someday we write , someday we wrong









“รองเท้าเพียงคู่เดียว” กับ ”รองเท้าเพียงคู่เดียว”.

“มีใครเกลียดงานที่ตัวเองทำอยู่บ้างครับ?”
ตั้งแต่ผมมีโอกาสได้อ่านนิยายเรื่องรองเท้าบัลเล่ย์ (Ballet Shoes) เป็นต้นมา
มุมมองที่ผมมีต่อ “รองเท้า” ก็เปลี่ยนไป...และไม่เปลี่ยนกลับมา(หรือกลับไป)เป็นอย่างอื่นอีกเลย

ถือเป็นนิยายที่ทั้งงดงามและโศกสลดในตัวหนังสือชุดเดียวกัน ภายใต้ฝีมือการแปลของเจ้าของรางวัลซีไรต์คุณงามพรรณ เวชชาชีวะ Ballet Shoes บอกเล่าเรื่องราวความงดงามของความฝันสำหรับเด็กสาวกำพร้า 3 คน พลางโศกสลดเมื่อความยากจนทำให้เด็กๆต้องเผชิญหน้ากับโลกของผู้ใหญ่และความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว จนต้องออกมาทำมาหากินตั้งแต่อายุแค่ 10 กว่าขวบ โดยในสมัยนั้นอาชีพที่พวกเธอพอจะทำได้...มีเพียงแต่การสวมรองเท้าบัลเล่ย์และร้องเล่นเต้นรำเท่านั้น

โดยมุมมองใหม่ที่ผมได้รับจากนิยายเรื่องนี้...ทำให้ผมมองเห็นรองเท้าทุกคู่เปรียบเสมือน “อาชีพ” ที่มนุษย์สวมใส่

แล้วนั่นทำให้ทุกครั้งที่ผมเพ่งมองภาพถ่ายนี้...ผมจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นทุกทีไป...



ภาพโดยคุณปอย นางสาวดุ่บดั่บ



ด้วยผมเป็นคนนึงในบรรดาคนหลายล้านคนคนบนถนน...ที่กำลังเดินทางไปทำงานที่ตัวเองเกลียดชังทุกวี่วัน
พวกเราแต่ละคนต่างก็มี “เหตุผล ความจำเป็น หรือข้อบังคับ” ของตัวเองที่ส่งผลให้เราต้องจำตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่เราชิงชังต่อไปเรื่อยๆ สำหรับผม - เจ้าเหตุผลที่ว่าคือ มันเป็นงานของที่บ้านผมเอง...ถ้าผมไม่ทำไม่พี่ก็น้องของผมคงจะต้องรับกรรมมาทำแทน

แต่ถึงอย่างนั้น “ภาพรองเท้าคู่เดียว” นี้กลับคอยปลอบและให้กำลังใจผมเสมอว่า...
“ถึงงาน(รองเท้า)ที่ทำอยู่มันจะเลวร้ายเพียงไร...ก็ยังมีบางช่วงเวลาที่ผมสามารถถอดมันออกจากเท้าได้”
จริงอยู่ที่มันน่าสงสัยและเศร้าใจว่าท่ามกลางงานการหลากอาชีพมากมาย ไหงเรามาจมกับงานที่เราเกลียดแบบนี้ได้ หากแต่งานทุกงานบนโลกก็มีอะไรที่เหมือนกัน นั่นคือเราสามารถตอกบัตรเลิกงานได้ในบางเวลา เหมือนกับเด็กๆในนิยาย Ballet Shoes ที่เมื่ออยู่นอกเวลางาน ทั้ง 3 ก็ต่างพากันเต้นรำสนุกสนานไปกับเสียงดนตรีด้วยเท้าอันเปลื่อยเปล่าอย่างมีความสุข...

มุมมองที่สวยงามของภาพนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะการอุปมาอุปไมยของภาพแสนจะช่างกระชับมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้ายที่มีอยู่มากมาย ในที่นี้ผมหมายถึงในความเป็นจริงแล้ว - มันมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในงานประจำอันน่าเบื่อหน่าย ทั้งลูกค้าเรื่องมาก พนักงานหน้ามึน พ่อครัวบ้าๆบอๆ หากแต่ทั้งหมด...ถูกภาพถ่ายนี้เหมารวมไว้ใน “รองเท้าเพียงแค่คู่เดียว” นั่นหมายถึงเราสามารถหลุดพ้นจากภาระหน้าที่นานาชนิดและปัญหานานัปการได้ ด้วยการถอดรองเท้าเพียงครั้งเดียว…

พอได้ลองจับความเลวร้ายทั้งหมดมารวมไว้ในรองเท้าที่เราสามารถถอดทิ้งได้ในคราวเดียวแบบนี้
...มันให้ความรู้สึกที่ดีเอามากๆ เลยครับ ราวกับพวกมันไม่ได้ก็เลวร้ายและมีอยู่เยอะมากมายอย่างที่เราเคยคิด...




