เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 49
ตอนที่ 49
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่านาฬิกาของหล่อนตายสนิท เคียงฟ้าไม่คิดว่านาฬิกาจะมาเสียเอาตอนนี้ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว จึงนึกเป็นห่วงทางบ้านเกิดว่าหล่อนหายไปนานเกินไป มารดาจะเป็นกังวลเอาได้ ดวงหน้าหวานมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเหลียวมามองนาคจำแลง เจ้าภูวิษะเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หล่อนคิด
ที่นี่ไม่มีกาลเวลา มันเป็นเพียงนครที่ตายไปแล้วเท่านั้น
งั้นพอจะทราบไหมคะว่า เราลงมาที่นี่กันนานหรือยัง ? เมื่อเห็นเจ้านาคราชขมวดคิ้วหล่อนจึงพูดต่อ ถ้ากลับผิดเวลามากไป ฟ้ากลัวคุณแม่เป็นห่วงน่ะค่ะ หล่อนเริ่มจะแทนตนเองว่า ฟ้า เมื่อรู้สึกวางใจเขาแล้ว
เราคงไม่ถ่วงให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลหรอก ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ถ้ากลับไม่เกินทุ่มหนึ่งได้ก็ดีค่ะ จะได้ไม่ดึกไป
ทุ่มหนึ่ง? ดึก? ผู้หญิงในเวลาของเจ้ามีแต่เตร็ดเตร่กลับบ้านเมื่อเลยค่อนคืนไปแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าบอกเอาไว้ก่อนก็กลับดึกได้ค่ะ แต่ว่านี่ไม่ได้บอกล่วงหน้า หรือคุณอยากให้ฉันกลับช้ากว่านั้นอีกหน่อย ก็ขอโทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ
โทรบอก? ฟังเจ้าภูวิษะย้อนถามแล้วค่อยนึกขึ้นได้ว่า โทรศัพท์มือของหล่อนน่าจะอยู่กระเป๋าในศาลาท่าน้ำข้างบนนั่น
แย่จัง...ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย...แต่ถึงเอามาตกน้ำคงพังหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น...คุณช่วยบอกคุณแม่ให้หน่อยได้ไหมคะว่าฉันจะกลับไม่เกินสามทุ่ม
จะให้ไปบอกอย่างไร? เราไม่มีโทรศัพท์ นาคเจ้าส่ายหน้า ดวงหน้าคมนั้นเริ่มมีรอยยิ้มมุมปาก
ก็...ก็...คุณเป็นพญานาค คุณไม่มีวิธีอื่นแนะนำบ้างหรือคะ?
ขอโทษเถอะที่นี่ไม่มีโทรศัพท์ ไม่ได้ติดอินเตอร์เน็ต และไม่ใช่โลกมนุษย์ ใบหน้าคนพูดนิ่งเฉยจนหล่อนไม่แน่ใจว่าเขาประชดหรือเปล่า
แล้ว...เวลาคุณติดต่อกับคนอื่น...เอ่อ อย่างอาจารย์พี่เจ้า ทำยังไงคะ?
งู
งู?
