|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
The flowershop without a rose. คนดี...เลือกเป็นได้
เป็นซีรีย์ที่ดูแล้วโดนใจมากๆ จนต้องขอเขียนก่อนทั้งๆ ที่ยังดูไม่จบ
มีคนเคยบอกว่า ซีรีย์เรื่องนี้นับเป็นซีรีย์แห่งปีสำหรับเขาเลยทีเดียว เพราะเนื้อเรื่องกินใจ แถมได้ชินโง หนึ่งในสมาชิกวง SMAP มาแสดง ซึ่งก็มีไม่บ่อยนักที่ชินโงจะเล่นบทแบบนี้ จริงๆ ฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไร เพราะไม่ได้เป็นแฟนซีรีย์ตัวจริง
แต่ดูแล้วก็ต้องบอกว่า นับเป็นหนึ่งในซีรีย์แห่งปีจริงๆ ค่ะ (แค่แพ้มหัศจรรย์คนพันธุ์กวางที่ได้รางวัลยอดเยียมของฤดูที่ผ่านมาเท่านั้น) ชินโงเล่นได้ดี แม้ตอนที่ฉันเป็นหน้าชินโงแล้วจะรู้สึกขำ ๆ เพราะคอยจะนึกถึงรายการ SMAP ที่เคยดู ฉันพยายามนึกว่าชินโงหน้าละม้ายใครที่ฉันรู้จักหรือเปล่าอยู่นาน จนวันหนึ่งได้ดูละครที่พี่ชูศรี เชิญยิ้มเล่นก็เลย อืม คล้ายๆ แฮะ แต่พอมาเจอหน้าพี่จาพนมก็เลย อืม ละม้ายกว่าแฮะ แต่ถึงจะไม่หล่อเร้าใจ แต่รอยยิ้มของชินโงก็ดูจริงใจดี ซึ่งนี่ก็อาจเป็นที่มาที่ทำให้ชินโงได้บทในเรื่องนี้ไป
ก่อนเล่าเรื่องซีรีย์ของเล่าเรื่องชินโงก่อน คาโตริ ชินโง เป็นสมาชิกวง SMAP ที่มีอายุน้อยที่สุด (ปีนี้ก็ 32 ปี) เข้าวงการโดยสังกัดค่ายจอห์นนีมาตั้งแต่อายุประมาณ 10-12 ขวบ โดยฝึกปรือฝีมืออยู่หลายปีจนได้มาเป็นสมาชิกของ SMAP ในที่สุด ในด้านการแสดง ชินโงมีผลงานซีรีย์และภาพยนตร์ไม่น้อย ซึ่งฉันไม่เคยดูเลยสักเรื่อง และจากการเสาะหาประวัติของชินโงก็พบว่า เขายังมีอาชีพเป็นพิธีกรให้หลายรายการ รายการที่สร้างชื่อก็เช่น รายการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ทิ่ชินโงแปลงร่างเป็นมามาชินโง ฉันเคยดูรูปจากรายการนี้แล้วขำกลิ้งเลย เพราะชินโงฉีก (ปาก) ยิ้มได้กว้างมากๆ คล้ายๆ มิสซิสเดาท์ไฟร์ที่แสดงโดยโรบิน วิลเลี่ยม
ทำไมร้านดอกไม้จึงไม่ขายกุหลาบ ทั้งๆ ที่กุหลาบคือดอกไม้ที่ขายดีที่สุด
คำถามนี้นอกจากจะคาใจตัวละครในเรื่องแล้ว ยังคาใจคนดูอย่างฉันเหมือนกัน เออ... นั่นสิ... ทำไม... เนื้อเรื่องในเริ่มต้นพยายามพาเราไปหาคำตอบ ด้วยการทำให้เราเชื่อว่า ผู้ชายคนหนึ่ง (ชิโอมิ เอจิ) ถือดอกกุหลาบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาที่โรงพยาบาล เพื่อพบว่าภรรยาของเขาต้องจบชีวิตหลังคลอดลูกสาวออกมา จากนั้นเขาก็เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นอย่างดี แม้ว่าจะต้องทำงานหนักสารพัด จนสุดท้ายมาเปิดร้านขายดอกไม้ใกล้กับสถานีรถไฟ
วันหนึ่งเขาได้พบกับหญิงสาวตาบอดที่มายืนหลบฝนอยู่ที่หน้าร้าน และเสนอให้ยืมร่ม หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มสานสัมพันธ์ต่อกันโดยไม่รู้ว่ากำลังเดินเข้าสู่เกมแห่งการแก้แค้นของใครบางคน