Smile - Madeleine Peyroux



ยิ่งไปกว่านั้น ภาพถ่ายนี้ยังมอบความหวังให้กับผมเกี่ยวกับ “พื้นที่ส่วนที่เหลือของโลกใบนี้” อีกด้วย...
เพราะนอกจากมันจะบอกกับผมว่า “(งาน)มันก็แค่รองเท้าคู่เดียว” แล้ว หากเราลองสังเกตบริบทรอบๆรองเท้าในภาพให้ดีๆ เราจะพบว่ามันเบลอและมืดมัวมาก ราวกับโลกภายนอกรองเท้า(การทำงาน)นั้น มันยังมีเรื่องราวให้ผมได้ตื่นเต้น แปลกใจ และออกตามค้นหาได้ไม่มีที่สิ้นสุด แถมภายใต้ความเบลอๆของผิวภาพก็ยังมีแสงของดวงอาทิตย์สาดส่องทะลุทะลวงเมฆหมอกและเงาไม้ลงมา ให้ได้รู้สึกว่า “เจ้าความแปลกใหม่” ภายนอกที่ว่านั้นไม่ได้มีแต่ความวุ่นวายจากความไม่คุ้นเคยนะ แต่ยังมีอะไรดีๆให้เราได้รู้สึกอบอุ่นอละมีความหวังอยู่ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นถึงไม่จำต้องหนีรองเท้าไปทำงานตามที่ใจฝัน
แต่ผมก็สามารถมีความสุขได้เสมอ โดยเจ้าความสุขที่เกิดขึ้นนั้นมันยิ่งทวีมากขึ้นอีกต่างหาก
เพราะถ้ายิ่งงานมันย่ำแย่มากเท่าใด เวลาที่ผมถอดมันออกผมก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น


ในท้ายที่สุดแล้วจึงราวกับภาพถ่ายนี้ช่วยทำให้รองเท้าที่ผมจำต้องสวมอยู่...มันไม่คับและกัดเจ็บจนเกินไปนัก
โดยไม่ลืมที่จะชวนให้ผมถอดภาระหน้าที่ออกบ้าง เพื่อจะได้ลองเดินเท้าเปล่าไปบนพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่นและผ่อนคลาย
ได้ลองวิ่งไปบนถนนดินแดงฝุ่นตลบในชนบทที่ห่างไกลและแปลกตา และโอบกอดกับความสุขไปตลอดเส้นทาง...


ทั้งหมด...ขึ้นอยู่กับวิธีที่เรามองภาพถ่ายใบนี้...
และการเลือกใช้น้ำเสียงระหว่างแบบเซ็งชีวิตหรือปล่อยวาง...เวลาที่พูดคำว่า “รองเท้าเพียงคู่เดียว”



Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 15 เมษายน 2553 15:23:28 น. 21 comments
Counter : 1237 Pageviews.

 
เป็นกลวิธีการเขียนและการนำเสนอ ที่โดนใจพี่มากเลยค่ะท่านน้อง

^^

ชอบมุมมอง เรื่องรองเท้า
ถอดออกแล้วลองเล่น กับโลกนี้ดู
มันสนุกจริงๆ นะคะ

^^

สู้ต่อไป


โดย: pattararanee IP: 125.27.44.117 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:53:53 น.  

 
ว้าววว .. เล่าได้น่ารักจัง


โดย: Paulo วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:06:33 น.  

 
อืม ก็จิงแหล่ะ


โดย: wasmb วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:05:06 น.  

 
คุณชุดนอน

คุณช่างมีวิธีการนำเสนอความคิดแบบแตกต่างทุกครั้งไปเชียวนะ
อยากการเขียนถึงภาพภาพเดียว ในสองมุมมอง สอง blog แบบนี้ เราละทึ่งจริงๆ

ถ้าให้มองงานแบบ "รองเท้า" ...เราก็มีรองเท้าคัชชู ส้นสูง 3 นิ้วสีดำ ...เป็นคู่หลัก
แม้จะเบื่อบ้าง แต่มันก็เรียบง่ายและดูดี ทำให้เราดูสูง....
และบนความสูง 3 นิ้วนั้น....เราก็มองออกไปได้ไกลขึ้นอีกนิด

พอเวลาเซ็งๆ เบื่อ เราก็ถอด "รองเท้า" คู่งามลงมาเป็น ผ้าใบหรือแตะ...
ลดตัว ลดสายตา มามองสิ่งใกล้ๆ เปลี่ยนมุมมอง ซะหน่อย พักใจซักนิด ....

ก่อนจะกลับไปสวมรองเท้าคู่เดิมนั้นต่อไป

งานของเราแม้จะดูซ้ำๆ บ้าง แต่ผู้คนที่มาเกี่ยวข้องกับเรานั้น...เปลี่ยนตลอดเวลา
ก็เหมือนกับคัชชูหลากสี สูง 3 นิ้วนั่นแหละ...ไม่ได้มีรองเท้าคู่เดียวซะหน่อย





โดย: นัทธ์ วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:45:38 น.  