ใช่...ส่งงูไปเท่านั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่เรายังออกจากที่นี่ไม่ได้ ถ้ามีปัญหามากนัก อาจารย์ของเจ้าก็จะตะเกียกตะกายมาหาเราเอง หล่อนนิ่งอึ้งไปแม้จะไม่เข้าใจในคำอธิบายทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อนึกว่าต้องเจองูแล้วก็ขยาดนัก
หรือต้องการให้เราส่งบริวาร ไปหามารดาเจ้า...แต่ งูพูดมิได้ดอกนะมันทำได้แค่นำพาคลื่นจิตไปเท่านั้น
มะ...ไม่ต้องค่ะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวคุณแม่ตกใจยิ่งกว่าเดิม งูไม่ใช่สัตว์น่ารักในสายตาหล่อนหรือมารดาแน่ๆ
นั่นสิ ถ้าส่งไปมารดาเจ้าจะคงตื่นตระหนก เจ้าภูวิษะตอบมาราวเป็นเรื่องขบขัน แต่ในสายตาเคียงฟ้ามันช่างน่าขนลุกนัก
ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หากช้าเกินเวลา วิมุตติคงส่งข่าวไปให้มารดาเจ้าเอง
อาจารย์จะไปบอกให้เหรอคะ? เจ้านาคราชพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายิ้มอย่างสมหวังบางประการ
ใช่สิ...นักศึกษาสาวนั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับเขา หากดึกดื่นมืดค่ำแล้วแม่สาวนั่นยังไม่คืนเรือน ใครเล่าจะถูกครหา ใครเล่าจะถูกมองอย่างหมิ่นเหม่ในวิชาชีพ หึ หึ อย่างวิมุตติน่ะไม่มีทางยอมให้ตนเองเสียหายดอก ดังนั้นเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา อยากวุ่นวายส่งเจ้าลงมาที่นี่เองนี่นะ เคียงฟ้าแน่ใจว่าเจ้าภูวิษะกำลังสะใจอกสะใจเหมือนได้แก้แค้นคืนเล็กๆ
ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ฉันก็สบายใจค่ะ
เคียงฟ้า...เราสัญญาจะไปส่งเจ้าจนถึงเรือนมิให้ดึกดื่น ใบหน้าของเจ้าสำคัญไม่แพ้วิมุตติดอก คำสัญญาประโยคนั้นทำให้หล่อนอดตื้นตันใจไม่ได้ เขานึกหน้าหล่อนไม่อยากให้ถูกใครนินทา ว่าแล้วเคียงฟ้าก็ไม่อาจซ่อนรอบยิ้มเอาไว้ได้
ค่ะ ฉันเชื่อคุณ
มาเถิดเคียงฟ้า ไปหาที่นั่งสนทนากัน
ที่ไหนคะ? สิ้นคำถามเบื้องหน้าพลันมีเรือนไม้ยกพื้นสูงไร้ฝาฝนังกั้นโปร่งโล่งไปตลอดทุกด้าน มีเพียงสี่เสาค้ำหลังซ้อนเหลี่ยมนั้นไว้ ทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบทิศ ปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจนิรมิต หญิงสาวยืนตะลึงไปด้วยความทึ่ง หล่อนนิ่งค้างเสียจนนาคเจ้าต้องถามขึ้นมา
ทำไม? หรืออยากนั่งกลางกองหินอย่างเดิม?
มะ..ไม่ค่ะ ตรงนี้ดีแล้วค่ะ เคียงฟ้ารีบส่ายหน้า แล้วก้าวขึ้นไปบนเรือน โดยไม่ลืมถอดรองเท้าเสียก่อน
ในใจหล่อนอดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อเจ้าภูวิษะยังมีอำนาจที่จะเนรมิตความสะดวกสบาย หรือแม้แต่จะสร้างราชวังอันยิ่งใหญ่ตระการตาให้กลับขึ้นมาอีกครั้งในมิตินี้ก็น่าจะได้ แล้วทำไมเขาถึงกักขังตนเองอยู่ในวันเวลาแห่งความเสื่อมโทรมแบบนี้หนอ... +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ หลังความตายมาเยือนนางกำนัลคนงาม กุสุมาลย์จากไปแล้วแต่ในพระทัยของมหิตาเทวีหาความสงบได้ไม่ เรื่องราวระหว่างพระนางกับพินทุมณีเทวีนับวันจะยิ่งทวีรอยร้าวมากขึ้น สองเทวีแทบมิได้ตรัสต่อกันเหมือนเช่นอดีต