สลักจากศิลาเนื้ออ่อนสีขาวสะอาดตาเจือด้วยสีชมพูจางๆ


             “พระเทวีจะดีรึเพคะ” นางกริ่งเกรงว่าจะเป็นการไม่เหมาะสม


            “เราว่าดีก็ต้องดีสิ ที่นี่หาใช่เทวาลัย [2] พี่มิต้องกังวลไปดอก”


            “แต่ว่า...หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัล เข้าในหอหลวงเช่นนี้...”


             หญิงงามเหลียวไปรอบตัว ห้องหับในหอหลวงนี้มีไว้เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ [3] ตามปกติแล้วมิใช่ผู้ใดจะเข้าออกได้ง่ายๆ แม้จะเป็นพระธิดาก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาต แต่มิใช่กับมหิตาเทวี พระนางน้อยนั้นถูกหัดให้ช่วยจัดระเบียบดูแลกำกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้ รวมไปถึงจะเข้าออกห้องอารักษ์เมื่อใดก็ได้ จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด


            “พี่มาติดตามข้ามา ไม่เป็นไรดอก” แต่กุสุมาลย์ยังอ้ำอึ้ง ด้วยเกรงว่าผู้ใดจะมาเห็นเข้าว่านางมิได้รออยู่หน้าห้องตามธรรมเนียม แต่หากมานั่งอยู่เบื้องหน้าจักรวัชรนาภ


            “พี่คงสงสัยละสิ ว่าข้าพาพี่มาทำไม?” แน่งน้อยโฉมงามยิ้มพราย ดวงเนตรเป็นประกายเจิดจ้านัก นางกำนัลคนโปรดยังมิทันตอบรับ ก็ตรัสสวนขึ้นมาเสียก่อน


            “ก็วันนี้ครบรอบวันเกิดของพี่มิใช่รึ? ดังนั้นข้าจึงพาพี่มาที่นี่อย่างไรเล่า” หญิงงามเบิกตากว้างด้วยความฉงน


            “หม่อมฉันไม่เข้าใจ หรือทรงพามาให้ขอพรกับองค์พระทรงจักรกระนั้นรึ?” นางมองไปยังเครื่องศาสตราวุธแทนองค์วิษณุเทพ


            “มิใช่ หากจะให้ขอพรข้าสู้พาพี่ไปอโศกคยา [4] ไม่ดีกว่ารึ?”


            “แล้วไฉน?”


            “ก็ที่นั่นคนเยอะ ข้าจะพาพี่เข้าสู่ห้องอธิษฐานก็คงมิได้” ด้วยเหตุว่านางเป็นสามัญชนจึงถูกกันไว้เพียงภายนอกบริเวณเท่านั้น ห้ามมิเข้าสู่ภายในเยี่ยงเชื้อพระวงศ์


            “แต่ที่หอหลวงนี้มีจักรวัชรนาภอยู่ ก็เสมือนว่าองค์ท่านประทับอยู่ที่นี่ด้วย”


            “ทรงปราดเปรื่องยิ่งนักเพคะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะรีบอธิษฐานก่อนผู้ใดจะมาเห็นเข้า” กุสุมาลย์ยิ้มกว้างปลาบปลื้มใจกับสิ่งที่ทรงกระทำให้นางนัก


            “อย่าเพิ่ง...ข้ามิได้พาพี่มาเพื่อการณ์นั้นเสียหน่อย” มือที่กำลังจะพนมขึ้นชะงักอีกครั้ง แล้วมองไปยังเทวีแห่งนาง


            “เป็นข้าต่างหากที่จะกล่าวสัตยาธิษฐาน ขอทรงประทานพรให้แก่พี่กุสุมาลย์” พระนางน้อยตรัสพลางแย้มสรวลยิ่งทอดพระเนตรเห็นหน้าฉงนของนางแล้วก็ยิ่งสรวลกว้าง เมื่อจัดองค์เป็นที่เรียบร้อยทรงประทับนิ่งในท่วงท่าสง่างาม ตั้งพระทัยต่อสิ่งที่จะตรัสเบื้องหน้าจักรา


