เรื่องสั้น 'เหตุเกิดในม็อบ' ปี 2551


ตีพิมพ์ครั้งแรกในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับวันที่ 17-23 ตุลาคม พ.ศ.2551

เรือกำลังพุ่งตรงไปยังเวิ้งน้ำเบื้องหน้า ก่อนจะหยุดในท่ามกลางคลื่นลม พวกเราช่วยกันโปรยเถ้ากระดูกของพ่อไปตามสายน้ำ หลานๆ ช่วยกันโรยกลีบดอกไม้ตามไป
นี่คงเป็นภารกิจครั้งสุดท้ายสำหรับการส่งพ่อไปสวรรค์ ในฐานะลูก เราทำทุกอย่างเต็มที่และดีที่สุดให้กับพ่อเพื่อไว้อาลัยท่านเป็นครั้งสุดท้าย คิดแล้วก็ใจหายที่จะไม่มีพ่ออีกแล้ว...
พ่อป่วยมาได้ 3 เดือน ไล่ๆ กับที่ฉันไปเข้าร่วมประท้วงรัฐบาลหุ่นเชิดในม๊อบกลางเมือง ผู้นำม๊อบบอกว่านี่คือ ‘สงครามครั้งสุดท้าย’ เป็นเหมือนซี่รี่ตอนจบของหนังไตรภาค หรืออาจเป็นเหมือนหนังมหากาพย์ ‘ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงก์’ ...สงครามชิงแหวน ผู้ใดได้แหวนไปครอบครองเป็นต้องเสียคนทุกรายไป แต่ไม่ว่าใครก็ยังอยากครอบครองมัน นั่นเพราะมันหมายถึงอำนาจที่มีอยู่เหนือผู้อื่นนั่นเอง
พ่อกับแม่รู้ว่าฉันไปอยู่โยงที่ม๊อบ งานการแทบไม่ได้ทำ แม่ไม่เห็นด้วย แต่พ่อไม่ได้พูดอะไร เพราะก่อนหน้านี้ฉันก็ไปมาแล้วในหลายม็อบที่เรียกร้องความถูกต้องและยุติธรรม ไปด้วยวิญญาณของนักข่าวก็ด้วย แต่จิตสำนึกต่อหน้าที่พลเมืองนั้น ไม่อาจทำให้เรานิ่งดูดายต่อความไม่ถูกต้องทั้งหลายทั้งปวงได้
แม่พูดว่า เราจะไปทำอะไรพวกเขาได้....ฉันบอกแม่ว่า ฉันคนเดียวหรือใครคนเดียวทำอะไรไม่ได้หรอก เราถึงต้องไปรวมตัวกันไง รวมเพื่อให้มีพลังมากพอจะต่อรองและก่อผลสะเทือน ต้องไม่ยอมให้คนชั่วอยู่ลอยนวล พวกคอร์รัปชั่นกินบ้านกินเมือง พวกที่ชอบเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าต้องได้รับผลกรรมที่พวกมันก่อไว้สิ...ถึงจะถูก
แม่บ่นต่ออีกยาว แต่ฉันไม่ได้ฟังเพราะเดินออกจากบ้านมาแล้ว ขอโทษนะจ้ะแม่ ฉันรู้ว่าแม่คงอึดอัดคับข้องใจกับลูกหัวดื้ออย่างฉันมาก แต่ฉันคิดว่าแม่คงชินแล้ว และก็บ่นไปอย่างนั้นเองด้วยความเป็นห่วงมากกว่า
ความจริงฉันไม่ได้เข้าบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ก่อนพ่อป่วย เพราะพ่อแม่รับไม่ได้กับแฟนคนล่าสุดของฉัน เขาเป็นนักเคลื่อนไหว เป็นศิลปินจนๆ แต่งตัวยับๆ ฉันถูกทางบ้านขอร้องให้ถอยออกห่างจากเขา เมื่อเห็นว่าฉันไม่ฟังเสียงใครแน่แล้ว พ่อกับแม่ก็เปลี่ยนจากการขอร้องมาเป็นการขู่และออกกฎเหล็ก “ห้ามเข้ามาเหยียบบ้าน จนกว่าจะเลิกกับมัน”
ตั้งแต่คบหากับเขา ฉันก็ไม่เคยคิดจะพาเขาเข้าบ้านอยู่แล้วเพราะรู้สถานการณ์ดี ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะเห็นด้วยที่ฉันมาคบกับเขา แต่ฉันโตแล้วและมั่นใจว่าจะเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ได้ แม้จะรู้สึกผิดกับครอบครัวบ้างก็ตาม
ฉันกับเขา...เราไปร่วมต่อสู้ด้วยกัน เช้าจรดค่ำ ค่ำถึงเช้า เราอยู่ในม็อบ เขาทำหน้าที่ตามถนัดของเขา ฉันก็ทำในสิ่งที่ฉันคิดว่าควรทำ เขาขึ้นเวทีร้องรำทำเพลงให้กำลังใจผู้คน ฉันเขียนและอ่านบทกวี บันทึกเรื่องราวประจำวัน ซึ่งเป็นเหมือนบันทึกการต่อสู้ในสงครามครั้งสุดท้ายครั้งนี้ เวลานอกจากนั้นฉันช่วยเก็บขยะในม็อบ แจกอาหาร แลกเปลี่ยนสนทนากับชาวม็อบที่มาจากทั่วสารทิศ และเก็บบันทึกภาพบรรยากาศด้วยกล้องดิจิตอลคู่ใจ นอกนั้นก็คอยเหลียวซ้ายแลขวาดูอะไรที่ไม่ชอบมาพากล และคอยดูแลเขา...คนรักของฉัน ไม่ให้เหนื่อยเกินไปสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้
แดดเดือนพฤษภาคมร้อนระอุ เวทีปราศรัยนั้นตั้งอยู่กลางถนนสายใหญ่ ไม่มีร่มเงาให้ช่วยคลายร้อนได้เลย เราต้องอยู่อย่างนั้นทุกวัน...ทุกคืน และกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด ก่อนจะออกไปที่ม็อบอีกครั้ง ทุกวันฉันจะขับรถไปที่จอดบริเวณใกล้ๆ ม็อบ จัดหาเรื่องอาหารการกินให้คนรัก เตรียมผ้าเย็นให้เขาเวลาเขาเหนื่อย-ร้อน-เพลีย และทำทุกอย่างเท่าที่ฉันจะทำอะไรได้