มิหนำซ้ำเมื่อมีเสาวนีย์พาดพิงถึงกันและกัน ก็หาเป็นเรื่องดีงามไม่ ความสัมพันธ์ของสองเทวี มิได้เหมือนภคินีและขนิษฐาร่วมอุทรมาแต่พระมารดาเดียวกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างเฝ้าระแวงซึ่งกันและกัน มหิตาเทวีมิได้ทอดพระเนตรเห็นพินทุมณีเทวีเป็นพระภคินีอีกต่อไป ในขณะที่พินทุมณีเทวีไม่ได้ละเลิกความไม่พอพระทัยที่มีต่อองค์ขนิษฐาเช่นกัน ในพระทัยของพระนางสุมไว้ด้วยเพลิงโทสะกองใหญ่ และทรงทอดพระเนตรหาโอกาสที่จะตอบแทนอยู่เนืองนิตย์ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยแต่หากโอกาสอำนวยพระนางไม่รั้งรอที่จะกระทำ
เพลานั้นขึ้น 12 ค่ำ ปีระกา ถัดจากวันทำบุญส่งวิญญาณกุสุมาลย์ครบ 7 วัน เราได้เชิญพระครูมาทำพิธีปัดรังควานเสนียดจัญไรในตำหนัก เสียงห้าวของเจ้าภูวิษะเล่าย้อนรำลึกถึงวันเวลาในกาลเก่า
มายาภาพถูกนิรมิตขึ้นมาไม่ต่างกับฉากในภาพยนตร์ ตัวละครต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมาตามคำบอกเล่า เคียงฟ้านั่งนิ่งพยายามทำใจให้ชินกับอิทธิฤทธิ์ของนาคเจ้า แต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
ภาพพิธีการทางศาสนาดำเนินไปตั้งแต่การตั้งโต๊ะบูชาบวงสรวงแถนฟ้า [1] ทำพิธีเบิกทางเข้าเรือน [2] แล้ว ขบวนพราหมณ์หลวงจุดเทียนเดินนำขบวนเข้าสู่ตำหนัก โดยมีพราหมณ์ผู้น้อยเดินตามหลังแต่ละคนจับสายสิญจน์สีขาวหม่นจากหัวขบวนเอาไว้แล้วเรียงแถวกันเข้าไป ปากก็ปริกรรมคาถาร่ายสังวัธยายมนตราไปเรื่อยๆ จนเสียงสวดดังกังวานไปทั่วตำหนักสร้างบรรยากาศขรึมขลังยิ่งนัก เมื่อหยุดแวะพักตรงจุดไหนก็จะแป้งดินสอพองเขียนอักขระเจิมไว้ที่บริเวณนั้น พิธีกรรมดำเนินไปต่อจวบจนกระทั่งขบวนพราหมณ์กลับมายังกลางตำหนักอันเป็นจุดเริ่มต้น
จึงพบว่ามีผู้มานั่งรอร่วมพิธีอยู่แล้วทั้งเจ้าของตำหนักและแขกที่มิคาดว่าจะมาเยือน นั่นคือขบวนของพินทุมณีเทวี เสด็จมาร่วมพิธีเช่นกัน เคียงฟ้าเห็นเข้าถึงกับอุทานออกมา
ตายล่ะ!! เดี๋ยวก็มีเรื่องกันหรอก
ไม่มีหรอก นี่เป็นงานพิธีกรรม ผู้ใดจะไร้มารยาท แม้แต่มหิตาที่อยากออกปากไล่นาง ก็จำต้องสงวนถ้อยคำเอาไว้ ในพิธีเรียกมงคลเช่นนี้ห้ามผู้ใดกล่าวคำหยาบ หรือด่าทอกัน ไม่งั้นเป็นอันเสียพิธีต้องหาฤกษ์ทำใหม่ทั้งหมด
เคร่งกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?
ใช่สิ...พูดให้ง่ายเข้าก็เรียกว่ารู้จักมีมารยาท คนตอบปรายตามองเหมือนตำหนิ หญิงสาวทำคอย่นไปทันทีก็ในยุคของหล่อนผู้คนไม่ค่อยระวังคำพูดคำจา ไม่ได้เคร่งมารยาท หรือไม่ได้มีกฏเกณฑ์มากมาย เป็นยุคของคำว่าอิสระเสรี ที่บางครั้งก็มาพร้อมกับคำว่าไร้กาลเทศะ
สตรีที่มีระดูก็ห้ามเข้าร่วมงาน เนื้อตัวไม่สะอาดไม่ควรเข้าร่วมพิธี
แล้วห้ามอะไรอีกไหมคะ?
แขกที่มา...ใครที่มิใช่เจ้าตำหนักก็ต้องตรวจดวงชะตาก่อน หากเป็นช่วงดวงตกแล้วมาร่วมพิธีขับเสนียดที่ไล่จากตำหนักเราก็จะติดไปกับแขกได้ บางคนมีลูกน้อยก็มามิได้เพราะทารกขวัญอ่อนนัก คงมีแต่พินทุมณีเทวีเท่านั้นที่ผีผลักไสให้มา ท้ายประโยคทำเอาหล่อนเกือบสำลักทั้งที่ไม่ได้ดื่มอะไรอยู่
เขาทำอะไรอีกเหรอคะ?
