ชื่อ อทิตยา มี ลูกชาย 1 ชื่อ อเล็กซานเดอร์............... มีหลานชาย ( เป็นลูกหมา ) 2 ตัวชื่อ โจอี้ กับ จูเนียร์............... เราทั้ง 4 ใช้นามสกุล เดียวกันว่า มังกร ................... มีบ้านอยู่ ใกล้คลอง เจ้าหญิง เมืองอัมสเตอร์ดัม.................. 2แม่ลูก แบกกระเป๋าเที่ยวบ่อย ทำนองว่า ทัศนศึกษา.................... เที่ยวไปมา แม่ติดลม แล้วก็มาติดบลอค บางที ก็ยกขโยงไปทั้ง4 เป็น มังกรแฟมิลี่ สัญจร ............................. รู้จักกัน พอเป็นกระสัย จะได้ ทักทายกัน พอสมควร เจ้า
เยือนถิ่น"หินประหลาด" สโตนเฮนจ์ โดย สกุณา ประยูรศุข

เคยฟังเรื่องราวมาบ้าง อ่านหนังสือมาบ้าง เกี่ยวกับ "กองหินประหลาด" ที่ชื่อ "สโตนเฮนจ์" ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนาเมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไชร์ ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ

เคยเกิดข้อสงสัย ข้องใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ว่าสโตนเฮนจ์คืออะไร? สร้างเพื่ออะไร? ทำให้ติดตามเรื่องราวของสโตนเฮนจ์อยู่พักหนึ่งทั้งจากนิตยสาร และสารคดีทางโทรทัศน์

แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่แจ่มชัดมากนัก มีแต่คำสันนิษฐานและเรื่องเล่าที่ออกจะพิสดาร

ท้องฟ้าในฤดูหนาวของชนบทอังกฤษ ไม่คิดว่าจะสีฟ้าสดได้ขนาดนี้ ขณะที่รถตู้ทะเบียนลอนดอนวิ่งมุ่งหน้าไปที่ "เมืองซัลลิสเบอรี่"

ซึ่งความจริงแล้วคนในรถตู้ตั้งใจจะไป "เมืองบาธ" (Bath) กันมากกว่า แต่มีผู้เสนอว่าก่อนจะถึงเมืองบาธต้องผ่านเจ้าพวกกองหินประหลาดชื่อดังของโลกแห่งนี้ มีโอกาสแล้วแวะทักทายบ้างก็ดีไม่น้อย

ไม่ต้องลงนามทำเป็นสนธิสัญญา รถตู้ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายวิ่งตะลุยไปลิบๆ ท่ามกลางทุ่งนาเขียวบ้าง เหลืองบ้าง สองข้างทาง

ระยะทางราว 30 กิโลเมตร หากไม่ดูวิวทิวทัศน์ที่เป็นภาพซ้ำๆ เดิมๆ ก็อาศัยความเงียบและความเย็นสบายของอากาศ "งีบ" เอาแรงก่อนจะต้องลงรถเดินเป็นระยะทางหลายกิโล

ดวงตะวันลอยสูงขึ้นเกือบอยู่กึ่งกลางศรีษะ รถตู้ก็พาไปถึงจุดหมาย แต่พอเห็นแค่สี่แยกทางเข้า ใจก็หล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว เพราะคนมากมายมหาศาลและทางเข้าที่มีรถติดยาวเหยียด ลองนึกภาพถนนสุขุมวิทแถวซอยนานารถติดเป็นแพยาวอย่างไร ทางเข้าสโตนเฮนจ์ในวันที่ไปถึงก็เป็นอย่างนั้น

แต่เพราะมีคนขับฝีมือดีจึงพาลัดเลาะเข้าไปจนถึงลานจอดรถ โชคดีที่ได้ที่จอดใกล้ไม่ต้องเดินไกลอย่างที่คิด หัวหน้ากลุ่มตะรอนทัวร์ "บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์" เจ้าภาพผู้ใหญ่จาก ททท. ทำหน้าที่รวบรวมพลพรรคแล้วพาเดินไปซื้อตั๋ว





ใจหายเป็นครั้งที่สอง เมื่อพบว่าคนเข้าแถวรอซื้อตั๋วยาวเหยียดอีก จนคิดจะล้มเลิกความตั้งใจเข้าไปดูกองหินประหลาด หลายคนปลอบใจว่าไหนๆ มาถึงแล้วควรจะเข้าไปดูเหมือนคนอื่นเขา เพราะบางคนที่มาอยู่ไกลกว่าเรายังดั้นด้นมาจนได้