บางคราวตอนเขาขึ้นเวที หรือกำลังแต่งเพลง ฉันจะปลีกตัวออกไปสังเกตการณ์รอบนอก ไปที่โรงครัวของ ‘กองทัพมด’ ที่ๆ ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าเหมือนกันหมด เสื้อแขนยาวสีน้ำเงินซีด ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง ผู้ชายก็นุ่งกางเกงสีเดียวกัน ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานในหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง เป็นกองทัพมวลชนที่ดูเข้มงวด มีวินัยสูง และแข็งแกร่งมาก
ที่โรงครัวเป็นเต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ มีแคร่และโต๊ะวางผักสด ผลไม้นานาชนิดกองพะเนิน ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่มีผู้บริจาคมาให้ เป็นมวลชนระดับ ‘แฟนคลับ’ ของม็อบขนานแท้ ดังนั้นม็อบนี้จึงไม่เคยอด อาหารการกินพร้อมพรัก ที่จริงออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ จนต้องประกาศให้พวก ‘โฮม เลส’ คนจรผู้ยากไร้มาหยิบไปกินได้ฟรีๆ
ฉันได้ไปช่วยที่โรงครัวบางคราว ช่วยเด็ดใบกะเพราบ้าง หั่นผักบ้าง ตามแต่จะมีงานให้ทำ ดีกว่านิ่งดูดาย ไปช่วยปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น...โบราณว่าอย่างนั้น บางทีตื่นมาตอนเช้า ก็มาช่วยแม่บ้านชาวกองทัพมดกวาดถนน แต่พี่แกชอบห้าม บอกไม่ต้อง คนพวกนี้ขยันขันแข็งมาก และอยู่กับม็อบตลอดเวลา เรียกว่าใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนที่นั่นเลย ส่วนเราหาที่ซุกนอนตรงใต้เวทีปราศรัย ฉันไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนในชีวิต เมื่อก่อนไปม็อบเพื่อหาข่าว หรือไปนั่งฟังการปราศรัยอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ แบบโต้รุ่ง ไม่หลับไม่นอน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการนอนใต้เวทีปราศรัยนั้นน่ากลัวว่ามันจะพังลงมาทับเราตอนกำลังหลับเสียจริงๆ!
เบื้องหน้าที่เราเห็นจากบนเวทีนั้น ต่างจากเบื้องหลังเวทีมาก มวลชนที่นั่งอยู่กลางแดดร้อนระอุมีความอดทนสูง และแน่วแน่แรงกล้าในการมาร่วมประท้วงต่อสู้กับความอยุติธรรม พวกเขาชื่นชมไปจนถึงระดับคลั่งไคล้ในตัวผู้นำม็อบ ด้วยการปราศรัยที่เข้มข้น วาทะคมคายดุเด็ดเผ็ดมันส์ มันช่วยกระตุ้นเร้าความรู้สึกฮึกเหิมของมวลชนชาวม็อบเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อผู้ปราศรัยลงจากเวทีแล้ว พวกเขาจะได้พักผ่อนอยู่ในรถตู้คอนเทนเนอร์คันใหญ่ ติดแอร์เย็นฉ่ำช่วยคลายร้อน มีบอดี้การ์ดคอยเดินตามติดไปทุกที่ ไม่ว่าจะสาวเท้าไปทางไหนก็ตาม ใครบางคนบอกฉันว่า นี่ก็สมฐานะของผู้นำม็อบที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว
นั่นทำให้ฉันนึกถึงนักปฎิวัติผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ‘เช กูวาร่า’ ในช่วงที่เขาเรืองอำนาจในคิวบา มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นผู้นำที่น่าเกรงขาม แต่เชกลับใช้ชีวิตติดดิน ไม่ยอมใช้ชีวิตเปลืองเปล่าฟุ่มเฟือย ทำงานหนัก และอยู่อย่างง่ายที่สุดเคียงข้างมวลชนเสมอ ในแบบที่เขาเรียกการปฎิบัติตนแบบนี้ว่า New Man
แม้จะดูเป็นอุดมคติไปหน่อย แต่ฉันก็ชื่นชมและยกย่องเชเป็นวีรบุรุษตัวจริง เช่นที่หนุ่มสาวทั่วโลกนิยมยกย่องในตัวเขา
เช่นเดียวกัน ฉันก็ใฝ่ฝันและอยากเห็นผู้นำที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนอย่างแท้จริง ต่อสู้เพื่อมวลชนจริงๆ โดยไม่แอบแฝงผลประโยชน์หรือความแค้นส่วนตนอยู่เบื้องหลัง ทว่า...นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ขับเคลื่อนไปด้วยเงินตรา ตัวเลขจีดีพี และราคาน้ำมัน!
