ท้องแบบไหนถึงผ่าคลอด

ผ่าตัดคลอด หรือ Caesarean Section เป็นการผ่าตัดคลอดทารกทางหน้าท้องบริเวณด้านล่างของมดลูก วิธีคลอดแบบนี้ไม่ใช่วิธีธรรมชาติ และหมอสูติฯ ส่วนใหญ่ได้รับการฝึกให้ผ่าตัดคลอดในกรณีที่จำเป็นจริงๆ

และก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกทางไหน... ผ่าตัดคลอดหรือคลอดธรรมชาติ อยากให้คุณพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้อย่างละเอียดค่ะ


ผ่าตัดคลอดจำเป็นเมื่อ...
*เด็กอยู่ในท่าผิดปกติภายในมดลูก เช่น อยู่ในท่าหันข้างเอาก้นลง หรือเอาเท้าลง ซึ่งโดยทั่วไปเด็กจะต้องเอาหัวลงจึงจะถือเป็นท่าปกติ
*แม่มีความดันเลือดสูง (ครรภ์เป็นพิษ) หรือเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ
*ตั้งท้องแฝดมากกว่าสองคน
*ไม่มีความคืบหน้าในการคลอด เนื่องจากการกระตุ้นการคลอดไม่สำเร็จ
*สายสะดือเคลื่อนออกทางช่องคลอด
*รกเกาะตัวต่ำจนครอบบริเวณปากมดลูก
*เด็กตัวโตมาก
*การตกเลือดก่อนคลอด เนื่องจากรกลอกตัวก่อนกำหนด ฯลฯ


ยาชามีกี่แบบ
แน่นอนค่ะ เมื่อผ่าตัดก็ย่อมต้องมียาชา ยาสลบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งวิธีการที่ใช้ในกระบวนการผ่าคลอดนั้นทำได้หลายวิธี ดังนี้
*ฉีดยาชาเข้าทางไขสันหลังแบบเอพิดูรัล (Epidural) ซึ่งนิยมกันมากที่สุด วิธีนี้แม่จะรู้สึกตัวตลอดระยะเวลาของการผ่าตัด เมื่อคลอดเสร็จจะสามารถอุ้มลูกได้ทันที การฉีดยาชาแบบนี้แม่จะได้ยินเสียงดูดของเหลวต่างๆ และรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในท้องและการดึงรั้งในขณะที่ลูกกำลังคลอด
*ฉีดยาชาเข้าไปในช่องไขสันหลัง (Spinal Anaesthetic) วิธีนี้จะคล้ายคลึงกับวิธีแรก แต่ยาจะออกฤทธิ์เร็วกว่าและระยะเวลาสั้นกว่า ส่วนใหญ่หมอจะใช้ในกรณีฉุกเฉิน
*ให้ยาสลบ (General Anaesthetic) วิธีนี้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเหมือนวิธีที่สอง และการผ่าตัดต้องทำในทันที โดยแม่จะเสียการรับรู้ทั้งหมด


ขั้นตอนการผ่าตัดคลอด
1. โกนขนบริเวณหัวหน่าว และทำความสะอาด
2. ใส่สายสวนคาไว้ในกระเพาะปัสสาวะเพื่อไม่ให้มีปัสสาวะค้าง
3. ให้น้ำเกลือเข้าเส้นที่หลังมือ
4. รัดสายวัดความดันที่แขน เพื่ออ่านความดันเลือดได้ตลอดเวลา
5. คลุมผ้าสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัด กั้นม่านไม่ให้แม่เห็นบริเวณที่จะผ่าตัด
6. เริ่มให้ยาชาเข้าไขสันหลัง รอเวลาให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่
7. เมื่อแน่ใจว่ายาสลบทำงานเรียบร้อยดีแล้ว หมอจะเริ่มผ่าบริเวณหน้าท้องด้านล่าง ซึ่งมักผ่าตามแนวที่เรียกว่า "บิกินี่"
8. ยกกระเพาะปัสสาวะขึ้น แล้วกรีดมีดที่มดลูก
9. เจาะถุงน้ำแล้วดูดน้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กออก
10. ดึงตัวเด็กออกมา บางครั้งต้องใช้คีมดึงหัวออกมากรณีที่หัวอาจติดแน่นในช่องเชิงกราน
11. ถ้าหมอฉีดยาชาเข้าทางไขสันหลังหรือเข้าไปในช่องไขสันหลัง เราอาจเห็นลูกขณะที่คลอดออกมา แถมยังได้ยินเสียง
และได้อุ้มลูกในทันที
12. ขณะที่ลูกคลอดจะมีการฉีดยาซินโทมิทรีนเพื่อช่วยให้รกลอกตัว และทำคลอดรก จากนั้นจึงเย็บปิดแผล
13. หลังผ่าตัดเสร็จ แม่จะถูกพาไปห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดเพื่อเฝ้าดูอาการ ส่วนลูกอาจไปที่ห้องทารกแรกเกิดเพื่อเฝ้าดูอาการ


ผ่าตัดคลอดดีกับแม่อย่างไร?