ก็ดูเอา...
นาคเจ้าพยักเพยิดไปทางพระพี่นางซึ่งกำลังแย้มโอษฐ์ยิ้มให้พระขนิษฐา มหิตาเทวีทอดพระเนตรเห็นเจ้าก็ถลึงดวงเนตรใส่แล้วสะบัดพักตร์กลับไปไม่เหลียวมาอีก หากพระภคินีมิได้สนพระทัยกิริยาขององค์ขนิษฐาไม่ พระนางเสด็จตรงเข้าไปหา แล้วประทับเคียงลงข้างบนพระแท่นเดียวกัน เนื่องด้วยภูวิษะเจ้าประทับอยู่อีกฟากซึ่งจัดให้เป็นที่สำหรับบุรุษเท่านั้น
พี่เอาของมาช่วยงานบุญ
ขอบพระทัยเพคะ! สุรเสียงที่ตรัสตอบนั้นกระด้างยิ่งนัก แต่พินทุมณีเทวีหาได้สนพระทัยไม่ ยังคงตรัสต่อไปเรื่อยๆ ไม่นำพากับอารมณ์ของมหิตาเทวี
งานทำบุญครบ 7 วันของกุสุมาลย์เมื่อวานใหญ่โตดีนะ แบบนี้นางคงไปสบาย มีของติดตัวให้เดินทางไปโลกหน้าเยอะ เกิดครั้งใหม่คงไม่ลำบากลำบนอีกแล้ว ชายาแห่งนาคเจ้ามิได้ตรัสตอบอันใด เพียงแต่เงี่ยพระกรรณคอยสดับฟังเท่านั้น
จะว่าไป...ภูวิษะที่นี่ก็เมตตากุสุมาลย์มากนะ ได้ยินว่าเขาเป็นกำหนดให้จัดงานทั้งงาน 3 วัน งาน 7 วัน
นั่นเป็นความประสงค์ของน้องเอง หากพระนมไม่เร่งเดินทาง ก็ตั้งใจว่าจะจัดงานส่งวิญญาณเมื่อครบวันที่ 9 ให้ได้ตามประเพณีเสียด้วยซ้ำ
นางคงช้ำใจเลยอยากรีบเดินทางกระมัง ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว แถมงามมากเสียจนใครๆ... พระนางลากสุรเสียงยาว พลายปรายพระเนตรมาที่มหิตาเทวี พากัน...อิจฉา! เมื่อทิ้งประโยคเด็ดแล้วก็แย้มสรวลออกมาประหนึ่งว่ามิได้มีนัยยะใดๆ แฝงเร้น
ความงามของกุสุมาลย์น่ะ ร่ำลือไปทั่ว มีนางกำนัลตำหนักใดเล่าที่งามเทียมนางได้ น่าเสียดายที่อายุสั้น หาไม่แล้ว... ก็ยุติการตรัสลงชั่วครู่ เพื่อทอดพระเนตรปฏิกิริยาของคู่สนทนา
เฮ้อ...นางน่าจะได้ดิบได้ดี ถูกยกขึ้นมาเป็นนางห้ามของเจ้าชายสักองค์นะ
นางอยู่แต่ในตำหนัก จะไปพบเจ้าชายพระองค์ใดเล่าเพคะ เว้นแต่ว่า...มีผู้ชี้ชวนให้ไปถวายตัวกับผู้ใด ซึ่งผู้ชี้ชวนนั้นคงต้องมีอำนาจราชศักดิ์พอดู ลำพังพี่กุสุมาลย์แล้วนางเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวมิเคยใส่ใฝ่สูง
นั่นสินะ...อยู่แต่ในตำหนักจะไปพบเจ้าชายพระองค์ใดได้...ก็คงได้พบแต่.... พินทุมณีเทวีตรัสแล้วก็เหลียวพระเนตรไปทางภูวิษะเจ้าซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทว่านาคจำแลงคล้ายจะรู้องค์ว่าถูกกล่าวถึงจึงทรงหันพระพักตร์มาเขม่นมององค์ภคินีของพระชายา
สวามีเจ้าก็รูปงามอยู่ แต่น่าเสียดายนักที่ชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่รู้จักยิ้มจักแย้มเสียบ้าง มหิตาเทวีสดับแล้วค่อยแย้มสรวลขึ้นมาได้บ้าง พระนางทราบดีว่าพระพักตร์เจ้านาคราชบูดบึ้งด้วยเหตุอันใด