"ท่าจะจริง" เพราะเหลียวมองรอบๆ ไม่เฉพาะฝรั่งตาสีฟ้า สีเขียว เท่านั้น หัวดำแบบคนเอเชีย และหน้าขาวๆ อย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เต็มไปหมด ดูเหมือนจะมากกว่าฝรั่งด้วยซ้ำไป

"ตอนแรกที่คิดว่าคงต้องเข้าคิวนานกว่าจะซื้อตั๋วได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเวลาไม่กี่นาทีก็ได้แล้ว เพราะการจัดการระบบของเขาดีจริงๆ รวดเร็วมาก ไม่ทันไรก็ไปเดินปร๋ออยู่ในสนามเขียวขจี ที่เป็นทุ่งกว้างสุดสายตา มีกองหินประหลาดตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง"

เจ้าหน้าที่ที่ดูแล เป็นคนในท้องถิ่นนั่นเอง เข้าใจว่าคล้ายกับ "อบต." บ้านเรา บอกเล่าว่าแต่ก่อนรอบๆ สโตนเฮนจ์ ไม่มีเชือกกั้น ไม่มีรั้วประตูเหล็กเปิดโล่งให้คนเข้าชมใกล้ชิด

แต่ในปัจจุบัน เป็นเพราะมี "พวกมือบอน" ที่เดินทางมาดูแล้วมักจะจารึกชื่อของตนลงไปบนก้อนหิน และพวกที่ชอบทุบเอาเศษหินเก็บไปเป็นที่ระลึก ทำให้เขาต้อง "ล้อมคอก" ก่อนที่ก้อนหินมหึมาจะกลายเป็นแค่ก้อนกรวด

จึงพูดคุยหยอกล้อกันในหมู่คณะว่าสงสัยจะลอกเลียนแบบไปจากเมืองไทย ใครจะคิดว่าพวกฝรั่งมังค่าที่บอกว่าตัวเองศิวิไลซ์จะเป็นอย่างนั้นไปได้




ตรงช่องทางเดินไปซื้อตั๋ว จะมีป้อมทางขวามือซึ่งมี "เฮดโฟน" คำบรรยายเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์ ไว้ให้บริการ งานนี้ไม่ฟรี ต้องเสียสตางค์ด้วย ในคณะจึงไม่มีใครยอมควักเงินปอนด์ออกจากกระเป๋า อาศัยปากสอบถามไปเรื่อยตามประสา "ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า..." ส่วนหนึ่งก็อ่านจากเอกสารที่เขาแจกให้พร้อมกับตั๋ว ได้ความรู้ดีเหมือนกัน



คำบรรยายในเอกสารบอกว่า กองหินที่เรียกสโตนเฮนจ์ ประกอบด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ 112 ก้อนเรียงรายกันไปเป็นระยะทางถึง 3 กิโลเมตร เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ถึง 3 วง

"โดยวงนอกสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร มีก้อนหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูงราวๆ 3-4 เมตร ตั้งวางซ้อนกันบ้าง ทับกันอยู่บนยอดบ้าง วงกลมที่สองที่อยู่ตรงกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 22.8 เมตร มีก้อนหินทั้งหมด 40 ก้อน ส่วนวงกลมที่อยู่ในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร มีก้อนหินทั้งหมด 42 ก้อน เฉลี่ยความสูงอยู่ที่ 4 เมตร

"อายุของหินเหล่านี้ยังไม่มีข้อสรุป เพราะมีผลการศึกษาใหม่ๆ ออกมาเรื่อย แต่ที่ระบุไว้ในเอกสารก็ราวๆ 1,800 ปีก่อนคริสต์กาล รัฐบาลอังกฤษได้เปิดให้ "สโตนเฮนจ์" เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในปี ค.ศ.1918 จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง"

การหาคำตอบเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์ มีคนออกมาให้ความเห็นว่าเป็นฝีมือมนุษย์ต่างดาว แต่นักวิทยาศาสตร์พากันลงความเห็นว่าสร้างขึ้นเป็น "หอดูดาว" ขณะที่นักประวัติศาสตร์บอกว่ามันคือ "สุสาน" ฝังศพของบุคคลสำคัญในละแวกนั้น ซึ่งคำตอบของพวกหลังดูจะเข้าเค้ามากกว่าอย่างอื่น เพราะเขามีหลักฐานคือโครงกระดูกมนุษย์ที่ขุดพบใกล้ๆ สโตนเฮนจ์ถึง 52 หลุม เป็นกระดูกที่เกิดจากการเผาแล้วเหลือเศษนำมาฝังไว้อีกที