พอห้วงเวลาของการต่อสู้เข้าสู่เดือนที่ 2 ผู้คนในม็อบก็เริ่มอ่อนล้า ผู้นำม็อบต้องคอยจุดประกายไฟให้คุโชนอยู่เสมอ ด้วยหัวข้อในการเรียกร้องใหม่ๆ ผันแปรจากต้านการแก้รัฐธรรมนูญ มาเป็นขับไล่นักการเมืองชั่ว มาสู่หัวข้อที่เกี่ยวพันกับเรื่องชาตินิยม ในขณะเดียวกันความขัดแย้งทางความคิดก็เริ่มแตกกอต่อยอดขยายวงออกไป แม้กระทั่งคนในม็อบเองก็ตาม นี่เป็นเรื่องของความคิดที่มนุษย์ย่อมมองเห็นไม่เหมือนกัน เป็นสัจธรรมของโลก
แม้แต่คนรักกัน เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากัน เป็นพ่อแม่ลูกกันก็ตาม ฉันเองก็เริ่มมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้ ฉันกับคนรัก-เราพูดคุยและโต้แย้งกันเสมอๆ จนบ่อยขึ้น และช่วงนั้นพ่อเริ่มมีอาการป่วยหนัก โรคมะเร็งที่ปอดเริ่มลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ฉันกลับไปดูแลพ่อมากขึ้น ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น และปลีกเวลามาที่ม็อบในช่วงเย็นก่อนจะกลับไปนอนเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลต่อในตอนดึก ฉันเห็นผู้คนในม็อบก็เป็นเช่นนี้ หลายคนมีภาระหน้าที่ในชีวิตที่ต้องทำ พวกเขามีความรับผิดชอบต่างๆ กันไป ต้องทำหน้าที่พ่อแม่ ต้องไปทำงานหาเลี้ยงปากท้องตัวเอง ต้องไปดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยหรือชราภาพ และต้องทำอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตที่ผู้นำม็อบไม่อาจทำแทนหรือช่วยเหลือพวกเขาได้ มวลชนส่วนใหญ่เหล่านี้มาด้วยหัวใจและจิตวิญญาณของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ ฉันว่ามีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมาด้วยเหตุและปัจจัยอื่น อย่างที่มีข่าวว่าจ้างมาด้วยเงินบ้าง เกณฑ์มาบ้าง
ย่างเข้าเดือนที่สาม ม็อบเคลื่อนทัพย้ายไปถึงหน้าทำเนียบ การต่อสู้อันยาวนานได้ก่อผลสะเทือนต่อรัฐบาลมากพอสมควร ถึงกระนั้นฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางแห่งชัยชนะของประชาชนที่แท้จริงเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลขี้ฉ้อก็ยังเป็นรัฐบาลอยู่ได้ พวกเขายังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันโยกเก้าอี้กระทรวงต่างๆ ราวกับเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอย่างสนุกสนาน ไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับม็อบกลางถนนเลยสักนิด
ฉันครุ่นคิดคับแค้นในใจ คิดฝันอยากตั้งกองกำลังของตัวเองแบบกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสต้า ที่ประเทศเม็กซิโกบ้าง ซาปาติสต้าเป็นกองกำลังติดอาวุธ ที่ล้วนเป็นชาวพื้นเมืองและชนชั้นแรงงานมารวมตัวกันฝึกอาวุธ สร้างวินัยของตัวเองเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งจนสามารถได้รับชัยชนะล้มล้างรัฐบาลเผด็จการคอรัปชั่นลงได้ หนังสือเล่มนี้ฉันอ่านซ้ำๆ ซากๆ และพกติดตัวเสมอตอนที่อยู่ในม็อบกลางถนน หลายหนฉันก็เข้าไปร่วมวงสนทนากับกลุ่มมวลชนกลุ่มต่างๆ แลกเปลี่ยนวิธีคิดในการต่อสู้สู่กันและกัน แน่นอน...ฉันมักเล่าเรื่องซาปาติสต้าให้ใครๆ ฟังเสมอ เผื่อว่าจะมีคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันคิด แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็เป็นไปได้ยาก หนักเข้า ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนถูก ‘เลี้ยงไข้’ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ฉันน่าจะทำอะไรได้มากกว่าการเขียนบทกวี อ่านบทกวีปลุกใจชาวม็อบ จดบันทึก ขับรถไปม็อบ ดูแลคนรัก ตบมือให้กำลังใจผู้นำม็อบ ไปช่วยเป็นอาสาสมัครตามเต็นท์ต่างๆ และจบลงที่ ไปนอนเฝ้าพ่อที่ป่วย