            “ด้วยอำนาจแห่งวิษณุเทพ จักรวัชรนาภเบื้องหน้าข้าถือเป็นตัวแทนองค์เทวะ สิ่งใดที่ข้ากล่าวออกไปขอให้ล่วงสู่พระกรรณองค์เจ้าให้ทรงเป็นพยาน ยามนี้ เพลานี้ ข้า..มหิตา และนาง” ทรงลดสุรเสียงลงแล้วเหลียวไปทอดพระเนตรนางกำนัลข้างวรกาย ยังผลให้กุสุมาลย์รีบพนมมือตาม


             “แม้ข้ากับนางจะมิได้เกี่ยวพันกันด้วยสายโลหิต แม้ชาติกำเนิดวรรณะของนางจะต่ำต้อยกว่าข้านัก แต่ข้ารักนางเสมือนยิ่งพี่สาวร่วมอุทรณ์ สุขของนางเป็นของข้า ทุกข์ของนางก็เช่นกัน เทวะเอย...ข้าขอให้สัตย์สัญญา ข้าจะดูแลนางประหนึ่งพี่สาวร่วมสายโลหิต จะรักนางเสมอพระภคินีแห่งข้าไปจนตราบชั่วชีวิตของนาง...”


             หัวใจของกุสุมาลย์พองโตยิ่งนัก ดวงตาของนางพราวไปด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นขึ้นมาด้วยความปลื้มปิติ แต่ความยินดีหาได้ยุติลงเพียงแค่นั้น


             “หากชาติหน้าฉันใด...ขอให้บุญหนุนให้พี่กุสุมาลย์เกิดร่วมครรภ์มารดา ได้เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตของข้าด้วยเถิด โอม เทวะทรงโปรดกรุณา ให้นางได้ติดตามข้าไปทุกชาติ ทุกภพ” ได้ยินถึงประโยคนี้กุสุมาลย์ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว


             “พระเทวีเพคะ...หม่อมฉันสาบาน หม่อมฉันจะจงรักภักดีกับพระองค์ จะติดตามพระเทวีไปแม้สิ้นชาติสิ้นภพ สิ้นกายาแม้เหลือเพียงวิญญาณก็ขอติดตามพระเทวีไปเพคะ”


             “แน่นะ?” เทวีน้อยหลิ่วเนตรมองแล้วแย้มสรวล


             “แน่เพคะ”


             “องค์เทวะ ทรงได้ยินที่ข้าและนางได้กล่าวสัตยาธิษฐานร่วมกันใช่ไหมเพคะ โปรดทรงบันดาลให้เป็นไปตามคำอธิษฐานนี้ด้วยเถิด ไม่ว่าข้าหรือนางเป็นผู้ใดต้องจากไปก่อน อีกผู้หนึ่งจะต้องรอต้องติดตามกันไป จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง โอม เทวะ ทรงประทานพรให้พวกข้าพระองค์ทั้งสองด้วยเถิด” เมื่อตรัสจบก็ทรงก้มลงกราบพร้อมกุสุมาลย์ จากนั้นจึงนำดอกไม้และเครื่องบัดพลีที่เตรียมมาถวายต่อจักราวุธอันเป็นตัวแทนองค์วิษณุเทพนั้น


              เพลานั้นมหิตาเทวีหาได้รู้ไม่พระนางกล่าวสัตยาธิษฐานออกไปต่อหน้าเบื้องบาทแห่งองค์เทวะ เพียงเพราะต้องการจะเอาใจกุสุมาลย์พระพี่เลี้ยงที่ทรงโปรดปราน จะมีผลอย่างไรต่ออนาคตของเคียงฟ้าผู้เป็นอนาคตชาติของพระองค์ ส่วนกุสุมาลย์นั้นเล่านางร่ำไห้ด้วยความปรีดาอย่างสุดแสน