"กระดูกจาก 49 หลุมถูกฝังกลบลงไปใหม่เหลือไว้แค่กระดูกจาก 3 หลุมที่นำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นซัลลิสเบอรี่"

ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่ากระดูกมนุษย์เหล่านั้นถูกฝังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีอายุกี่พันปี กระทั่งมีการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนเข้ามาตรวจสอบ จึงพบว่าศพที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุย้อนไปได้ถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียว หากนับมาถึงวันนี้ก็มีอายุราว 5,000 ปี มาแล้ว นับว่าเก่าแก่เอาการ

"แม้จะมีความเชื่อกันว่าคนโบราณใช้สโตนเฮนจ์เป็นสุสาน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุน สโตนเฮนจ์จึงเป็นอาณาจักรชีวิตหลังความตายที่เป็น

ปริศนาคาใจอยู่อย่างนั้น"



แต่อย่ากังวลไปเลย เพราะมีข่าวดีจากกลุ่มที่ศึกษาเรื่องหินสโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มที่มีหัวหน้าชุดชื่อ "ศาสตราจารย์ทิม ดาร์วิน" และศาสตราจารย์

เจฟฟรีย์ เวนไรท์" ทั้งสองกำลังร่วมกันขุดสำรวจพื้นดินใต้สโตนเฮนจ์ เพื่อจะหาคำตอบ ว่ากองหินเหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่?

แต่ก่อนที่ผลสำรวจการขุดใต้พื้นดินจะเปิดเผยออกมา ดาร์วินได้ประกาศความเชื่อส่วนตัวออกมาก่อนว่า "สโตนเฮนจ์น่าจะเป็นสถานที่รักษาโรคมากกว่าจะเป็นสุสาน"

ความเห็นนี้ทำเอานักวิชาการอังกฤษระดับหัวกะทิงัดข้อกันเอง แต่จะอย่างไรเสีย ผลที่ออกมาก็เป็นประโยชน์ในเชิงความรู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำตอบของฝ่ายใด เห็นว่าจะมีการสรุปให้เป็นเรื่องราวได้รับรู้กันในสิ้นปีนี้

คณะเราใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วโมง จึงค่อยๆ ทยอยกลับไปที่รถ คนขับสตาร์ตเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ล้อกลมๆ ทั้งสี่ล้อค่อยๆ เคลื่อนผ่านฝูงคนออกไปทางเดิม ทิ้งทุ่งนาเวิ้งว้างที่มีกองหินประหลาดให้เป็นจุดเล็กๆ อยู่เบื้องหลัง"



วิทย์สาระแน-รู้แล้ว สโตนเฮนจ์ มีไว้ทำไม
จาก คมชัดลึก วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552





สงสัยกันมาตั้งนานว่า บรรพบุรุษของคนบนดินแดนอังกฤษสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมาทำไม ในที่สุด ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงและดนตรีจากมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์ฟิลด์ค้นพบว่า แท่งหินมหึมาที่ตั้งตระหง่านเป็นวงกลมเหนือเนินดินสามารถสะท้อนเสียงได้อย่างวิเศษ


อย่างที่หลายคนพอรู้มาบ้างแล้วว่า สโตนเฮนจ์เป็นชุมนุมของผู้ศรัทธาทางศาสนาพิธีกรรมในสมัยก่อน เมื่อมาถึงแล้วก็ชักชวนกันร้องเพลงสวดสไตล์แซมบ้า และเจ้าแท่งหินขนาดใหญ่กลุ่มนี้สามารถสะท้อนเสียงเพลงสวดได้ดีเสียด้วยซิ เหมาะที่จะนั่งล้อมวงฟังมนตราแพร่พลังจิต

อันดับแรก รูเพิร์ต ทิล นักวิจัยชาวอังกฤษและเพื่อนร่วมทีมใช้คอมพิวเตอร์จำลองคาดการณ์รูปแบบของเสียงสะท้อน ด้วยอยากรู้ว่าถ้าสโตนเฮนจ์ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือน 5,000 ปีที่แล้ว มันจะสะท้อนเสียงได้อย่างที่คิดหรือเปล่า แต่หากจะทดลองกับสภาพของสโตนเฮนจ์ในปัจจุบันซึ่งพังลงมาบางส่วนอาจทำให้การทดลองคลาดเคลื่อนได้

สุดท้ายเลยชวนกันเดินทางไปเยือนสโตนเฮนจ์จำลองขนาดเท่าของจริงที่เมย์ฮิลล์ กรุงวอชิงตัน ซึ่งจำลองไว้เป็นอนุสรณ์สงคราม และปรับปรุงให้หินทุกก้อนวางเรียงกันในสภาพสมบูรณ์ น่าจะช่วยให้ผลทดสอบด้านเสียงสมบูรณ์แบบกว่า

