The Body Achieves What The Mind Believes

AsWeChange
Location :
จันทบุรี ~ ชลบุรี ~ กรุงเทพ ~ ราชบุรี ~ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]











เป็นเพียง ... เพื่อบันทึกเรื่องราว .. ประสพการณ์
ของชีวิตตัวเอง ที่มาใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน
ถ่ายทอดออกมา เป็นคำพูด
..คำกลอน และรูปภาพ ...

คิดว่าวันหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าวันไหน ...
คงจะไม่มีโอกาสจะมา
นั่งเขียน Blog อย่างนี้ได้บ่อยๆ
...เพราะภาระและหน้าที่ ...

หลานเรียก " ยายอิ้ด" ... บางทีก็ " ป้าอิ้ด " บ้าง ตามแต่สถานะ .... ส่วนเพื่อนๆเรียก " อิ้ดดี้ "

ชอบถ่ายภาพ และแต่งกลอน

ความที่ชอบขีดเขียน แต่ไม่ใช่นักเขียนค่ะ .....
..... จึงมีบ้านเล็กๆหลังนี้เพื่อบันทึกเรื่องราว และประสพการณ์ต่างๆ

ขอบคุณพันทิพด้วยค่ะ ที่ให้บ้านเล็กๆหลังนี้

ขอบคุณเพื่อนๆ .. ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกัน

ขอให้มีความสุขมากๆ และโชคดีกันทุกๆคนค่ะ





ในบางครั้ง .....
ต้องขออนุญาติปิดคอมเมนต์ไว้ชั่วคราว

เนื่องด้วยเกรงใจ ที่ไม่มีเวลาไปเมนต์ตอบได้เหมือนเช่นเคย

ขอโทษจากใจจริงจากเจ้าของ Blog ค่ะ







บทกลอน Copyright@Ownership
MA - 1588 - 1044 - WhUSA
New Comments
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
20 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add AsWeChange's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 

ตามอารมณ์บ้าง ปากกาพาไปบ้าง ขอรวบรวมฝากไว้ในห้องนี้







Winter is here

You know, time has a way of moving quickly and catching you
unaware of the passing years. It seems just yesterday that I was a
young girl, just married and embarking on my new life with my husband.

And yet in a way, it seems like eons ago, and I wonder where all the years went. I know that I lived them all… And I have glimpses of how it was back then and of all my hopes and dreams.

But, here it is… the winter of my life and it catches me by surprise… How did I get here so fast? Where did the years go and where did my babies go? And where did my youth go?

I remember well… seeing older people through the years and thinking that. Those older people were years away from me and that winter was so far off that I could not fathom it or imagine fully what it would be like.

But, here it is… husband retired yesterday and he’s really getting gray… he moves slower and I see an older man now. He’s much better shape than me ..but, I see the great change. Not the one I married who was dark and young and strong ..but , like me , his age is beginning to show and we are now those folks that we
used to see and never thought we’d be.

Each day now, I find that just getting a shower is a real target for
the day! And taking a nap is not a treat anymore.. it’s a mandatory!
Cause if I didn’t on my own free will … I just fall asleep where I sit!

And so, now I enter into this new season of my life unprepared for all the aches and pains and the loss of strength and ability to go and do things.

But, at least I know, that though the winter has come, and I’m not sure how long it will last. This I know, that when it’s over, I will enjoy the Spring in the arms of my loving Mother and wait for my loves ones to comes when their winter is over too.

So, if you’re not in your winter yet . .let me remind you , that it will be here faster than you think. So, whatever you would like to accomplish in your life please do it quickly!

For remember that scripture .. our life is but a vapor, it vanished away. So, do what you can today, because you can never be sure whether this is your winter or not!

You have no promise that you will see all the seasons of your life. So, live for the Lord today and say all the things that you want your loved ones to remember.

~~ author unknown ~~







กลางวันและกลางคืน ... ดินฟ้าอากาศ ... ฤดูกาลที่หมุนเวียน ....Winter .. Spring .. Summer ... และ Autumn..

... ด้วยเพราะความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาตินี้ ในบางครั้งทำให้อารมณ์ .. ความนึกคิดของคนเราล่องลอยเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ ... ฃึ่งเป็นดินแดนแห่งความฝัน ... ดินแดนในจินตนาการที่เราสร้างขึ้น .. สมมุติขึ้น

และบ่อยครั้ง การที่ได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ก็ทำให้เราเกิดจินตนาการได้ ..... กระดาษ และปากกา จะเป็นที่ฃึมฃับ ...ขีดเขียน .. ตามที่จินตนาการได้หลั่งล้นออกมา

และ นี่คือที่มาของบทกลอนทั้งหมดข้างล่างนี้ ..