การดำเนินเรื่องจะแทรกภาพวิดีโอของ แม่ ที่พูดถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต การได้รู้จักและได้รัก การมองโลกในแง่มุมต่างๆ ของเธอ ซึ่งป็นกำลังใจอย่างดี และสอนให้ลูกสาวเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน เข้มแข็ง และรู้จักช่วยเหลือคนอื่นๆ ตอนหนึ่งเธอพูดว่า การที่เรามีความสุขได้ เราจะต้องรู้จักหยิบยื่นให้กับคนอื่น แม้ในครั้งแรกอาจไม่ได้มาจากใจ แต่ซักวันจะทำให้กลายเป็นคนอ่อนโยนในที่สุด แล้วคุณก็จะได้รับความสุข เพราะการทำดีกับคนอื่นเราก็จะรู้สึกดีไปด้วย ประทับใจดีนะคะ ทำให้นึกถึงตัวเอง ซึ่งกำลังพยายามทำตัวให้มีความสุขด้วยการช่วยเหลือคนอื่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที เพราะมีแต่เรื่องไปให้เขาช่วยเหลือตลอด
ที่ฉันประทับใจก็คือ การเลี้ยงดูและอบรมลูกสาวตัวเล็กๆ ของคนขายดอกไม้ที่น่ารักมากๆ เพราะแสดงถึงความใกล้ชิดกันมากๆ ของพ่อลูกคู่นี้ อย่างตอนเริ่มเรื่อง ลูกสาว ชิซึกุ ใส่หน้ากากผ้าไปเรียนหนังสือ เพราะชื่นชอบในตัวของพี่หน้ากากหุ่นเชิด เอจิพยายามหาวิธีมากมาย เพื่อให้ลูกถอดหน้ากาก แต่ก็ไม่สำเร็จ จนวันหนึ่งที่ไปเดินเล่นด้วยกัน ทั้งสองพูดถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ลมเหนือที่พยายามจะพัดเสื้อนักเดินทางให้หลุดออก แต่นักเดินทางกลับยิ่งประชับเสื้อให้แน่นขึ้น ในขณะที่พระอาทิตย์แค่แผดแสงอันร้อนแรง โดยไม่ต้องเข้าใกล้ นักเดินทางก็ถอดเสื้อออก winner ก็คือพระอาทิตย์ เอจิเปรียบเทียบความรักของแม่ (ที่ตายไปแล้วของชิซุกะ) ก็เหมือนกับพระอาทิตย์ที่เมื่อเข้าใกล้ลูกก็อาจถูกแผดเผา จึงต้องคอยมองดูอยู่ห่างๆ แต่ก็ให้ความอบอุ่นใจอยู่ตลอดเวลา แม้ลูกจะรู้สึกสงสารพ่อที่ทำหน้าเศร้าเพราะคิดถึงแม่เวลาที่เห็นหน้าเธอจึงสวมหน้ากาก แต่แม่คงไม่ภูมิใจเท่าไร เพราะแม่ต้องเสียสละชีวิตเพื่อคลอดลูกออกมา เอจิบอกกับชิซึกุว่า ไม่ต้องสงสารพ่อเพราะถ้าไม่มีลูก พ่อก็จะต้องคิดถึงแต่ตัวเอง ทำงานหนักเพื่อตัวเอง เป็นชีวิตที่ไร้ค่าไร้ความหมาย ได้ฟังแบบนี้ชิซุกะก็บ่อน้ำตาแตกยอมถอดหน้ากากออก ชิซุกะบอกเอจิว่า พ่อก็คือพระอาทิตย์ เอจิตอบว่า พ่อไม่มีวันทำร้ายลูก (คนดูเองก็น้ำตาซึมไปเหมือนกัน)
คำพูดของเอจิสะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในสังคมโลกที่มีแต่ความเจริญจริงๆ เพื่อนคนหนึ่งเคยถามฉันตอนที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งใหม่ๆ ว่า มัวแต่ทำงาน หาเงิน กลับบ้านดึกดื่น ทำไปเพื่ออะไร ความรุ่งโรจน์ของบริษัท ซึ่งหมายถึงความมั่นคงในหน้าที่การงานหรือ ??? แล้วสุขภาพของเรา ความสุขของเราล่ะ คุณเคยได้นึกถึงไหม เพราะบริษัทไม่ได้อยู่ได้ด้วยเราคนเดียวหรอก แต่มันอยู่ได้ด้วยคนหลายคนที่ต้องช่วยกัน เราต้องหาวิธีแบ่งงานให้คนอื่นไปทำบ้าง แล้วหาเวลาว่างมาทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง .....ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็เลิกกลับบ้านดึก พยายามจัดการงานต่างๆ ในเวลาและหัดเป็นคนที่รู้จักเชื่อใจคนอื่น เพื่อจะได้มีมือขยันมาช่วยงาน
มีหลายตอนมากที่ให้ความรู้สึกดีๆ ที่ต้องดู เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ทั้งการตีความหรือจับประเด็นต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน ซึ่งอาจประทับใจได้ไม่เหมือนกัน
เนื้อเรื่องค่อยๆ ดำเนินไป มีเหตุการณ์และตัวละครต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวพัน และนำพาเราเข้าไปไขความลับบางอย่างของคนขายดอกไม้ ทั้งเรื่องของชาติกำเนิด และสาเหตุของการแก้แค้น แม้จะเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวไปบ้าง แต่ก็ทำให้รู้สึกว่า คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะเป็นคนดีได้เสมอ เหมือนคนขายดอกไม้ซึ่งอดีตเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เป็นนักสู้นิรนามที่ต้องต่อสู้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เป็นชีวิตที่เลือกไม่ได้ แต่เขาสามารถเลือกที่จะเป็นคนดีได้
สังคมเมืองใหญ่มีเด็กแบบนี้มากมายที่ถูกพ่อแม่รังแก หรือถูกทอดทิ้ง กุหลาบ สัญลักษณ์ของเรื่องจึงมีที่มาส่วนหนึ่งจากชีวิตของนักสู้นิรนาม ที่ต้องมีอาวุธ (หนาม) เพื่อไว้ต่อสู้กับชีวิตอันโหดร้าย ทั้งจะไม่ยอมเชื่อใจใคร นอกจากคนที่เลือกแล้ว และจะไม่ยอมขุดตัวเองขึ้นมาขาย ร้านดอกไม้แห่งนี้จึงไม่มีดอกกุหลาบ
ทำให้นึกถึงตอนไปเข้าอบรมทางจิตวิทยากับอาจารย์ปรัชญา ปิยะมโนธรรม ซึ่งอาจารย์ให้เราจับคู่กับเพื่อนแล้วพูดสิ่งที่อยากทำหรือเป้าหมายในชีวิตให้เพื่อนฟัง ตอนนั้นฉันบอกว่าฉันอยากเป็นคนดี เพื่อนคนนั้นถามฉันว่า ขนาดคุณยังเป็นคนไม่ดีอีกหรือ ฉันหัวเราะแล้วบอกว่า คุณเห็นฉันและรู้จักฉันจากเปลือกที่หุ้มอยู่ภายนอก จริงๆ แล้วฉันยังมีข้อไม่ดีมากมาย เช่น ความเห็นแก่ตัว อิจฉา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเป็นผู้นำคนอื่น ฉันต้องต่อสู้กับความไม่ไว้วางใจใคร ทำให้ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร และต้องทำงานหนัก เพราะไม่มีใครทำงานได้ดังใจ แต่หลังจากพูดไปแล้วอาจารย์กำชับว่าต้องปฏิบัติด้วย ฉันก็กลับมาปฏิบัติเพื่อลดความไม่ดีต่างๆ ลง และหวังว่าตัวเองจะพบกับความสุขในวันหนึ่ง
ตอนจบของเรื่องดูจะหักมุมเอาใจคนดูไป นิดนึง ไม่เป็นไร พอทน