ทีมวิจัยใช้ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเปรียบเทียบกับผลที่ได้จากการใช้คอมพิวเตอร์จำลองแบบ และการทดสอบกับแบบจำลองสโตนเฮนจ์ จนได้เสียงตัวอย่างที่คาดว่าน่าจะสะท้อนมาจากกลุ่มหิน เสียงสะท้อนที่ได้เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า สถานที่แห่งนี้ต้องมีดนตรีบรรเลง นักวิจัยคาดว่าดนตรีที่เล่นกันบริเวณสโตนเฮนจ์คงเป็นเพลงที่มีจังหวะธรรมดาซ้ำๆ และให้สะท้อนก้องอยู่ในบริเวณนั้น

"จังหวะที่เล่นน่าจะเป็นจังหวะ 160 เคาะต่อนาที ค่อนข้างเร็ว มันน่าสนใจที่พวกเขาใช้เพลงจังหวะเร็วเหมือนแซมบ้าสำหรับเพลงสวด ถือเป็นจังหวะเร็วที่สุดสำหรับดนตรี และยังเป็นจังหวะเร็วที่สุดของการเต้นของหัวใจ เหมือนกับคนที่ออกกำลังกายมาอย่างหนัก หรือเต้นรำส่ายสะบัดเต็มที่" ทิล กล่าว

นักโบราณคดีทุ่มเถียงกันมานานแล้วว่า สโตนเฮนจ์ สถานที่ก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่และยุคทองแดง ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายใดกันแน่ สุดท้ายเหลือสองทฤษฎีหลักที่เข้าเค้ามากที่สุด ทฤษฎีแรกคือใช้เป็นสถานที่รักษา อีกทฤษฎีเชื่อว่าเป็นที่เผาศพ ทั้งสองทฤษฎีล้วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทั้งสิ้น และพิธีกรรมส่วนใหญ่มักมีดนตรีประกอบเสมอ

เสกวัตถุลอยตัวด้วยควอนตัมฟิสิกส์

ไม่ใช่มายากลของเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ แต่นักวิทยาศาสตร์สหรัฐพบวิธีบังคับวัตถุขนาดเล็กให้ "ลอยตัว" โดยอาศัยแรงมหัศจรรย์ของกลศาสตร์ควอนตัม และอาจเป็นกลวิธีนำมาใช้สร้างเครื่องจักรกลระดับนาโน

ทีมวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติในสหรัฐ ศึกษาแรงที่กระทำในระดับโมเลกุล โดยนำโมเลกุลที่ออกแรงผลักกันมาประกอบกัน แรงผลักที่เกิดขึ้นทำให้วัตถุลอยตัว และทำให้ชิ้นส่วนอุปกรณ์จิ๋วเคลื่อนไหวโดยปราศจากแรงเสียดสีอย่างสิ้นเชิง

เฟเดอริโก คาปัสโซ นักฟิสิกส์ประยุกต์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แมสซาชูเซตส์ ตีพิมพ์งานวิจัยลงวารสารเนเจอร์ฉบับล่าสุด เชื่อว่า การค้นหาแรงรูปแบบดังกล่าว เปิดทางให้การพัฒนาอุปกรณ์จิ๋วชนิดใหม่

แม้ว่าทีมวิจัยยังไม่ได้ลงมือทดลองยกวัตถุลอยตัวให้เห็น อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ทราบวิธีปฏิบัติ และมั่นใจว่าสำเร็จแน่นอน การค้นพบดังกล่าวได้ยื่นจดสิทธิบัตรแล้ว

"หากลดแรงเสียดสีที่เกิดจากการเคลื่อนไหว และลดการสึกหรอของชิ้นส่วนได้ มันจะเป็นเทคนิคใหม่ซึ่งว่ากันตามทฤษฎีแล้ว จะช่วยปรับปรุงการทำงานของเครื่องจักรกลขนาดเล็กระดับไมครอน หรือเล็กระดับโมเลกุลด้วยซ้ำ" ดร.ฮวน อเล็กซานเดอร์ จากสถาบันสุขภาพเด็กและมนุษย์ สังกัดสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช) กล่าว

เทคโนโลยีกลศาสตร์นาโนถูกจับตามองว่า เป็นเทคโนโลยีช่วยปรับปรุงงานวิจัยด้านการแพทย์ และสาขาอื่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของโมเลกุล และการนำโมเลกุลมาประกอบกันเป็นพื้นฐานของการประดิษฐ์เครื่องจักรกลจิ๋ว เพื่อใช้งานด้านการผ่าตัด การผลิตอาหารและเชื้อเพลิง ตลอดจนยังช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานประมวลผลรวดเร็วขึ้น