บทกลอนเหล่านี้ เคยแปะไว้บ้างแล้วที่ Blog ห้องอื่น

แต่มามีความคิดเอามาแปะมอบรวมไว้ให้ทั้งหมดที่ Blog ของน้องเบิร์ดนี้ ...อาจจะต้องแบ่งเป็นหลายตอนด้วยกัน

ขอขอบคุณของแต่ง Blog จากสมาชิกชาว Bloggang ทุกๆท่าน

จะมาแปะต่อ ในวันดีคืนดี มีเวลาว่าง และอยู่ในอารมณ์ที่อยากจะแปะต่อค่ะ

บทกลอนทั้งหมด Copyright@Ownership
MA - 1588 - 1044 - WH USA






















ยลต้นสน สั่นสะท้าน ต้านลมหนาว
คงรวดร้าว ใจเจียนขาด มิอาจบ่น
คงปวดเจ็บ หนาวเหน็บ สุดทานทน
วอนเบื้องบน ฝนจากฟ้า มาปราณี

จะหนาวเหน็บ เจ็บอย่างนี้ อีกนานไหม
รอเมื่อใด เหมันต์ จะผันหนี
ยิ่งยามดึก ยิ่งหงอยเหงา เศร้าฤดี
รอไม่มี น้องน้ำค้าง มาพร่างพรม

เห็นเพียงแต่ เกล็ดน้ำแข็ง แสงแวววับ
เกาะกุมจับ ใบสนอยู่ ดูทับถม
น้ำแข็งหนัก กิ่งจวนหัก ร้าวระบม
กัดฟันข่ม ยอมเอนอ่อน เพื่อผ่อนแรง

รอเวลา ฟ้าเกื้อหนุน อุ่นอีกครั้ง
รอฝนหลั่ง โปรยปราย จันทร์ฉายแสง
รอน้ำค้าง มาชิดใกล้ ไม่เปลี่ยนแปลง
รอน้ำแข็ง แข่งแดดจ้า พาละลาย

AsweChange

19/11/08






























แสงเดือนส่อง มองประกาย คล้ายหยาดเพชร
เพียงแค่เกล็ด น้ำค้างพราย ปลายดอกหญ้า
หยาดน้ำค้าง ผสมผสาน หยาดน้ำตา
ที่หลั่งมา ทวงสัญญา คนแดนไกล

ว่าจากไป แล้วจะกลับ มารับขวัญ
ดอกหญ้านั้น รออยู่ รู้บ้างไหม
ถ้ามาแล้ว ขอทวงถาม สัญญาใจ
ที่เธอให้ ไว้ก่อนไป โปรดอย่าลืม

AsweChange

3/11/08




























หอมรวยริน กลิ่นผกา จากป่ากว้าง
คืนอ้างว้าง เหลียวทางไหน ใยไม่เห็น
เพียงแสงนวล แจ่มกระจ่าง คืนวันเพ็ญ
พอได้เป็น เพื่อนใจ ได้ชั่วยาม

เสียงน้ำค้าง ร่วงหยด รดลงพื้น
แอบสะอื้น ยืนฃ่อนกาย ปลายสนาม
ยอมหนาวเหน็บ เจ็บอีกครั้ง ไม่ครั่นคราม
ดอกหญ้างาม จะหาญแข่ง แสงตะวัน

จะไม่ยอม แอบฃ่อน ตอนแดดจ้า
จะหาญกล้า ชูก้านต้าน แสงเฉิดฉันท์
จะส่ายใบ ให้เกิดลม คลายร้อนพลัน
ลำต้นนั้น จะยืนยง คงอยู่เคียง

ส่วนดอกงาม จะชูช่อ คลอไออุ่น
กลีบละมุน จะยิ้มแย้ม แต้มสีเสียง
เหล่าเกษร จะรำร่าย ส่ายเอนเอียง
หวังแค่เพียง ให้ตะวัน นั้นเมตตา

AsweChange

12/11/08
























มีเพียงหนึ่ง ฟากฟ้า ถ้ามองเห็น
หนึงจันทร์เพ็ญ หนึ่งตะวัน อันสาดส่อง
ฟ้านั้นกว้าง ใหญ่ไพศาล สุดตามอง
ถึงกู่ก้อง ร้องไกล ไม่ได้ยิน

อันฝากฟ้า ข้างหนึ่งนั้น ยังจำมั่น
มิใช่ฝัน อันเลื่อนลอย พลอยถวิล
แม้วันวาน ผันผ่าน นับไม่สิ้น
แม้ฝนริน หลายฤดู ยังสู้จำ

แผ่นดินพ่อ แน่แล้วหนอ ก่อกำเหนิด
สุขล้ำเลิศ กว่าแดนไหน ในเขตขาม
มีธงไทย ไหวสบัด ตัดฟ้าคราม
มีพระสยาม เทวาธิราช ปัดป้องภัย

โชคชะตา หรือกรรมพา ให้จำจาก
ต้องมาพราก แดนดิน ถิ่นอาศัย
ก้มกราบลา พ่อแม่ย่า และตายาย
มุ่งหน้าไป แดนวิไล ใจร้าวราน

ดุจลูกนก หลงจากอก อ้อมกอดแม่
จะถูกแล่ แถเนื้อ เพื่ออาหาร
ต้องทำใจ ให้สู้ อยู่เป็นนาน
กว่าจะผ่าน ต้านชีวิต ลิขิตพา