เวลาอยู่กับเจ้าเขารู้จักยิ้มบ้างหรือเปล่า? รู้จักป้อนคำหวานให้รื่นหู หรือหาของกำนัลมาฝากเจ้าบ้างหรือไม่? คำถามเหล่านั้นทำเอาองค์ขนิษฐาต้องขมวดพระขนง เมื่อทรงตรัสถามเหมือนเมื่อครั้งยังสนิทสนมมิได้มีเรื่องอันใดต่อกัน
อย่าทรงสนพระทัยเรื่องของน้องเลยเพคะ ทรงเหน็บกลับเรียบๆ แต่ก็กระตุ้นให้พระพี่นางไม่พอพระทัย
อ๋อ...ข้าลืมไปเขาซื้อของมาฝากเจ้าบ่อยๆ นี่นะ แถมได้ยินว่าซื้อมาเผื่อนางกำนัลของเข้าด้วย ปิ่นจากสำเภาจีนคงแพงมิใช่น้อย สิ้นประโยคมหิตาเทวีหันควับกลับไปทอดพระเนตรพระภคินีทันที
ทรงรู้?
โอ้ย..ย ใครๆ ก็รู้ กุสุมาลย์เป็นแค่นางกำนัลประดับของมีค่าเกินตัว เจ้าว่าจะไม่เป็นที่ผิดสังเกตหรือ? ก็แค่ปิ่นเงิน พินทุมณีเทวีสดับแล้วเผยอโอษฐ์สรวลออกมาทันที
แล้วสิ่งอื่นเล่า? เจ้ารู้รึ?
เสด็จพี่พินทุมณี!! เมื่อเห็นองค์ขนิษฐาถลึงพระเนตรใส่ ก็ทรงแสร้งทำเป็นขอโทษขอโพย
ตายจริง...ขอโทษด้วย นางก็ไปตายแล้วนี่นะ เราคงไม่ควรพูดถึงนางอีก เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายใจ
ขอบพระทัยเพคะ
งั้นเราคุยเรื่องอื่นกันเถิด
ยังไม่เสร็จพิธีเพคะ มหิตาเทวีตัดบท ในพระทัยอยากลุกหนีไปหาพระสวามีเสียด้วยซ้ำ แต่ติดว่าภูวิษะเจ้าต้องเป็นผู้ส่งพรหมาณ์หลวงและคณะ พระนางจะเสด็จไปหาตอนนี้ก็มิใช่กาลอันเหมาะสม แต่พินทุมณีเทวีไม่สนพระทัยถ้อยดำรัสนั้ย ยังชวนเจรจาต่อไป
สองวันก่อนมีสำเภาจีนมาเทียบท่า เสด็จพี่ชยาทัตของข้าขนซื้อมาเสียแทบจะหมดลำเรือ มีทั้งเครื่องกระเบื้อง ทั้งแพรพรรณ ก็ล้วนแต่งามแปลกตา มีแพรปักผืนหนึ่งปักลายปลาน่ารักน่าชังนัก
เมื่อเห็นพระขนิษฐามิได้สนพระทัยแม้เพียงจะตอบรับว่าสดับอยู่ก็หาไม่ ความไม่พอพระทัยจึงทวีขึ้นและดำริว่าพระน้องนางเย่อหยิ่งจองหองอย่างไร้มารยาทนัก ทั้งที่พระนางอุตส่าห์ตรัสด้วยก่อนโดยไม่ถือโทษเรื่องเมื่อคราวก่อน จึงไม่ลังเลที่จะตรัสกระทบกระเทียบ
แล้วภูวิษะซื้อหาสิ่งใดมากำนัลแก่เจ้ากัน? มหิตาเทวียังคงนิ่งเฉย ด้วยเข้าพระทัยว่าพระภคินีเพียงอยากจะอวดเท่านั้นจึงมิได้ใส่พระทัย
เห็นเสด็จพี่ชยาทัตบอกว่า เขาซื้อกลับไปเพียงผ้าผืนเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นผ้าพื้นๆ ไร้ลวดลาย