เบื้องหลังการค้นพบดังกล่าว เกี่ยวข้องกับความรู้ด้าน "กลศาสตร์ฟิสิกส์" หรือกฎเกณฑ์ที่ควบคุมพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กที่สุดของสสาร

การค้นพบล่าสุดเป็นงานวิจัยต่อเนื่องจากสมัยที่คาปัสโซ เป็นรองประธานการวิจัยด้านฟิสิกส์ที่เบลล์แล็บ หน่วยวิจัยของบริษัท ลูเซนท์ เทคโนโลยี ซึ่งหลังจากควบรวมกิจการเปลี่ยนชื่อเป็น อัลคาเทล-ลูเซนท์

"มันเริ่มจากที่ผมลองคิดดูว่า จะเอาแรงในทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมที่น่าทึ่ง มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร" คาปัสโซ กล่าว

ก่อนหน้านั้น เบลล์แล็บพยายามหาวิธีพัฒนาอุปกรณ์ชนิดใหม่ที่เรียกว่า เครื่องจักรจุลอิเล็กทรอนิกส์ หรือปัจจุบันรู้จักกันในวงการว่า "เมมส์" (MEMS) เป็นเทคโนโลยีที่ปรากฏอยู่ในเซ็นเซอร์ถุงลมนิรภัยของรถยนต์ เพื่อวัดระดับการลดความเร็วที่ผิดปกติของรถ ซึ่งอาจเกิดจากการชน เมมส์ยังใช้ประโยชน์ด้านอื่นอีกมากมาย เช่น เซ็นเซอร์วัดแรงดันโลหิตเส้นเลือดหัวใจ

เขารู้ดีว่า อุปกรณ์ในอนาคตจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนอาจตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "แรงคาสซิเมียร์" เป็นแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นเมื่อพื้นผิวโลหะขนาดเล็กสัมผัสกันใกล้ชิดมาก จนทำให้ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวขยับไม่ได้ ต่อมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียพบว่า แรงดึงดูดที่เกิดขึ้นอาจพลิกกลับให้เป็นแรงผลักได้ หากนำสสารบางอย่างมาผสมเข้ากัน

ในการทดลอง คาปัสโซและทีมงาน จุ่มลูกโลหะชุบทองลงในของเหลวชนิดหนึ่ง และวัดแรงกระทำที่เกิดขึ้นขณะที่ลูกโลหะเริ่มดูดกับแผ่นโลหะที่เตรียมไว้ แต่เมื่อวางกับแผ่นซิลิก้ากลับผลักออก ซึ่งเขามีแผนทดลองทำให้ลูกโลหะลอยตัวไว้แล้ว


"สโตนเฮนจ์" กลุ่มหินพิศวง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กันยายน 2552 14:09 น.


โดย : จุชดานิน









สโตนเฮนจ์ 1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง


มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?

ณ วันนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ตอกย้ำให้เห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อุบัติขึ้นบนโลกยังคงความลี้ลับ ชวนพิศวง ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์อย่างกระจ่างชัด ดังกรณี กลุ่มหินประหลาดขนาดใหญ่ที่วางเรียงรายเป็นวงกลมกลางท้องทุ่งกว้างใหญ่ ในบริเวณที่ราบซัลลิสเบอร์รี่(Salisbury) ในเขต Wiltshire ทางตอนใต้ของอังกฤษ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge)

สโตนเฮนจ์ หมายถึง หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) เชื่อกันว่ามันมีอยู่มาตั้งแต่ 5,000 ปีมาแล้ว แม้นักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่า "สโตนเฮนจ์" เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง? และจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร?





กลุ่มหินอันเป็นปริศนาตั้งอยู่กลางที่ราบSalisbury


ในสมัยก่อนตอนฉันยังเด็กๆเคยได้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องกลับไปในอดีตในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้โดยอาศัยวันที่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์เพื่อเปิดประตูเชื่อมที่สโตนเฮนจ์เพื่อไปทำหน้าที่เอาตัวเองเป็นผนึกปิดประตูมิติระหว่างโลกมนุษย์กับโลกอันชั่วร้าย

ในตอนนั้นเมื่อฉันได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วก็สงสัยว่าสโตนเฮนจ์ที่ปรากฏในการ์ตูนมีจริงหรือไม่ มันเป็นอย่างไรและเมื่อโตขึ้นฉันก็ได้รู้ว่าสโตนเฮนจ์มีอยู่จริง และเรื่องในการ์ตูนก็อ้างอิงความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์และการโคจรของโลก





ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ในที่ราบ Salisbury


ขณะที่นักวิชาการและนักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามันเป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน บ้างก็ว่าใช้เป็นที่ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์ บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ หรือบางท่านก็เชื่อว่าเป็นสถานที่สำหรับเยียวยาผู้ป่วย เพราะในบริเวณนี้มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บมากผิดปกติ

ส่วนนักดาราศาสตร์ก็อ้างว่าสามรถถอดรหัสแนวหินสโตนเฮนจ์ได้ เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวณเวลายุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้อนต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น แม้ทฤษฎีทั้งหลายจะมีตัวเลขและสถิติผลการวิจัยสนับสนุน แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

แต่อย่างไรก็ตามความลึกลับชวนค้นหานั้นเองที่ทำให้ "Stonehenge" ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชมกลุ่มหินประหลาดนี้




Stone Circles กับหมู่บ้าน Avebury


สำหรับรูปลักษณะของสโตนเฮนจ์ ประกอบไปด้วยแนวหินขนาดใหญ่วางเรียงรายราว 3 กิโลเมตร มีหินทั้งสิ้นประมาณ 112 ก้อน เป็นรูปวงกลมซ้อนกัน 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน

วงนอกเป็นแผ่นหินทรายขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูงประมาณ 13 ฟุต วงกลางและวงในเป็นหินสีฟ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวใจของสโตนเฮนจ์ โดยวงกลางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มี 2 ก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต ส่วนวงในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ลักษณะของหินในชั้นนี้ล้มบ้างตั้งบ้าง เฉลี่ยแล้วสูงประมาณ 13 ฟุต หนักประมาณ 26 ตัน




Avebury Stone Circles กว้างถึง 348 เมตร


ความน่าพิศวงอีกอย่างหนึ่งของสโตนเฮนจ์คือ บริเวณรอบๆนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาหรือสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ จึงเป็นปริศนาว่าหินก้อนยักษ์เหล่านี้มาจากที่ไหน และด้วยความหนักและใหญ่โตของหินแต่ละก้อนจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หากมนุษย์เราที่ยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องทุนแรงจะยกหรือลากมันมาได้ จึงมีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า สโตนเฮนจ์เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ

เช่นเดียวกับที่หมู่บ้าน "Avebury" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Stonehenge ห่างไปประมาณ 25 กิโลเมตร ที่ Avebury แห่งนี้เองก็มีลักษณะคล้ายกับสโตนเฮนจ์คือมีหินขนาดใหญ่วางเรียงห่างๆกันเป็นวงกลมชั้นเดียว เรียกกันว่า "Avebury Stone Circles"




ร่องรอย Crop Circle ปริศนากลางทุ่งกว้าง


โดยหินแต่ละก้อนจะถูกวางอยู่อย่างโดดๆ ห่างกันประมาณ 10 เมตร รวมแล้วกว้างถึง 348 เมตร มีถนนตัดผ่านกลางวงหิน ซึ่งหากมองในมุมสูงจะเห็นเป็นวงกลมได้อย่างชัดเจน แม้ที่ Avebury Stone Circles แห่งนี้จะดูไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าสโตนเฮนจ์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด และก็ยังคงความลี้ลับเช่นเดียวกับสโตนเฮนจ์

และหากนำแท่งเหล็กรูปตัว L 2 แท่ง เอามือกำด้านสั้นไว้อย่างหลวมๆ ให้แนวแท่งเหล็กทั้งสองขนานกัน แล้วค่อยๆเดินไปทางทิศใต้ของวงหิน จะเห็นว่าแท่งเหล็กทั้งสองที่ขนานกัน มันจะค่อยๆเบนเข้าหากันจนไขว้กันในที่สุด และหากเดินถอยหลังกลับแท่งเหล็กทั้งสองก็ค่อยๆกลับมาขนานกันอีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มาก




Salisbury Cathedral มหาวิหารอันสวยงาม


ไม่เพียงเท่านั้นที่ทุ่ง Avebury แห่งนี้ยังเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Crop Circle" หรือปรากฏการณ์วงกลมปริศนาบนพื้นที่ไร่นา ไร่ข้าวโพ ข้าวบาร์เล่ย์ หากมองในมุมสูงจะเห็นเหมือนเป็นตราประทับหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง หากนึกไม่ออก ก็ไปดูในภาพยนตร์เรื่อง "Signs" ที่นำแสดงโดย Mel Gibson เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบยุโรปและอเมริกา ในพื้นที่ไร่ข้าวโพดอันกว้างขวาง วันดีคืนดีเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้าวโพดล้มลงจำนวนมากเป็นรูปวงกลมและรูปทรงเลขาคณิตอื่นๆ โดยเกิดขึ้นในฤดูร้อนซึ่งก็เป็นปริศนาอีกเช่นกันว่าใครเป็นคนทำ? และด้วยจุดประสงค์อะไร?