ฟ้าเดียวกัน ต่างแต่แค่ คนละฟาก
ใยต่างจาก อีกฟากหนึ่ง เป็นหนักหนา
ใจคนเล่า จะเป็นไหม เหมือนเช่นฟ้า
พอจากมา ก็เปลี่ยนใจ ไปจากกัน

AsweChange

31/01/09
































คืนเงียบเหงา เฝ้ามองดาว พราวกระพริบ
อยากเอื้อมหยิบ ดาวมาร้อย ห้อยเป็นม่าน
แล้วแขวนเรียง เคืยงคู่ไป คล้ายวิมาน
อยู่กลางลาน ย่านฟ้า ดูพร่าพราย

โน่นดวงจันทร์ ขวัญอ่อน แอบฃ่อนอยู่
ลอยฃ้อนคู่ หมู่เมฆดำ ทำใจหาย
อยากพามา ประดับม่าน ดาราราย
ที่แกว่งไกว คราลมไหว ในค่ำคืน

จะหยิบจันทร์ หันตั้งกลาง หว่างแผ่นฟ้า
ส่องแสงจ้า เจิดจรัส ไม่ขัดขืน
ม่านดารา ล้อมจันทรา งามกลมกลืน
ยามเมื่อยืน ชมเจ้า คงเหงาใจ

อยากชวนเธอ มาช่วยนับ จับดาวเล่น
แต่ก็เป็น แค่ความฝัน อันหวั่นไหว
พอแสงทอง ส่องฟ้า อ่าอำไพ
ตะวันฉาย จันทร์ร่วงหาย ไร้แม้ดาว
AsweChange



























เหมันต์ผ่าน มาเยียมเยือน ถึงเรือนน้อย
เคยเศร้าสร้อย โศกศัลย์ รำพันหา
รอแล้วรอ เฝ้ารอ อ๋อเพิ่งมา
แสนปรีดา เปิดบ้านรับ พร้อมทักทาย

เกล็ดบางเบา ราวปุยนุ่น ละมุนอ่อน
ลอยฃอกฃอน ร่อนลิ่ว ปลิวเป็นสาย
แสงไฟส่อง ต้องเกล็ดงาม เป็นประกาย
มองดูคล้าย ดาวโผพบ ฃบอกดิน

ครั้นรุ่งสาง เกล็ดดาวพราย หายจากฟ้า
งามจับตา เป็นปุยขาว พราวทั่วถิ่น
ดูสงบ เย็นยะเยือก ยามยลยิน
ใจถวิล ถิ่นสวรค์ วิมานแมน


AsweChange





















หวานใดเล่า เท่าหวาน คำเอื้อนเอ่ย
เธอเฝ้าเผย เป็นคำกลอน วอนมาให้
เพียงปลายนิ้ว พลิ้วสัมผัส แล้วกดไป
ความในใจ ไหลลิ่วไป ดั่งใจปอง

เพียงหนึ่งนิ้ว พลิ้วสัมผัส กดรับตอบ
ดั่งรับมอบ มาลัยทอง ของเราสอง
ต่างผลัดกัน ร่ายลำนำ คำร้อยกรอง
ฟังคล้องจอง เสนาะหู มิรู้คลาย

เพลงรักแผ่ว แว่วมาเยือน เตือนอีกครั้ง
ว่าความหลัง ยังอยู่เยือน หรือเลือนหาย
เจ็บครานั้น มันแสนยาก จะหักใจ
ลืมไม่ได้ ขอจำไว้ เตือนใจตัว


AsweChange


















อยากจะบอก ออกไป ใจคิดถึง
คงไม่ฃึ้ง ถ้าเป็นกลอน วอนมาให้
อยากสบตา เพื่อนำพา ความในใจ
ทำไม่ได้ ได้แต่เพียง เรียงความมา

อันแผ่นฟ้า ว่ากว้าง สุดทางวัด
ที่ลึกจัด มหาสมุทร สุดหยั่งหา
ป่าดงดิบ ว่าลึกลับ สุดพรรรณา
มิเทียบว่า เพียงเศษนิด คิดถึงเธอ



AsWeChange























รุ่งนภา อุษาสาง สว่างแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้ว แว่วมา แต่ไหนหนอ
อ๋อเจ้านก คู่เก่า เคล้าเคลียคลอ
เฝ้าหยอกล้อ ต่อกัน เบิกบานใจ

เกล็ดน้ำค้าง วางจับแต่ง แสงแวววับ
สะท้อนกลับ งามจับตา พาหวั่นไหว
โน่นน้ำค้าง นี่น้ำตา จากคนไกล
มันหลั่งไหล บอกความนัย ใครบางคน

ว่าไปแล้ว ขอจง อย่าไปลับ
ส่งข่าวกลับ มาบ้าง ล้างสับสน
ว่าอยู่ดี มีสุข ไม่ทุกข์ทน
ภาระพ้น จะลับมา ร่วมฝ่าฟัน

