|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
น้ำหนักขณะตั้งครรภ์ต้องเพิ่มเท่าไรจึงถึอว่าเหมาะสม และง่ายต่อการลดน้ำหนักหลังคลอด
น้ำหนักที่เพิ่มขณะตั้งครรภ์มีส่วนไหนเพิ่มมามั่ง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์เป็นผลมาจากหลายส่วน ทั้งจากทารกในครรภ์ รก น้ำคร่ำ มดลูก เต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้น ปริมาณเลือด และน้ำในเซลล์ที่เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วน้ำหนักของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นมากในช่วงกลางของการตั้งครรภ์ นั่นคือประมาณเดือนที่ 3 เป็นต้นไป เพราะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์นั้นคุณแม่ส่วนใหญ่จะแพ้ท้องและอาการแพ้อาจจะทำให้กินอะไรได้ไม่ค่อยได้ ส่วนช่วงใกล้คลอดนั้นอย่าว่าแต่จะขยับตัวไปกินเลย แม้แต่จะนอนยังลำบาก ทั้งนี้ในช้วงแรกกันช่วงหลังๆ อัตราการเพิ่มของน้ำหนักจึงไม่มาก แต่จะมากในช่วง 4-6 เดือน
แล้วขณะที่ท้องน้ำหนักเพิ่มเท่าไรถึงจะอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งต่อแม่ และลูกในครรภ์ เกณฑ์ที่ใช้วันตามหลักจะวัดจากน้ำหนักตัวคุณแม่มากหรือน้อย (Body Mass Index หรือ BMI) อีกชื่อที่คุ้นชินกันคือดัชนีน้ำหนักมวลกาย คุณแม่ที่มี BMI น้อยกว่า 19.8 ถือว่าผอม ส่วนคุณแม่ที่ BMI มากกว่า 29 ถือว่าอ้วน การคำนวณทำได้จาก น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2 ซึ่งก็เท่ากับ [กิโลกรัม ÷(เมตร2)] เช่น น้ำหนัก 60 กก. สูง 170 ม. ก็จะเท่ากับ 60 หารด้วย 2.89 = 20.76 ซึ่งแสดงว่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ตารางเปรียบเทียบค่า BMI ช่วงตั้งครรภ์ ตารางเปรียบเทียบค่า BMI ช่วงตั้งครรภ์ | น้อย | BMI น้อยกว่า19.8 | ปกติ | BMI 19.8 26 | มาก | BMI > 26 - 29 | อ้วน | BMI มากกว่า29 |
หลังคลอดน้ำหนักจะลดลงเท่าไร และลดลงได้อีกไหม แน่นอนว่าเมื่อคุณแม่คลอดแล้ว น้ำหนักจะลดลงทันที 5-6 กิโลกรัม ซึ่งส่วนที่หายไปคือ น้ำหนักของลูกน้อย รก น้ำคร่ำ และเลือดที่ออกขณะคลอด และหลังจากนั้นภายในสัปดาห์แรกหลังคลอดน้ำหนักคุณแม่จะหายไปอีกประมาณ 3-5 กิโลกรัม เนื่องจากกระบวนการของร่างกายที่จะขับน้ำที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากขณะตั้งครรภ์ออกทางปัสสาวะ (diuresis) แต่น้ำหนักที่มาจากไขมันที่พอกพูนขึ้นระหว่างตั้งครรภ์นั้นจะยังไม่หายไปไหน
สามารถลดน้ำหนักได้เลยไหมหลังจากคลอดแล้ว หากคุณต้องการที่ลดน้ำหนักหลังคลอดนั้นได้แน่นอนแต่ต้องรอให้เกิน 45 วันหลังจากคลอด แล้วทำไมต้องรอนานขนาดนั้น เพราะช่วงเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่จะต้องใส่ใจกับลูกน้อยให้มากที่สุด และยิ่งคุณแม่ที่ให้นมลูก ขอให้ลืมความคิดเรื่องลดน้ำหนักไปก่อน และการงดอาหารในช่วงนี้เท่ากับว่าทำให้ลูกน้อยได้สารอาหารผ่านทางน้ำนมลดลงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักในช่วงนี้อาจทำให้ปวดแผลที่ฝีเย็บหรือแผลผ่าตัดที่หน้าท้องอีกด้วย ต้องรอ
อย่างที่บอกข้างต้นการลดน้ำหนักสามารถทำได้แต่ขอให้ผ่านช่วง 45 วันแรกไปก่อน แต่การลดน้ำหนักใดผมว่าก็ไม่เท่าการคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ โดยผมเคยบอกไปในช่วงก่อนหน้าว่าการตั้งครรภ์นั้นคุณแม่ต้องการลังงานเพิ่มเพียงแค่วันละ 500 กิโลแคลอรี่หรือแค่ก๋วยเตียวชามเดียว ไม่จำเป็นต้องเร่งทำน้ำหนัก หากเร่งทำน้ำหนักผลก็คือส่วนเกินที่เหลือไว้กับแม่เท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าความสุขที่สุดของคุณแม่ทุกท่าน คงไม่อยู่ที่การได้หุ่นสวยเพรียวเท่าตอนก่อนตั้งครรภ์กลับมาครอบครอง แต่ความสุขที่แท้จริง น่าจะเป็นการได้เลี้ยงดูและเห็นลูกน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ต่างหากหรือว่าที่คุณแม่ว่าไงครับ
Create Date : 14 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 14 สิงหาคม 2556 14:15:31 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3853 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|