เรื่องลี้ลับเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมายลโฉมและพยายามไขปริศนาของโลกที่ยังคงถูกเก็บงำมานานหลายพันปี






บรรยากาศแบบกอธิคใน Salisbury Cathedral


นอกจากสถานที่ปริศนาอันลี้ลับแล้ว เมือง"Salisbury" เมืองเล็กๆน่ารัก เงียบสงบ เมืองอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ชวนพิศวงในข้างต้น ยังมีสิ่งชวนชมอย่าง "Salisbury Cathedral" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Cathedral of Saint Mary"

Salisbury Cathedral เป็นมหาวิหารอันสวยงามอลังการ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1221 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1280 รวมแล้วใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 59 ปีด้วยกัน และได้รับสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1258 สถาปัตยกรรมของมหาวิหารแห่งนี้เป็นแบบกอธิคของอังกฤษตอนต้น ที่เป็นแนวเดียวกันหมดเพราะสร้างรวดเดียวเสร็จ ไม่เหมือนมหาวิหารอื่นที่ใช้เวลาหลายร้อยปีจึงสร้างเสร็จ ทำให้ลักษณะสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย





บรรยากาศน่ารักๆในเมือง Salisbury


ยอดของมหาวิหารสูงจากพื้น 123 เมตร ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร ด้านระเบียงคดก็มีเนื้อที่มากที่สุด และเนื้อที่บริเวณรอบมหาวิหารซึ่งเท่ากับ 80 เอเคอร์ ก็ถือว่ากว้างใหญ่ที่สุดในอังกฤษเช่นกัน นอกจากนั้นมหาวิหารยังมีนาฬิกาที่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1386 ที่ในปัจจุบันยังสามารถใช้การได้

ใกล้ๆกับมหาวิหารเป็นแหล่งช้อปปิ้งของฝากของที่ระลึกที่นอกจากจะเลือกซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านแล้ว ยังสามารถเดินชมเมืองชนบทแห่งนี้ และอาคารบ้านเรือนแบบอังกฤษได้อย่างไม่ไกลอีกด้วย




วิวทิวทัศน์แม่น้ำอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติที่เมือง Salisbury












ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ในที่ราบ Salisbury


Create Date : 23 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 17:14:25 น. 9 comments
Counter : 2945 Pageviews.

 


วาเฉียดไปเฉียดมา ไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้เห็นสักทีค่ะ
ขอบคุณมากๆเลยที่เล่าเรื่องได้อย่างละเอียด
ที่สำคัญตอนที่บอกถึงเรื่องคิวค่ะ จะได้เตรียมตัว และใจได้ถูกค่ะ
เพราะตอนไปที่amsterdam รอคิวmuseum ยาวเหยียดค่ะ สองชั่วโมงกว่าจะได้เข้าไป
เลยมีเวลาไม่มากได้ดูภาพแบบเต็มๆ ตานานๆ




โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:47:50 น.  

 
อ่านข้อความ คุณSweety-around-the-world แล้ว ขอ ชี้แจงนิดหนึ่ง นะคะว่า บทความนี้ คัดลอกจาก คุณสกุณา ประยูรศุข ...........แม่ซานเดอร์ เห็นท่านเขียน น่าอ่านดี ( ตัวเอง ก็จะ เก็บไว้อ่านซ้ำด้วย ) มีประโยชน์ ก็เลย นำมาคัด ลอก เผยแพร่ แล้ว ได้ลงชื่อ ประกาศ คาดว่า น่าจะ ไม่ ผิด กฎหมาย แต่ อย่างใด แต่ หาก เจ้าของบทความ ต้องการ ให้ ถอดออก ก็ยินดีค่ะ ........บางครั้งอ่านหนัง สือ หลายๆ เล่ม จะ นำมาเล่า พอคิด ถึง เรื่องลิขสิทธิ์ ก็เหนื่อย เขียน ( ปกติ ก็ ขี้ เกียจ เป็นทุน อยู่แล้ว ) ..............บางที ก็คิด เนาะ ใครที่ไหน จะรู้เอง เนาะ ก็ต้อง อ่าน ต้อง เรียน ต้อง คัดลอกกันมา มั่ง ไม่มาก ก็น้อย .........แล้วถ้า เรา ไม่ค้าขาย เอามา เล่าสู่ กันฟัง เพื่อ สันทนาการ มี สาระ และ บันเทิง น่าจะ แบ่งปันกันได้ .................บ่น ซะเลย .........แล้ว จะรวบรวม กำลังใจ ขับไล่ ความขี้ เกียจ เริ่ม ทำรูป เรื่อง ที่ค้างไว้ นะคะ


โดย: แม่ซานเดอร์ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:55:12 น.  