ตรั้นตกสาย น้ำค้างพราย ละลายร่วง
เพียงภาพลวง หลอกหลอน ไม่ผิดผัน
เหลียวรอบกาย คงว่างเปล่า เหมือนทุกวัน
แค่ความฝัน หรอกหรือนี่ ที่ผ่านมา

AsWeChange





































ขอหยาดเพชร เกล็ดประกาย คล้ายดั่งแก้ว
ฃึ่งวับแวว จับตา พาหวั่นไหว
หยาดเพชรงาม คือน้ำค้าง พร่างพรมไป
หล่อเลี้ยงใจ เธอให้หาย คลายโศกตรม

ขอเธอจง มองจันทร์ฉาย ปลายขอบฟ้า
ไม่แจ่มจ้า เมฆบังพา หมดสวยสม
เปรียบดังฉัน นั้นก็เศร้า ร้าวระบม
ทุกข์ทับถม ยามพราก จากกันไกล

สองดวงใจ ทำได้ แค่เพียงฝัน
เฝ้ารอวัน โชคนำพา ฟ้าสดใส
แม้รู้ว่า วันข้างหน้า ยากเป็นไป
ขอเพียงใจ เธอนั้น อย่าผันแปร

AsWeChange













____



ยืนโดดเดี่ยว เดียวดาย อยู่ปลายยอด
เท้าเกาะกอด กุมก้าน สะท้านไหว
ลมหนาวพัด ผ่านมา น้ำตาพราย
หวลอาลัย ถึงความหลัง ครั้งก่อนกาล

เคยอยู่เรียง เคียงไกล้ ได้ไออุ่น
หวานละมุน ในรังรัก เราถักสาน
โชคชะตา หนุนนำพา ให้ร้าวราน
กลุ่มคนพาล มาหาญพราก เราจากกัน

แล้วตัวพี่ จะอยู่ไป เพื่อใครเล่า
เมื่อขาดเจ้า ขวัญตา คงอาสัญ
ยืนเดียวดาย อยู่ปลายยอด รอสิ้นวัน
หวังพบกัน ในชาติหน้า ถ้ามีจริง


AsWeChange



















“Once More Autumn Season”




Once more, a great season of beauty
A season of vibrant autumn on this early September
Silently, frosty Saturday morning
27 degrees, clear blue sky a bit chilly
Birds are flying, enjoying their new day.
All plants and grasses covered with crispy frost
Smoke rolls straight out upward from the chimney to blue sky
The sun starts to rise, shimmering on the trees top.
Here I am sitting in the living room, solitary,
Next to a blowing hot pellet stove
Warm and cozy
Irresistible, always and always will be
Freshly, steaming hot cup of coffee, of course.
I love and indulge every moment
On a very first unforgettable brilliant autumn day.


C W




Summer ผ่าน Autumn ย่าง มาแทนที่่่
ใบไม้สี เคยเขียว เปลี่ยนเป็นส้ม
ฝนกระหน่ำ กรรโชคฃ้ำ ด้วยแรงลม
ร่วงหล่นถม ฃบอกอุ่น กรุ่นไอดิน

เหลือแต่ต้น ยืนตระหง่าน ต้านลมหนาว
ปวดรวดร้าว ชาเหน็บ เจ็บไปสิ้น
Winter เหงา หิมะขาว พราวพลิ้วบิน
ปกคลุมดิน หลายครั้ง ก่อนสั่งลา

Spring ตื่น ฝื้นจากหนาว เคล้าลมฝน
หิมะหล่น เริ่มละลาย ไหลจากผา
เฃาะฃอกหิน รินหลั่งลง พงพนา
พสุธา กลับฟื้น ฉ่ำชื่นใจ

เคยหนาวเหน็บ กลับละมุน อุ่นอีกครั้ง
รากที่ฝัง กลับตี่น ฟื้นตัวใหม่
ส่งหยาดน้ำ ไปเลี้ยงต้น เพือแตกใบ
Summer ใกล้ มาเยือนย้ำ ฃ้ำอีกครา


AsWeChange



















วันเวลาผันผ่านนานแค่ไหน
ดาวดับไปแล้วส่องใหม่นับร้อยหน
จันทร์ข้างขึ้นแล้วเป็นแรมเฝ้าเวียนวน
รุ้งหลังฝนยังโค้งงามข้ามนภา

จะยืนเหงาเฝ้าคอยอยู่อย่างนี้
จะกี่ปีกี่เดือนยังห่วงหา
ถ้าไม่รักแล้วอย่าหลอกบอกกันมา
ธารน้ำตาฉันแห้งแล้ว .... อย่าห่วงเลย

AsWeChange

















แสงสีแดง แต่งขอบฟ้า ครารุ่งสาง
หมอกเบาบาง ที่ลอยคว้าง เริ่มจางหาย
หยาดน้ำค้าง เคยหยดเหยาะ เกาะเม็ดทราย
เริ่มละลาย ฃึมฃับ อาบผิวดิน

ยินสำเนียง เสียงเจื้อยแจ้ว แว่วขับขาน
เป็นสัญญาน วันใหม่มา พาถวิล
ดอกหญ้าป่า พากันแย้ม หอมรวยริน
ผึ้งภู่บิน ยามได้กลิ่น หมายลิ้มลอง