            ใจนางซาบซึ้งต่อน้ำคำที่มหิตาเทวีทรงประทานให้นัก ยิ่งตรัสต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อีกด้วย หญิงต่ำศักดิ์อย่างนางกลับได้รับความเมตตาต่อเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ ถึงกับยกย่องให้นางเป็นพี่สาว ซ้ำยังปรารถนาให้ชาติหน้ากุสุมาลย์ได้เกิดร่วมครรภ์มารดาเดียวกันอีกด้วย ทั้งกายใจล้วนถวายเพื่อมหิตาเทวีด้วยความภักดี


            “นั่นเป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่ากว่าทุกสิ่งที่ค่าเคยได้ เคยมีมา เพลานั้นข้าเชื่อทุกสิ่งที่นางกล่าวออกมา..แม้ไม่ตรัสต่อหน้าองค์เทวะข้าก็เชื่อ แต่นี่ยิ่งทำให้ข้าปลาบปลื้มยิ่งนัก” เสียงหวานนั้นเศร้าสลดเมื่อกล่าวถึงวันวาร


            “ข้าเข้าใจ...ในความรู้สึกแม่ มหิตาทรยศทั้งที่ให้สัตย์สาบาน แต่กลับกระทำเช่นนี้กับคนที่นางยกย่องให้เป็นพี่สาว” สาวงามพยักหน้าเงียบๆ


             “ที่ข้าไม่อยากออกเรือนไป นางก็เป็นเหตุหนึ่ง ถ้าข้าออกเรือนก็ต้องปรนนิบัติสามีของตน จะมาดูแลนางอีกก็มิได้ หากข้าไปแล้วใครจะดูแลนาง ใครเล่าจะปรนนิบัตินางได้เท่า ใครเล่าจะรู้พระทัยเท่า แต่ความจริงแล้ว...ข้าหาได้รู้ใจนางเลยต่างหากเล่า”


             “แม่หญิง...” เสียงทุ้มเรียกขึ้นมาเมื่อเห็นกุสุมาลย์สะอื้นไห้จนจนสะเทือนไปทั้งร่าง


             “ข้าเชื่อว่าตอนที่นางกล่าวสัตยาธิษฐานต่อหน้าวัชรนาภนั้น นางหาได้มุสา เพียงแต่..นางยังเยาว์วัย มิทันได้คิดการณ์ไกล ที่สำคัญนางไม่รู้ตนเองรักภูวิษะเสียจนทุกผู้คนล้วนมลายไปจากสายตานาง”


             “คงมีแต่ข้าสินะ ที่ยึดถือสัญญาไว้ข้างเดียว หลงผิดไม่ประมาณตน ยกตนเองเป็นพี่สาวนางจึงได้ถือวิสาสะไปหลายเรื่อง”


             “แม่รักนางด้วยความบริสุทธิ์ใจมันก็เรื่องดีมิใช่หรือ? ได้กระทำในสิ่งที่ต้องการจะทำแม้ว่าผลตอบแทนจะเผาผลาญแม่ถึงเพียงนี้ แต่ก็ถือว่าสมหวังเสียครึ่งหนึ่ง แม่ว่าใช่หรือไม่?”


             “วิมุตติ...ท่านนี่ สมแล้วที่เป็นผู้เจรจา” ดวงหน้านวลหยุดร่ำไห้ ไม่มีน้ำใสไหลอาบแก้มอีกแล้ว มีเพียงแววตาเศร้าๆ เท่านั้นที่มองกลับมา


             “ข้าแค่พูดถึงส่วนดี หากมีนางกำนัลใดจงรักภักดีกับข้าได้ครึ่งของแม่ข้าคงปิตินัก” กุสุมาลย์ฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา


             “สรุปแล้วที่ท่านเกี้ยวข้า แค่อยากได้ข้าไปรับใช้เท่านั้นเองหรือ...วิทยเทพ” คำกล่าวของนางแม้หนักแต่แววตาบอกให้รู้ว่าหยอกเย้าเท่านั้น วิมุตติขยับริมฝีปากจะกล่าวตอบโต้แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไม่มีคำกล่าวใดออกมาเว้นแต่เสียงหัวเราะเท่านั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