การทำเพื่อสังคม...เพื่อชาติ ยังมีหนทางอีกหลายทางที่ฉันน่าจะต้องรีบไปทำ ไปช่วยให้มันดีขึ้น ปัญหาของประเทศนี้ยังมีมากมาย และการกำจัดนักการเมืองเลวๆ ในสิ้นซากเป็นเรื่องยากที่สุดในโลก ซึ่งต้องใช้เวลามาก ฉันคิดว่าอาจมีเพียงวิธีเดียวที่เร็วที่สุดก็คือ ระเบิดพลีชีพ ตอนที่พวกนักการเมืองทั้งหลายมันกำลังเข้าประชุมสภา บอมบ์ทีเดียวตายยกรัง!
แล้วไง?....ใครจะยอมพลีชีพเพื่อการนี้เล่า
เมื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้ มองหาแสงสว่างที่ปลายทางยังไม่เจอ ระหว่างนี้ฉันจึงไปทำหน้าที่ซึ่งสมควรทำที่สุดคือการดูแลพ่อ อยู่เป็นเพื่อนแม่ปลอบประโลมให้กำลังใจกันและกัน ฉันกลับไปทำงาน และช่วยสังคมในวิถีทางที่ฉันทำได้อย่างเต็มที่จนถึงวันสุดท้ายที่พ่อสิ้นลม
ฉันกลับไปที่ม็อบอีกครั้งในวันสวดศพพ่อวันแรก กับคนรัก-เราเริ่มห่างเหินกันระยะหนึ่งในช่วงของการต่อสู้อันเข้มข้น และฉันต้องไปดูแลพ่อ ความจริงเราอยู่ใกล้กันตลอดเวลา แต่เรากลับรู้สึกเหมือนห่างกัน ก็คงเหมือนมวลชนในม็อบกับบรรดาผู้นำม็อบ ที่อยู่สู้ด้วยกันตลอดระยะเวลานับร้อยกว่าวัน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วความรู้สึกกลับห่างไกลกันมาก เป้าหมายในการต่อสู้ที่แท้จริงก็ต่างกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงความจริงเหล่านั้น
มวลชนแค่เพียงต้องการรัฐบาลที่มีคุณธรรม บริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพไม่โกงกิน แต่ผู้นำม็อบต้องการสิ่งที่มากกว่านั้น เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าและวิน-วินด้วยกันทุกฝ่ายที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ใครคนหนึ่งบอกฉันว่า “ทุกอย่างคือเกมชิงมวลชน” ส่วนคนรักของฉันบอกว่า “บางครั้งในการต่อสู้ เราก็ต้องยอมปิดตาข้างหนึ่งแล้วเดินไปข้างหน้า” เขาเองก็ยอมที่จะเดินจากฉันไปเช่นกัน ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ความกระหายใคร่อยู่เหนือความรัก และศรัทธาจริงแท้
และเขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น จะคาดหวังสิ่งใดเล่า? เขาบอกลาฉัน ก่อนก้าวขึ้นเวที เปล่งเสียงกร้าวที่เต็มไปด้วยพลังปลุกเร้ามวลชนผู้กำลังอ่อนล้า บทกวีของเขาเพรียกหาความยุติธรรมและความถูกต้อง ประณามนักการเมืองตระบัตรสัด ร้อยเล่ห์ลวงโลก....
ขณะที่หลังเวทีมีผู้นำเงินมาบริจาคให้กับผู้นำม็อบแทบตลอดเวลา ซึ่งบัดนี้ยอดบริจาคพุ่งสูงนับหลายร้อยล้านบาทแล้ว ส่วนศิลปินเพื่อชีวิตที่มาขับกล่อมให้กำลังใจมวลชน ก็กำลังยืนเถียงกับคนจัดคิวอย่างหัวเสีย เรื่องที่เขาไม่ได้ขึ้นเวทีในช่วงหัวค่ำที่มีคนมาฟังกันมาก “ไอ้นักร้องคนนั้นมันใหญ่มาจากไหน ถึงจะต้องมาขึ้นแต่ช่วงหัวค่ำ แล้วทำไมเราต้องยอมมันด้วย”
หน้าเวทีอีกฟากหนึ่ง นักปราศรัยคนดังกำลังยืนแจกลายเซ็นประชาชนที่กำลังรุมล้อมตัวเขาดุจซูเปอร์สตาร์ ขณะที่พ่อค้านักประท้วงกำลังยืนนับเงินที่เต็นท์ขายเสื้อยืดของเขาก่อนปิดร้านในค่ำคืนนี้ เขากำลังคิดว่าจะทำเสื้อลายใหม่ ที่พิมพ์คำว่า ‘ทุนนิยมสามานย์...Get Out!’ มันน่าจะขายดีอีกตามเคย....
ดึกมากแล้วแต่อากาศก็ยังอบอ้าว ฉันเดินออกมาจากม็อบด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ความคิดวนเวียนกับหลายเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อขับรถออกมาผ่านหน้ารัฐสภา ฉันนึกไปถึงภาพข่าวที่บรรดาแกนนำรัฐบาลนั่งประชุมกินเลี้ยงกัน พวกเขายิ้มร่ายกแก้วไวน์ราคาแพงขึ้นชนกัน และผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีร้องเพลงอย่างครึกครื้นสนุกสนาน