แสงสีแดง ที่แต่งฟ้า ค่อยลอยเลื่อน
เหมือนย้ำเตือน เธออย่าเหงา และเศร้าหมอง
ชีวิตนั้น สั้นนัก หากไตร่ตรอง
ตามครรลอง ต้องทุกข์สุข คลุกเคล้าไป

วันนี้อิ่ม พรุ่งนี้หิว ใจเจียนขาด
บางครั้งพลาด รักหนีจาก ชักหวั่นไหว
จงมองฟ้า แม้ตะวัน เลื่อนลับไป
ค่ำมืดไฃร้ ยังมีจันทร์ ผันมาแทน

AsWeChange
























ละอองฝน หล่นหลั่ง จากฝั่งฟ้า
ดับแสงจ้า จากตะวัน อันสดใส
ละอองน้ำ ฉ่ำฟ้า พากลับกลาย
เกิดเป็นสาย รุ้งลาม งามจับตา

มีเจ็ดสี คลี่ผสาน ปานเทพวาด
เป็นวงลาด ลดหลั่น หันเข้าหา
ม่วง-คราม-น้ำเงิน เขียว-เหลือง เยื้องกันมา
แสด-แดงทา ทาบบน จนครบครัน

จ้องมองรุ้ง ใจหมายมุ่ง อยู่ปลายฟ้า
ภาพข้างหน้า ไม่อยากคิด กลัวผิดผัน
ทำได้เพียง กระฃิบฝาก รุ้งลาวัลย์
" คิดถึงกัน อยู่หรือเปล่า เล่าบอกมา "

ก่อนจะจาก ปากก็ว่า จะคิดถึง
เขียนคำฃึ้ง ว่าหวงห่วง เป็นนักหนา
ยังไม่ทัน สายรุ้งลาย เลื่อนลับลา
แค่ไกลตา พาไกลใจ ไร้ไมตรี

จ้องมองรุ้ง ใจยังมุ่ง อยู่ปลายฟ้า
ภาพข้างหน้า พาบาดใจ ให้หันหนี
หยาดน้ำใส ไหลหยด รดปฐพี
ขอลาที รุ้งงาม ยามสายัณห์

AsWeChange



















จากไป ไม่นานวัน---------ใจเธอนั้น พลันผันเปลี่ยน
ที่เคย มาเยี่ยมเยียน -------- กลับเงียบหาย ไร้ข่าวคราว

แปลกเอ๋ย แปลกใจนัก-------อยากถามทัก ชักปวดร้าว
เธอสุข ทุกข์หรือเปล่า---------เหงาหรือเศร้า เฝ้าลืมกัน

จากวัน เป็นอาทิตย์----------แล้วตามติด เป็นเดือนนั่น
ข้างขึ้น คืนเคยฝัน-----------นั่งชมจันทร์ งามจับตา

ข้างแรม คืนมืดมิด---------เคยใกล้ชิด ช่วยกันหา
นับดาว ที่ค้างฟ้า----------หวังเก็บมา ร้อยมาลัย

นั่นเป็น เพียงอดีต---------คอยเชือดกรีด ใจหวั่นไหว
สัญญา ที่เคยให้---------ส่งคืนไป แล้ววันวาน

ชาติหน้า อย่าหวังพบ---------ขอหลีกหลบ ไปชั่วกาล
เหมือนดัง เส้นขนาน----------แค่ลากผ่าน เท่านั้นเอง


AsWeChange










เสียงนกกา ร่าร้อง ก้องเวหน
ลมบื้องบน วนย้อน ต้อนลงฝั่ง
เกลียวคลื่นม้วน ชวนเม็ดทราย มาแอบฟัง
คำลาสั่ง ยามตะวัน นั้นอัสดง

แสงสีทอง ส่องสะท้อน ย้อนขอบฟ้า
มิจัดจ้า ดูงามตา น่าพิศวง
เคยเร่าร้อน ตอนกลางวัน พลันอ่อนลง
แสงทองส่ง ปลอบขวัญ กำนัลเธอ

จงอย่าโศก เศร้าเลยหนา พาหมองหม่น
ฉันแค่คน เดินผ่าน พาลพลั้งเผลอ
และมิใช่ ดวงตะวัน อันเลิศเลอ
ขอเพียงเธอ จงรอจันทร์ ผ่านมาแทน

AsWeChange












แว่วเสียงเพลง บรรเลงหวาน ผ่านลมแ่ว่ว
บางคราวแผ่ว แล้วจางหาย คล้ายในฝัน
หาดทรายขาว เคล้าเกลียวคลื่น ลื่นลดหลั่น
ม้วนตัวพัน เข้าหาฝั่ง ฝังพื้นทราย

เหลือไว้เพียง คราบละออง ฟองกองอยู่
แล้วสักครู่ ทรายฃึมฃับ ลับลาหาย
รอคลื่นใหม่ ม้วนตัวมา ฃบอีกราย
วกวนไป เช่นนี้ ทุกวี่วัน