[1] วัชรนาภ ( ภ สะกดถูกแล้วค่ะไม่ใช่ ถ ) ชื่อจักรของพระนารายณ์(พระวิษณุ) อีกชื่อคือ สุทรรศน์อาวุธของพระนารายณ์มี 5 ชนิด คือ จักรวัชรนาภ,สังข์ปาญจะชันยะ,คทาเกาโมทกี,ธนูศารนคะ,ขรรค์นนทก (อนึ่งชื่ออาวุธและอาวุธบางชนิดต่างกันแต่ผู้เขียนขอยึดจาก “เทพเจ้าและสิ่งน่ารู้ พระราชนิพนธ์ใน ร.6” ซึ่งท่านยังระบุอีกว่า ตรีศูลนั้นไม่ใช่อาวุธของพระวิษณูแต่เป็นของพระอิศวรซึ่งวาดกันไปมาเกิดสับอาวุธกันได้ไงไม่รู้ 555)

[2]เทวาลัยปราสาทสำหรับทำพิธีบวงสรวงองค์เทพ ห้ามสตรีเข้าไป บางครั้งก็อยู่ในอโศกคยาหรืออาจตั้งแยกไปต่างหาก แต่จะมีพราหมณ์คอยดูแล รวมทั้งข้าคอยถวายบัตรพลีซึ่งเทวาลัยมักสร้างเป็นปราสาทหินตามความเชื่อที่ต้องสร้างให้มั่นคงสถาพรในขณะที่พระราชวังหรือบ้านเรือนของมนุษย์จะไม่สร้างด้วยหิน จนมาถึงยุคอยุธยาตอนกลางกษัตริย์เป็นองค์สมมุติเทพพระราชวังจึงใหญ่โตสร้างด้วยศิลาเช่นเดียวกับเทวาลัย

[3] เครื่องราชกกุธภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของต่างๆ เครื่องใช้ เครื่องเรือนหรือ สิ่งที่กษัตริย์เมืองอื่นๆ ส่งมาบรรณาการ

[4]เทวาลัย อยู่ในอโศกคยาหลวง แต่แบ่งส่วนเป็นออกเป็นโซนต่างๆ เนื่องด้วย วัด(อโศกคยา)ใช้ประการหลายเรื่อง ทั้งเป็นเจ้าพิธี โซนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โซนเจ้าตนหลวง(ผีหลวง)ศาลาสำหรับจัดการเรื่องอเนกประสงค์ทั้งเล่าเรียนหรือชันสูตรศพ ซึ่งต้องใช้พื้นที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนในแต่ละส่วน จึงกินอาณาบริเวณกว้างแต่มิได้สร้างเป็นปราสาทหิน หรือ เรือน โตเท่ากับในยุคหลังๆ







 

Create Date : 22 กันยายน 2556
2 comments
Last Update : 22 กันยายน 2556 21:55:39 น.
Counter : 1826 Pageviews.

 

ไม่ได้เข้าข้างมหิตาเทวีนะคะ.. แต่กุสุมาลย์ควรจะคิดแค้นพินทุมณีเทวีมากกว่า ... ตัวกุสุมาลย์เอง ทั้งที่บอกว่ารักเทิดทูนเข้าอกเข้าใจมหิตาเทวี แต่การแสดงออกต่อภูวิษะเจ้าของตนเอง ก็ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดได้จริงๆ จะไม่ให้มหิตาเทวีระแวงได้เลยหรือ.. ... เอาเป็นว่าอ่านไปอ่านมา รู้สึกผิดกันทุกคน .. ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็ผิด อินเกิ๊นนน 5555

 

โดย: เจ้คนไกล IP: 122.154.26.3 25 กันยายน 2556 15:50:12 น.  

 

เจ้คนไกล : ไม่ว่าค่ะ แล้วแต่คนอ่านเลย มุมมองแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แชร์กันได้

 

โดย: แก้วกังไส 5 ตุลาคม 2556 13:22:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.