....เรือเข้ามาจอดเทียบชายฝั่ง พวกเราขึ้นจากเรือและในตอนนั้นฉันได้ยินเสียงคุ้นเคยจากทีวีที่ร้านค้าเปิดดูกันอยู่ ฉันเดินเข้าไปใกล้ เห็นภาพหน้าจออันคุ้นตา...เวที- ฉากหลัง – เสียงโห่ร้องดังเกรียวกราว ...นักปราศรัยประกาศว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายของพวกเราแล้ว...พี่น้อง สู้มั้ยสู้...สู้มั้ยสู้! ”
ฉันได้แต่ภาวนาให้ชัยชนะเป็นของประชาชนสักที ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือแค่เพียงในความฝันก็ตาม ขอให้พวกเราเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงบ้างเถอะ...พรุ่งนี้ฉันจะยอมปิดตาข้างหนึ่ง เดินเข้าสู่เกมการต่อสู้ของพวกเขา ฉันจะกลับไปม็อบอีกครั้ง ละครฉากใหญ่ที่น่าติดตามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ความฝันกับความจริง ความดี-ความเลว ความจริงและความลวง...ทุกสิ่งอยู่ใกล้กันนิดเดียว.






Create Date : 25 พฤษภาคม 2553
Last Update : 30 พฤษภาคม 2553 2:29:50 น.
Counter : 205 Pageviews.

1 comments
  
โดย: คนเดินดิน (หน้าใหม่อยากกรอบ ) วันที่: 9 สิงหาคม 2554 เวลา:15:40:20 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

meenna
Location :
  Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



พฤษภาคม 2553

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31