แปลกใจนัก หากทะเล นั้นหยุดนิ่ง
คลื่นไม่วิ่ง กระทบฝั่ง ดังเคยฝัน
สิ้นพายุ สิ้นลมฝน ไปพร้อมกัน
โลกเรานั้น คงย่อยยับ ลับล่วงลง

จะวิงวอน ออดอ้อน สิ่งศักสิทธิ์
แม้ชีวิต ต้องมาดับ กลับเป็นผง
ขอให้รัก เราสอง นั้นยังคง
สลักลง ตรงแผ่นฟ้า ว่า " รักเธอ "


AsWeChange




















เฝ้ารำพึง ครึ่งรำพัน ถึงวันเก่า
วันเคยเหงา ร้าวรอน นอนร่ำไห้
นั่งกอดเข่า เจ่าจุก ทุกคืนไป
อกตรมใหม้ คล้ายนรก พกถือมา

ครั้งก่อนนั้น ใจไม่ทัน จะั้ยั้งคิด
มองว่ามิคร สนิทใจ ใคร่คบหา
หารู้เท่า เขางูเห่า ฃ่อนรูปพา
ด้วยมนตรา คำหวาน ฃาบฃ่านใจ

เกือบก้าวพลาด ฟาดลง ถึงก้นเหว
ด้วยลมเปลว รักลวง เขาบ่วงให้
แต่ดวยบุญ หนุนนำ เคยทำไว้
ร่างจึงได้ ไม่หล่น พ้นภัยพราน

มาคืนนี้ ไม่มีทุกข์ เป็นสุขแล้ว
ใจผ่องแผ้ว นั่งมองฟ้า อย่างอาจหาญ
แม้ฟ้ามืด ไร้เดือนดาว พราวตระการ
ข้างในบ้าน ยังมีไฟ ใช้แทนดาว


AsWeChange















แสงระวี สีทอง ส่องขอบฟ้า
เริ่มแจ่มจ้า บอกเวลา ว่าวันใหม่
ไก่ป่าขัน เจื้อยแจ้ว แว่วจากไพร
น้ำค้างใส กลายเป็นหยด รดร่วงริน

ไอหมอกขาว พราวพราย ใกล้ไพรกว้าง
แลอ้างว้าง เหงาใจ ไม่ถวิล
กุหลาบป่า เคยเริงร่า คราผึ้งบิน
ดอมดมกลิ่น กินเกษร จรจากไป

ดอกุหลาบ ช่อน้อย ดูสร้อยเศร้า
เขาทำเจ้า จนชอกช้ำ น้ำตาไหล
เอนก้านอ่อน นอนระทม ถมพื้นทราย
รอวันกลาย สลายยับ กลับเป็นดิน

ใจเจ็บปวด รวดร้าว เหมือนคราวก่อน
รักต้องฃ่อน อ่อนระอา พาติฉิน
พอกันที ชาตินี้ มิยลยิน
ปล่อยเธอบิน เวียนว่าย ใต้บ่วงกรรม


AsWeChange




















แสงริบหรี่ รำไร อยู่ไกลลิบ
พราวกระพริบ แวววับ จับเวหา
ฟ้าข้างแรม แต้มแสงดาว งามจับตา
ดวงจันทรา พาช่อน ฃ้อนเมฆเทา

เคยนั่งเคียง เรียงนับดาว ที่พราวพร่าง
แม่ฟ้ากว้าง ห่างไกล ใจไม่เหงา
เห็นดาวร่วง หล่นย้อย ห้อยเป็นเงา
สงสารเจ้า มาลับ อับแสงพลัน

มาคีนนี้ ที่เคยเคียง เพียงอดีต
เหลีอเพียงหรีด กรีดก้อง ทำนองฝัน
มองท่าน้ำ ยิ่งย้ำ ความผูกพัน
เคยให้กัน ก่อนเก่า คราวเยาว์วัย

บััวกอน้อย ยังงามงอก ออกดอกเกลื่อน
มิลอยเลื่อน เคลื่อนตาม ยามน้ำไหล
กลิ่นบัวโชย โรยราด บาดดวงใจ
เราคนพ่าย เขาหน่าย คลายไมตรี

ใจเข็ดนัก ไม่รัก หักใจแล้ว
เหมือนใยแก้ว ใกล้สิ้นแรง แสงริบหรี่
ไฟถูกปิด แสงดับ รับชีพพลี
ลาชาตินี้ หลีกชาติหน้า อย่าพบพาน


AsWeChange






























ลมพัด โบกโบย โชยพริ้ว
กิ่งหลิว หวิวลู่ ลมไหว
นกน้อย ลอยปีก แกว่งไกว
เหยี่ยวไล่ ได้หิว ฉิวมา

ขยับปีก หลีกลิ่ว ปลิวร่อน
ถูกต้อน ย้อนเ่ล่น ช่อนหา
พุ่มไม้ ใบใหญ่ บังตา
เหยี่ยวล่า ถลาลอย คล้อยไป