ครั้งนี้องค์ขนิษฐาหันพักตร์กลับมา ในพระทัยเกิดข้อกังขาเมื่อครั้งพระองค์ทราบว่าเรือสำเภาจากจีนเข้าเทียบท่า จึงขอให้ภูวิษะเจ้าไปเลือกสินค้ามาให้ชม [3] แต่ถูกปฏิเสธเมื่อพระสวามีตรัสว่ามิอาจปลีกตัวจากราชกิจไปได้ เกิดเป็นความน้อยพระทัยเล็กๆ เมื่อไม่อาจเสด็จไปได้ด้วยองค์เอง ก็น่าจะสั่งให้พ่อค้าจีนนำสินค้ามาให้ทรงเลือกสรรที่ตำหนัก แต่ภูวิษะเจ้ามิได้ใส่พระทัยในเรื่องนี้ และมิได้ตรัสถึงอีกเลย แล้วสิ่งที่เพิ่งสดับนี่เล่าหมายความว่ากระไร
ทรงประสงค์สิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้น ครั้งนี้น้องได้ยินว่าเป็นแค่สำเภาลำเดียวไม่ค่อยมีสินค้าน่าสนใจ พระแม่เจ้าจึงไม่โปรดให้พ่อค้าจีนเข้าเฝ้า เมื่อตรัสตอบแล้วจึงแย้มสรวลอย่างผู้มีชัย พินทุมณีเทวีสดับแล้วพระศอแข็งขึ้นมาทันที กลายเป็นว่าสินค้าที่พระสวามีซื้อมายกสำเภาได้นั้นเพราะภูวิษะเจ้าไม่สนพระทัย
เอ...แต่ก็น่าแปลกนะ เพราะสิ่งที่สวามีเจ้าประสงค์เป็นผ้าสำหรับสตรี อย่างไรพินทุมณีเทวีมิได้ย่นระย่อต่อจุดประสงค์เดิม และเริ่มเพาะเชื้อร้ายแห่งความหวาดระแวงให้พระขนิษฐา
ซ้ำยังเป็นผ้าพื้นๆ คงไม่ได้ซื้อให้เจ้าดอก เพราะถ้าซื้อให้เจ้าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นผ้าที่งามให้สมกับเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระใช้เป็นฉลองพระองค์ อย่างนั้นแล้วภูวิษะตั้งใจจะมอบให้ผู้ใดรึ? ปทุมมา? ศรีดารา? หรือคุณท้าวจันทร์หอมกันเล่า หึ หึ ตรัสจบก็แย้มสรวล ดวงเนตรเป็นประกายสมพระทัยยิ่งนัก ผิดกับมหิตาเทวีที่บัดนี้วงพักตร์บึ้งตึง สายพระเนตรบ่งบอกความไม่พอพระทัยจนวาววาบ
น้องยังไม่ได้ถามเสด็จพี่ภูวิษะเพคะ แต่เดี๋ยวก็คงรู้ หมู่นี้ตำหนักเรามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย คุณท้าวกับนางกำนัลต่างก็ทำงานหนัก จะประทานให้ผู้ใดก็เป็นเรื่องสมควรแล้วเพคะ
เหรอ...แต่ผืนเดียวนี่นะ ประทานให้ผู้ใดไปมีหวังนางอื่นๆ คงน้อยใจแย่ น่าจะซื้อมายกหีบเลยจะได้แจกจ่ายอย่างทั่วถึงนะ
ถ้าแจกจ่ายไปเสียหมดทุกคน แล้วจะเรียกว่าตบรางวัลอย่างนั้นหรือเพคะ? พระพี่นางจนถ้อยดำรัสไปชั่วครู่ แต่เมื่อตั้งพระสติได้ก็สรรหาถ้อยดำรัสมาตอบโต้
คราวนี้เป็นผ้า...คราวที่แล้วเป็นปิ่น ช่างเข้าใจสรรหาของได้ถูกใจสตรีจริงๆ นะ เสด็จพี่ของข้าสิ...รู้จักแต่ซื้อแต่เมื่อจะประทานก็เลือกไม่ถูก ต้องให้ข้าเป็นคนเลือกเป็นคนแจกทุกทีไป...เฮ้อ แต่คิดอีกทีก็ดีนะ...หากทรงประทานให้ผู้ใดลับหลังข้าคงอกแตก ว่าแล้วก็ส่งสุรเสียงสรวลเบาๆ
ถ้าอย่างนั้น...เห็นทีคราวนี้ทรงต้องตรวจตราดูให้ถี่ถ้วนนะเพคะ ข้าวของซื้อมาเยอะปานนั้น หายไปสักชิ้นเสด็จพี่อาจจะมิทราบ หึ หึ สิ้นประโยคพินทุมณีเทวีประทับนิ่งพระศอแข็งอีกครั้ง แต่ยังทรงปั้นพระพักตร์ได้เป็นอย่างดี