ข้อดี
*ช่วยชีวิตแม่ ในกรณีที่การคลอดนั้นๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพแม่

ข้อเสีย
*เสี่ยงต่อการเสียชีวิต สูงกว่าคลอดธรรมชาติสองเท่า
*เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในช่องท้อง เพราะการผ่าตัดคลอดต้องผ่าเข้าทางช่องท้อง ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ ในช่องท้อง และเส้นเลือดต่างๆ
*เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้แม่ต้องอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น ทำให้การพักฟื้นหลังผ่าตัดนานออกไป และอาจส่งผลต่อการให้นมลูก
*เสี่ยงต่อผลแทรกซ้อน เพราะการผ่าตัดคลอดต้องใช้ยาชาหรือยาสลบ ซึ่งอาจมีผลแทรกซ้อนต่อแม่ได้
*ตั้งท้องยากขึ้น เพราะหลังจากผ่าตัดคลอดครั้งแรกแล้ว โอกาสตั้งท้องครั้งต่อไปอาจเกิดภาวะการเคลื่อนตัวของไข่ได้ง่ายมากขึ้น ทำให้ท้องนอกมดลูกได้ ซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดคลอดอีกหน
*รู้สึกผิดหวัง เพราะผู้หญิงบางคนเมื่อเป็นแม่ก็อยากจะรับรู้ความรู้สึกของความเป็นแม่ผ่านการคลอดเองตามธรรมชาติ ดังนั้นการผ่าตัดคลอดอาจทำให้แม่ไม่ได้ซึมซับความรู้สึกดังกล่าวได้
*แยกกันหลังคลอดทันที เพราะการผ่าตัดคลอดทั้งแม่และลูกจะต้องแยกกันอยู่คนละห้อง โดยลูกต้องอยู่ในห้องทารกแรกเกิด ส่วนแม่ต้องพักฟื้นในห้องผู้ป่วยนอก ตรงนี้ทำให้สายสัมพันธ์แรกคลอด (Bonding) ระหว่างแม่ลูกขาดหายไปได้ในระยะแรกๆ
*ระยะฟื้นตัวจะยาวนานกว่า คือต้องรอให้แผลสมานกันดีประมาณ 1 เดือน


ผ่าตัดคลอดมีประโยชน์กับลูกอย่างไร?

ข้อดี

*ช่วยชีวิตเด็ก ในบางกรณีการผ่าตัดคลอดจำเป็น เพื่อช่วยชีวิตเด็กเอาไว้
*กระทบกระเทือนเด็กน้อยกว่า ในกรณีมีข้อสงสัยที่ว่าเด็กในท้องอาจมีปัญหา การผ่าตัดคลอดช่วยลดการกระทบกระเทือนต่อเด็กได้ เมื่อเทียบกับการคลอดทางช่องคลอด

ข้อเสีย

*ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเด็กที่ได้รับการผ่าตัดคลอดมักจะเป็นเด็กที่มีความเสี่ยงสูง ส่วนใหญ่จะคลอดก่อนกำหนด ดังนั้นจึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องของการหายใจ บางรายอาจได้รับผลกระทบจากยาที่ใช้ในการผ่าตัด คือ ยาจะไปกดทางเดินหายใจของลูก ทำให้หายใจยากเข้าไปอีก
*ผลกระทบจากยาชา เด็กบางคนอาจได้รับผลเสียจากการใช้ยาชาหรือยาสลบ
*ผลกระทบจากมีดผ่าตัด ในบางกรณีเด็กบางคนอาจถูกมีดบาดในขณะที่หมอกรีดเปิดมดลูก
*อาจมีปัญหาการหายใจ เพราะการผ่าตัดคลอดจำเป็นต้องนัดผ่า และอาจทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด ซึ่งทำให้มีปัญหาการหายใจได้ เนื่องจากขาดฮอร์โมนบางชนิดที่เด็กสร้างขึ้นระหว่างการคลอดปกติ (ฮอร์โมนดังกล่าวทำหน้าที่เป็นสารเคลือบเยื่อบุปอด ทำให้ปอดขยายตัวเต็มที่ ส่งผลให้เด็กหายใจได้ตามปกติ)
*สายสัมพันธ์แรกคลอดขาดหายไป เพราะการที่แม่และลูกต้องแยกจากกันทันทีหลังคลอด อาจส่งผลกระทบต่อสายสัมพันธ์แรกคลอดได้
*ลูกไม่ได้ดูดนมแม่ทันที เพราะหลังผ่าตัดคลอด ทั้งแม่และลูกต้องแยกกันอยู่คนละห้อง ทำให้โอกาสที่ลูกจะได้ดูดนมแม่น้อยลง

จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่าการผ่าตัดคลอดนั้นเป็นวิธีที่เฉพาะจริงๆ สำหรับแม่บางกรณีเท่านั้น ทีนี้ถ้าหมอคนไหนอยากลงมือเอามีดผ่าตัดโดยไม่บอกสาเหตุ หยิบยกข้อมูลนี้ท้วงติงเลยค่ะ


จาก: รักลูก




Create Date : 08 มิถุนายน 2552
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 20:41:20 น.
Counter : 1012 Pageviews.

0 comments

เจ้าแม่แฟชั่น
Location :
  Maldives

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



Group Blog
มิถุนายน 2552

 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30