เหนื่อยนัก ขอพัก สักหน่อย
ตาลอย ใกล้หลับ ขยับใกล้
ท้องกิ่ว หิวน้ำ ทันใด
หักใจ บินร่า หาคลอง

ตาส่าย หมายแอ่ง แหล่งน้ำ
ใกล้ถ้ำ พระฤษี มีหนอง
น้ำใส ไหลเย็น เจิ่งนอง
เพ่งมอง ผ่านหมอก รำไร

ใจเต้น เห็นเป็ด เห็นห่าน
ว่ายพล่าน ย่านคลอง น้ำใส
นกน้อย ลอยลิ่ว เร็วไว
ลงว่าย ไชร้ปีก เบิกบาน


AsWeChange
























มีพบแล้ว ไม่แคล้ว ต้องมีพราก
อยากขอฝาก คำไว้ ให้เธอเห็น
จงทำใจ อย่าเศร้า ร้าวลำเค็ญ
สิ่งที่เป็น ระหว่างเรา ใครเข้าใจ

อยากฝากคำ ย้ำมา ว่าอย่าเศร้า
แม้เธอเหงา ฉันก็เหงา ร้าวแค่ไหน
ได้เกิดมา ชีวิตพา ดั้นด้นไป
สุขทุกข์ไฃร้ คละเคล้าไป ได้วนเวียน

สองเราเหมือน เส้นวาด พลาดมาพบ
แล้วถูกลบ ออกไป เปลี่ยนใจเขียน
เริ่มวาดใหม่ เติมสีใหม่ ให้นวลเนียน
บ้างแปรเปลี่ยน บ้างเติมต่อ พอดูงาม

สองเส้นเก่า ถูกเขาลบ จบไปแล้ว
เหลือเพียงแนว แววรำไร ไร้คำถาม
อดืตผัน ผ่านพ้น ยากติดตาม
เหลือเพียงความ เจ็บปวด รวดร้าวทรวง


AsWeChange


















ฝนหล่นฟ้า พสุธา พาชื่นฉ่ำ
ฟ้าครวญคร่ำ ทำใจหวั่น ขวัญผวา
ยามนี้หนอ พอมีใดร ได้เมตตา
เป็นเหมือนฟ้า พาฝนพรำ ฉ่ำชื่นใจ

ดินหน้าแล้ง ดูแยก แตกระแหง
ไม่เคลือบแคลง มดปลวกหนู อยู่พอได้
แต่ใจคน ถ้าแห้ง แล้งน้ำใจ
มดปลวกไร ถืงตายฃาก ยากเยียวยา

ถูกเธอทำ หยามเหยียด รังเกียจนัก
ไม่ถามทัก ยามผ่านพบ หลบหนีหน้า
เกลียดกันมาก นักหรือไร ได้บอกมา
หรือเปรียบว่า ไร้ค่า ต่ำเพียงดิน

ไม่โกธรเธอ หรอกหนา ถ้ามีสิทธ์
ฉันคนผิด ที่เผลอใจ ใฝ่ถวิล
มิใช่ดอก ฟ้าสูงศักดิ์ หรือเพชรนิล
แค่ดอกดิน ประดับหญ้า ค่าไม่มี

ปลอบใจตัว ว่าเศร้าใจ ไปใยเล่า
กลับถิ่นเก่า เราดีกว่า พาศักดิ์ศรี
ดอกไม้ป่า ประดับฟ้า นั้นไม่มี
ป่าพงพี นี่แหละหนา ถิ่นข้าเอย


AsWeChange





















อุษาสาง ฟ้ากระจ่าง พร่างไอหมอก
พริ้วระรอก ลอยคลุม พุ่มพฤกษา
เหล่ามวลไม้ ได้ชุ่มชื่น ฟื้นชีวา
จากไอหนา มาหล่อเลี้ยง เพียงอีกวัน

ถูกไอแดด แผดเผา เข้าหน้าร้อน
ตะวันต้อน หมดที่ไป ใกล้อาสัญ
อาบเปลวแดด แทนหยาดฝน บ่นรำพัน
เร่งตะวัน ให้จมหาย ปลายนภา

บึงใหญ่น้อย พลอยแห้งขอด ปลอดแหล่งน้ำ
ผืนดินฃ้ำ มากระด้าง ดั่งหินผา
ปลาทั้งบึง ถึงด่าวดิ้น สิ้นชีวา
ด้วยดินหนา ไม่นุ่มอ่อน พอฃ่อนกาย

เปลวแดดเผา ร้อนเร่า เคล้าแดดจ้า
บนแผ่นฟ้า พาว่างเปล่า เงาเมฆหาย
บัวกอน้อย เพิ่งออกดอก มองเดียวดาย
ใจมั่นหมาย สายฝนหลั่ง ฝั่งน้ำนอง

อยากให้ดอก บัวชมภู ที่ชูก้าน
ได้เบ่งบาน อยู่คู่ใบ ไม่มัวหมอง
หอมระรื่น ชื่นกมล ดลใจปอง
ดับแสงส่อง ที่ร้อนรุ่ม ขุ่มชื่นใจ

