เลือกคลอดแบบไหนดี


โดยเฉพาะยิ่งใกล้ถึงวันคลอด ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น แม้จะรู้กันดีว่า การคลอดธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับคุณแม่บางคนก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถคลอดเองได้ตามธรรมชาติ เช่น รกเกาะต่ำ หรือทารกไม่ได้เอาศีรษะลง
วันนี้เรามีทางเลือกในการคลอดแบบต่างๆ มาฝากว่าที่คุณแม่กันค่ะ


การคลอดบุตรทางช่องคลอด
เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ขณะฝากครรภ์ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และทารกต้องอยู่ในท่าเอาศีรษะลงเข้าสู่เชิงกราน ซึ่งการคลอดแบบธรรมชาตินี้ จะส่งผลดีกับคุณแม่และคุณลูกมากกว่าการผ่าตัดคลอด

ขณะรอคลอด สิ่งที่คุณแม่ทุกท่านกังวลมากที่สุด คือการเจ็บครรภ์คลอด ซึ่งทางแพทย์อาจจะมีวิธีบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ยาฉีดแก้ปวดเข้าทางเส้นเลือดคุณแม่ ซึ่งยาอาจจะมีผลกับทารกในครรภ์เล็กน้อย

แต่วิธีที่นิยมมากกว่าและไม่มีผลต่อทารกในครรภ์คือ การฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง หรือการบล็อกหลัง ซึ่งการบล็อกหลังต้องดูความเหมาะสมและความสมัครใจของคุณแม่เป็นรายๆไป และจะมีการปรับระดับยาที่จะลดความเจ็บปวดให้เหมาะสมกับคุณแม่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมด 10 ซม. คุณแม่ก็ยังสามารถมีแรงเบ่งคลอดบุตรได้

ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก ทารกมีขนาดตัวใหญ่ คุณแม่มีขนาดตัวเล็ก ก็อาจทำให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอดค่อนข้างมาก อีกทั้งการที่ไม่ตัดแผลฝีเย็บเพื่อขยายช่องทางคลอด อาจจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด และเป็นอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียงได


การผ่าตัดคลอด
ปัจจุบันอัตราการผ่าตัดคลอดมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น เนื่องจากคุณแม่ส่วนใหญ่มีบุตรเมื่ออายุมากขึ้น จึงทำให้ค่อนข้างกังวลต่อการตั้งครรภ์ หรือคุณแม่บางคนมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน หรือเบาหวาน คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้มักจะได้รับการแนะนำให้ผ่าตัดคลอด นอกจากนั้นการผ่าตัดคลอดยังมีปัจจัยเรื่องฤกษ์คลอดเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยความเชื่อว่าเวลาเกิดที่ดี จะช่วยส่งเสริมความเจริญให้กับชีวิตลูก

การผ่าตัดคลอดในปัจจุบัน มีวิธีที่จะทำให้คุณแม่ไม่มีความรู้สึกในขณะการทำการผ่าตัด นั่นคือการดมยาสลบ และการฉีดยาเข้าที่ไขสันหลัง (การบล็อกหลัง)

การผ่าตัดคลอดแบบดมยาสลบ คุณแม่จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการคลอด ไม่ได้เห็นลูก ไม่ได้สัมผัสลูกในทันที ต้องรอให้ฟื้นก่อน ที่สำคัญยาสลบอาจมีผลกับลูกได้ ลูกคลอดมาแล้วไม่ค่อยร้อง ไม่ค่อยหายใจ เพราะระหว่างอยู่ในท้องจะรับยาสลบเข้าไปด้วย

ส่วนการผ่าตัดแบบบล็อกหลัง ต้องให้คุณแม่นอนตะแคงให้ตัวงอเหมือนกุ้ง แล้วฉีดยาเข้าไขสันหลัง โดยจะต้องฉีดยาชาก่อน หลังจากนั้นร่างกายส่วนล่างก็จะชา ไม่มีความรู้สึก ซึ่งจะชาเต็มที่ประมาณ 5-10 นาที

การบล็อกหลังคุณแม่จะมีสติและมีส่วนร่วมในการคลอด ได้ยินเสียง ได้เห็นหน้าลูก ได้สัมผัสความรู้สึกถึงความเป็นแม่อย่างเต็มที่ หลังผ่าตัดคุณแม่จะยังชาต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมง ถ้าหากแพทย์ใส่ยาแก้ปวดกับยาชาไปด้วย ก็จะไม่เจ็บแผลไปอีก 1 วันเต็ม

ที่สำคัญลูกไม่ได้ผลกระทบจากยาชาที่ฉีด เพราะยาจะเข้าไปที่โพรงประสาทไขสันหลังเท่านั้น ไม่ได้ดูดซึมเข้ากระแสเลือด

แต่ข้อเสียของการผ่าตัดคลอดคือ คุณแม่จะเสียเลือดมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดถึง 2 เท่า และจะมีอาการเจ็บแผลนาน และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการคลอดเอง


การคลอดในน้ำ
การคลอดในน้ำเริ่มมาจากต่างประเทศ เพื่อลดความทรมานของคุณแม่ขณะเจ็บท้อง ด้วยการให้คุณแม่ลงไปแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นขนาดใหญ่ คุณแม่จะรู้สึกสบายขึ้น คลอดได้ดีขึ้น ไม่ต้องให้ยาแก้ปวดหรือสารละลายทางเส้นเลือด จุดเด่นอีกอย่างของการคลอดในน้ำคือ หลังจากหัวเด็กโผล่พ้นช่องคลอดของแม่ ก็จะลอยอยู่ในน้ำ ซึ่งน้ำจะช่วยรับแรงกระแทกที่อาจทำอันตรายแก่ทารก

คุณแม่ที่จะคลอดในน้ำจะต้องเป็นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เพราะการคลอดในน้ำจะไม่มีการใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจลูก ดังนั้นถ้าคุณแม่สงสัยว่าจะมีน้ำคร่ำน้อย รกเสื่อม สายสะดือพันคอเด็ก หรืออาจจะมีการขาดออกซิเจนได้ ก็ไม่ควรทำการคลอดในน้ำ

ไม่ว่าคุณแม่จะคลอดวิธีไหนก็ตาม ที่สำคัญควรฟังคำแนะนำจากสูติแพทย์ที่คุณแม่ฝากท้องไว้ดีกว่า เพราะสิ่งที่แพทย์จะคำนึงอย่างแรกในการทำคลอดคือ ทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดมารอด และแม่ต้องปลอดภัย


//www.women.sanook.com





Create Date : 26 มกราคม 2552
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 20:26:39 น.
Counter : 1008 Pageviews.

0 comments

เจ้าแม่แฟชั่น
Location :
  Maldives

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



Group Blog
มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
24
25
27
28
29
30
31