เสด็จพี่ชยาทัตไม่เคยมีลับลมคมนัยอย่างนั้นหรอก ซื้อหาสิ่งใดมาก็นำรายการมาให้ข้าตรวจตราทุกครั้ง แม้จะซื้อแค่ผ้าผืนเดียวก็มาบอกกล่าว
รอยแย้มสรวลปรากฏอยู่บนวงพักตร์สองเทวี แต่ลึกลงไปในพระทัยแล้วต่างมีเพลิงโทสะลุกโชติช่วง แววเนตรที่มอบแก่กันและกันนั้นราวกับจะประหัตถ์ประหารกันให้แดดิ้นลงไป ณ บัดนั้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่ในสายตาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเคียงฟ้ากลับรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังดูละครหลังข่าว ที่ตัวละครโต้คารมกันอย่างถึงพริกถึงขิง ในขณะที่นาคเจ้าปรายตามองด้วยความไม่พอใจ
เฮ้อ...พอๆ กันทั้งคู่เลยนะคะ แต่..พี่พินทุมณีน่ะจะมายุแยงอะไรนักหนา เหมือนว่าเธอเกลียดน้องสาวเสียเต็มประดา ไม่อยากให้มหิตามีความสุข
อื้ม
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละคะ?
พินทุมณีเป็นคนขี้อิจฉา นางริษยาทุกคนนั่นแหละ ยิ่งมหิตาเป็นที่ไว้วางพระทัยของพระบาทเจ้า เป็นที่ชื่นชมของพระแม่เจ้า หนำซ้ำนางยังทรงอักษรได้ดี แต่งกาพย์กลอนก็คล่องแคล่ว ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พินทุมณีไม่สันทัดจึงไม่อาจช่วยราชกิจได้ ข้อนี้กลายเป็นปมด้อยของนาง ที่มิอาจไปยืนข้างพระแท่นคอยถวายงานได้ และสิ่งที่มหิตาทำได้ก็ใช่ว่าเจ้าหญิงทั่วไปจะสามารถทำเช่นนั้นได้ทุกองค์
แล้วเธออยากทำบ้างอย่างนั้นเหรอคะ?
ไม่ นางไม่ชอบเรื่องงานอักษรดอก เพียงแต่ผู้ใดได้รับเสียงชื่นชมสรรเสริญย่อมไม่เป็นที่ชมชอบของนางเท่านั้นเอง
เรื่องแค่นั้นเองเหรอคะ? เจ้านาคราชพยักหน้าอีกครั้ง
เรืองแค่นี้ ถึงกับทำลายชีวิตคนอื่น ทำให้พี่กุสุมาลย์ต้องตาย!! เคียงฟ้ากรีดร้องขึ้นมาด้วยความเศร้าสร้อย กุสุมาลย์ตายเพราะนางอ่อนแอ มหิตาทำร้ายนางก็เพราะความอ่อนแอในจิตใจ เราก็เช่นกัน...ต้องติดอยู่ที่นี่ก็เพราะความอ่อนแอในใจตนเอง...ความอ่อนแอนี้ช่างน่าสมเพชนัก น้ำเสียงท้ายประโยคฟังดูเศร้าสร้อยนัก หญิงสาวฟังแล้วก็รีบละจากความเจ็บปวดของตนเอง หล่อนปาดน้ำตาทิ้งแล้วหันไปจับแขนเขา เจ้าภู...ฟ้า...ฟ้าเห็นใจคุณค่ะ เจ้าภูวิษะไม่ได้ตอบอะไรออกมา สิ่งที่ทำมีเพียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 20 มิถุนายน 2556 |
|
1 comments |
Last Update : 20 มิถุนายน 2556 18:28:02 น. |
Counter : 1600 Pageviews. |
|
|
|