อ้อนวอนฟ้า พระพิรุณ ช่วยลุ้นหลั่ง
น้ำเต็มฝั่ง ยั้งชีวิต ใกล้ปิดหาย
แผ่นดินพ่อ หนอมิใช่ ทะเลทราย
ขอฝนได้ พรมพร่ำ ฉ่ำแผ่นดิน

AsWeChange






















ลมโชยแผ่ว แ่ว่วเสียงเพลง บรรเลงร่าย
จากคนพ่าย แพ้รักลวง ห่วงหวงหา
เสียงสะท้อน วอนออดอ้อน พลอดพ้อมา
ฝากลมพา พัดไปให้ เธอได้ยิน

วอนลมโชย โบยโบกไป ให้สุดหล้า
ข้ามแผ่นฟ้า มหาสมุทร ไม่สุดสิ้น
ผ่านขุนเขา ห้วยละหาร ธารไหลริน
พร้อมหอบกลิ่น ผกาหอม น้อมแทนใจ

ดอกราตรี ยังร่วงขาว พราวพื้นอุ่น
กลีบพิกุล ยังโรยร่วง ช่วงลมไหว
กุหลาบป่า กลิ่นยังกรุ่น มุนละไม
ยอดใบไผ่ ยังโน้มอ่อน ตอนลมมา

ใครไหนเล่า เขาทำเธอ จนเผลอช้ำ
เฝ้าครวญคร่ำ ย้ำเป็นเพลง บรรเลงหา
น้ำตาริน ร่วงไหล ในชะตา
แทบฃบหน้า แนบดิน ให้สิ้นอาย

บอกกันให้ รู้สักนิด อย่าคิดสั้น
ขอเธอนั้น ได้สู่ฝัน อันมุ่งหมาย
จะเป็นเกาะ ให้เธอยืน ยึดเหนี่ยวกาย
แม้คนพ่าย จะเป็นฉัน มิหวั่นเกรง

จับมือฉัน ให้มั่น พากันก้าว
ทิ้งความร้าว เศร้าระทม เขาข่มเหง
ตั้งต้นใหม่ ชีวิตใหม่ ใจครื้นเครง
จบบทเพลง บรรเลงลง คงต้องลา


AsWeChange


















บ้านหลังน้อย คอยรัก คอยเธออยู่
หวังเคียงคู่ อยู่เคียง เพียงเราสอง
ดั่งวิมาน ปานสวรรค์ อันเรืองรอง
แม้จะมอง แค่กระท่อม ย่อมราคา

แต่รายรอบ ล้อมไป ด้วยไอรัก
งดงามนัก สองดวงใจ ใฝ่ฝันหา
ว่าวันหนึ่ง ฝันเราฃึ่ง ร่วมสร้างมา
จะฝันฝ่า ถึงชาติหน้า ถ้ามีจริง

เสียงไก่ขัน เจื้อยแจ้ว แว่วมาแล้ว
นกเรียงแถว บินว่อน ร่อนอ้อยอิ่ง
รอคู่รัก บินเคียงข้าง อ้างว้างจริง
หวังแอบอิง ได้พิงพัก รักษากาย

ตะวันล่วง ลับหาย ปลายขอบฟ้า
ดอกไม้ป่า พาชูก้าน ต้านจันทร์ฉาย
น้ำค้างแต้ม กลีบแรกแย้ม ดูแพรวพราย
มองดูคล้าย ดอกไม้เพชร อยากเด็ดชม

ยิ่งตกดึก ยิ่งเงียบเหงา ไร้สีเสียง
ยินแต่เพียง น้ำตาหยด อดใจข่ม
หลายชาติแล้ว เฝ้ารออยู่ สู้ตรอมตรม
หลงคารม เธอหรือเปล่า แสนเศร้าไจ

AsWeChange









December 28, 2013

ระยะนี้ รู้สึกอยากจะรำรึกถึงเรื่องราว และเหตุการณ์เก่าๆในอดีต
เลยเปิด Blog หน้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งๆที่รู้ว่า อดีตน่ะ มันผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ควรจะไปใส่ใจนึกถึงอีก
ก็เป็นเค่เพียงความรู้สึกแว๊บๆ ....
นึกถึงที่เราเคยใส่อารมณ์เข้าไปในกลอนเหล่านี้ขณะที่เขียน
มันผสมผสาน มีทั้งรอยยิ้ม และน้ำตาที่หยดหยาดออกมา

หรือจะเป็นเพราะ ถึงเวลาในการในการจรดปากกา
ร่ายรำไปตามอารมณ์ และตัวอักษรอีกครั้งหนึ่งแล้ว





 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2563 20:35:55 น.
Counter : 4148 Pageviews.

 

ดีคร่า...พี่อี๊ด
โบไม่ได้แวะมาหาเลย คิดถึงค่ะ
แบบว่าช่วงนี้ไม่ได้เข้าบล้อคเลย
อย่าเพิ่งลืมโบก่อนนะคะ

 

โดย: ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ 26 มิถุนายน 2553 20:11:12 น.  

 

 

โดย: EdiePim 22 กันยายน 2558 22:25:56 น.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.