 


อ้าวค่ะ คิดว่าชื่อเต็มคุณแม่ซานเดอร์ ที่แท้คุณสกุณา ประยูรศุข เป็นคนเขียนหนังสือ ไม่รู้จักเขาน่ะคะ
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราcredit เขาแล้วแบบนี้ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ค่ะ

ก็ลงชื่อ สกุณา ประยูรศุข ออกชัดเจนแบบนี้แต่คนไม่รู้จักเขาก็ไม่รู้จักน่ะคะ
เราเจตนาดี อย่าถอดออกนะคะ คุณเขาไม่ว่าหรอกค่ะ
คนท่องเที่ยวอื่นๆ จะเป็นเป็นประโยชน์ไปด้วย

ที่บ้านsweety...ยินดีให้ใช้ค่ะ บอกกล่าวกันนิด
ที่รูปมีชื่อติดตรงกลางในตอนนี้เพราะบางคนเอาไปใช้แบบเนียนๆ น่ะค่ะ

เพื่อนหลายคนโดนค่ะที่เอารูปเรื่องไปใช้แล้วไม่credit

สบายใจแล้วนะคะ


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 29 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:03:04 น.  

 
ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ และ รายละเอียด นับถือ ความขยัน จริงๆค่ะ แม่ซานเดอร์ ยังไม่ค่อย ได้ เข้าไป บลอค ของตัวเองเลย แหะแหะ ละอายใจเล็กน้อย .............ดิฉันชื่อ อทิตยา มังกร ซิงเกิลมอม ลูก ( ชาย ) 1 หลาน ( หมา ) 2 นึกว่าตัวเองว่าง พอ จะ มา เหยียบย่าง ยุทธจักรนี้ ปรากฎว่า งานการ ก็ไม่ เรียบร้อย ลูกหลาน ก็อลวน ..........เป็นคนตามอ่าน ตามชม น่ะ แสนจะสดวก สบาย ...........และ สุดท้ายขอบคุณ คุณsweety-around-the-world และ ทุกๆ ท่าน ทำบลอค สวยๆ เรื่องดีๆ ให้ อ่าน นะคะ


โดย: แม่ซานเดอร์ IP: 80.56.136.93 วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:16:07:29 น.  

 
สวัสดีคุณแม่ซานเดอร์ตอนบ่ายวันจัทร์ที่หนาวจับใจจริงๆ ค่ะ
ยินดีค่ะ ยินดีมากๆ ตอนนี้งานเบาเลยทำได้ค่ะ
มีช่วงหนึ่งก็หายไปปีกว่าค่ะ งานเยอะมากๆ

Photobucket



โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:18:46:43 น.  

 
จะยังไงก็แปลกอยู่ดีค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:21:25:53 น.  

 
สวัสดีครับ..ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บล๊อกครับผม...

ผมหน่ะ น่าอายมากๆ อยู่อังกฤษมาเข้าปีที่สี่แล้ว ยังไม่เคยได้ไปเห็นเจ้าหินประหลาดนี่เลย...มีแต่คนบอกว่า มาแล้วต้องไปดูให้ได้....เห้อ...นี่ก็ใกล้จะกลับละ ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไปดูไหม...


โดย: สิงห์นครพิงค์ IP: 92.12.244.95 วันที่: 6 ธันวาคม 2551 เวลา:18:51:24 น.  

 
ดีจัง ได้เห็นสโตนเฮนจ์ด้วย รัชชี่ก็เรียนรู้จากตอนเรียนหนังสือน่ะค่ะ จริง ๆ อยากไปเห็น อยากไปเมือง
บาธด้วย


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 10 ธันวาคม 2551 เวลา:13:32:11 น.  

 
ผมเชื่อว่า โสตนเฮด มีใว้เพื่อลบล้าง โลก เพื่อสร้าง โลกที่ต้องการใหม่ ครับ


โดย: พงพัต IP: 192.168.1.113, 110.164.158.176 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:18:33:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ซานเดอร์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
23 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ซานเดอร์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.