อยากให้ดูค่ะ เด็กหญิงที่รับบทเป็นลูกสาว แสดงได้น่ารักมากๆ แม้บางตอนดูจะโตเกินวัย 8 ขวบไปหน่อยนึง แต่ก็โอ.เค. เพราะให้ข้อคิดดีๆ เอาไว้เลี้ยงลูกได้เหมือนกัน
ทิ้งท้ายคำพูดหนึ่งของเอจิ ที่บอกว่า
แม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่การได้อยู่ร่วมกัน ก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
รักกันไว้เถิด คนไทย
ขอให้มีความสุขค่ะ
Create Date : 24 มีนาคม 2552 |
|
25 comments |
Last Update : 24 มีนาคม 2552 11:12:02 น. |
Counter : 919 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: akumon IP: 114.128.53.100 24 มีนาคม 2552 16:59:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: MamLHC 2 เมษายน 2552 0:24:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: veerar 23 เมษายน 2552 0:34:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 23 เมษายน 2552 4:48:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: i_am_np 23 เมษายน 2552 9:21:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: plely 23 เมษายน 2552 9:47:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) 23 เมษายน 2552 10:28:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 23 เมษายน 2552 21:43:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: โยอิจิ IP: 202.90.6.36 17 พฤศจิกายน 2552 10:40:46 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เป็นคนอยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง จึงชอบค้นคว้า ทดลองเพื่อให้ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้
ชื่อ "มังคุด" มาจากแมวน้อยสีเทา บางคนก็บอกว่ามันคือสีสวาด ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว จึงไปไหนมาไหนไม่สะดวก โลกของมังคุดคือ "บ้าน"
บ้านของมังคุดประกอบไปด้วย คุณแม่ คุณตา คุณยาย และพี่ๆ สี่ขา ได้แก่ พี่สาวมะลิ พี่ขนมตาล พี่น้อยหน่า คุณป้าถุงเงิน และคุณยายมะขาม กับคุณหมาๆ อีก 4 ตัว คือ คุณซาลาเปา คุณดาร์กี้ น้องตังเมและแตงโม แวดล้อมไปด้วยกองหนังสืออีกมากมายที่อ่านไปแล้วเกือบทุกเล่ม แต่ก็ยังไม่หมดซะที
ส่วน "มะลิ" เป็นชื่อแมวน้อยสีขาว พี่สาวมังคุด ซึ่งโลกของเธอคือสวนและต้นไม้เล็กๆ หน้าบ้าน มะลิมักชอบลับเล็บกับเถาพวงคราม จากนั้นจะปีนขึ้นไปอาบแดดบนหลังคาโรงเก็บของของคุณตา ช่วงหน้าร้อนจะมีนกอีแพรด (คุณตาบอก) สองตัวคอยบินโฉบหัวมะลิทุกเช้าและบ่าย โดยที่มะลิไม่เคยจับมันได้ ยกเว้นบางครั้งที่แอบไปเอาลูกนกจากรังกลับบ้านไปให้คุณยายช่วยเลี้ยง ซึ่งก็ตายทุกที
|
|
|
|
|
|
|