 
รองเท้างั้นเหรอ
คู่โปรดของหนูคือรองเท้าเร็กเก้ ฮ่าๆ
ส้นเตี้ยสีขาว มือสองที่ซื้อมาราคา 20 บาท
มันจะเคยเป็นรองเท้าของใครมาก่อนไม่รู้
แต่พอมันอยู่ในเท้าหนู มันพอดี เหมือนจะบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้

ใครๆก็บอก ว่ารองเท้าคู่นี้ เหมาะกับหนูที่สุด
แม้บางครั้งหนูจะแอบเหยียบส้นให้มันบอบช้ำ
แอบเขย่งๆเท้า เพราะไม่กล้าเหยียบส้นมาก
หรือบางครั้งก็ถอดเก็บ เวลาเกิดบาดแผลทางเท้า
แต่รองเท้าคู่นี้ก็เหมาะกับหนูที่สุด และหนูก็ถูกใจรองเท้าคู่นี้ที่สุดด้วย

เหมือนงานของหนูเลย
หนูอาจจะไปแย่งงานนี้มาจากใครก็ไม่รู้ (ถึงแม้ว่าคนนั้นเค้าจะยินดีถอนตัวออกไป)
แม้บางครั้งหนูจะร้องไห้ให้งาน
แม้บางครั้งหนูจะทำเหมือนไม่รับรู้อะไร
แต่ใครๆก็บอก ว่าหนูเหมาะกับงานนี้ที่สุด และหนูก็ถูกใจงานนี้ที่สุดด้วย

รักรองเท้าค่นี้ที่สุด ถึงจะต้องถอดมัน แต่ก็อยากกลับมาใส่เสมออ่ะ


โดย: ปลาทองแก้มยุ้ย IP: 124.121.164.56 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:54:11 น.  

 
การนำเสนอของคุณเล่นเอาขากรรไกรค้าง หุบไม่ลงเลย
หมายถึงอ้าปากค้างด้วยความทึ่งนะคะ ว่าคุณมีสมองในการรังสรรค์อีกส่วนต่างหากจากคนทั่วไปจริง ๆ ด้วย

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่เลี้ยงดูปูเสื่อรูปภาพเราเป็นอย่างดีนะคะ ตอนนี้ได้เวลามาจิบกาแฟคุยกันเรื่องภาพแล้วค่ะ
พร้อมยังคะ?

............

อย่างที่คุณว่าทุกอย่างในโลกมันมีสองมุมเสมอจริง ๆ นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกมองอย่างไร
มองให้หดหู่ร้อยแปดประการ มันก็แสนจะไม่มีทางออกและมืดมนไปหมด
แต่ถ้าจะมองให้สดใส มันก็มักจะมีหนทางและแสงสว่างอยู่ที่ใดที่หนึ่งเสมอนั่นแหละ
อ่านแล้วนึกถึงกราฟชีวิตที่ฉันเขียนแล้วคุณมาเม้นต์น่ะนะ มันเกี่ยวโยงกันอยู่หน่อย ๆ
จริง ๆ แล้วกราฟชีวิตส่วนใหญ่ที่คิดว่าขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ต้องคิดไปถึงอีก 20 ปีข้างหน้าก็ได้
แค่วันนี้เท่านั้น ส่วนใหญ่มันก็เป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนขึ้นลงของตัวเองทั้งนั้น
เลือกที่จะคิดว่าอะไรมันแย่ เลวร้าย ไม่สมหวัง ไม่เป็นดังที่ใจต้องการ ทรมานไปหมด
แต่ถ้ากลับกัน เลือกที่จะคิดว่าอะไร ๆ มันแสนจะดี มีความสุข สวยงาม เบิกบาน
ก็คิดได้เหมือนกัน และทั้งที่องค์ประกอบรอบข้างมันก็เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป
อยู่ที่จะเลือกคิด เลือกใช้อารมณ์ไหนมากำหนดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละเหตุการณ์มากกว่า
สงสัยต้องกลับไปพอตกราฟตัวเองใหม่อีกสักรอบ คงจะได้อะไรเปลี่ยนไปแน่ ๆ
ก่อนที่จะลองใช้ทฤษฎีวงกลมที่เพิ่งทำความรู้จัก

.........

อีกอย่าง ภาพแต่ละภาพของแต่ละคนที่มอง ก็ให้อะไรแตกต่างออกไปเหมือนกันนะคะ
อย่างเรามองภาพนี้ (โดยไม่มีอคติว่าเป็นคนถ่ายและยึดกับบทความ ballet shoe)
จะให้ความรู้สึกเหมือนไปพักร้อน ผ่อนคลาย สบายใจ ไม่ยึดติด ปลดปล่อย ชิล
เพราะการถอดรองเท้าวางเอาไว้ ก็เท่ากับเจ้าของรองเท้ากำลังเปลือยเท้าเปล่าอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
อาจจะกำลังย่ำหญ้า เอาเท้าจุ่มน้ำตก เดินเตะคลื่นที่ชายหาด หรือว่านอนกลางวันบนเปลก็ได้
เบื้องหลังการถอดรองเท้าวางไว้มีแสงแดดส่องลงมารำไร ล้วนให้ความรู้สึกปลอดโปร่งทั้งนั้น
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่ภาพเป็นสีขาว-ดำ มันแสดงถึงความคลุมเครืออะไรบางอย่าง
ความลึกลับ ปกปิด ซ่อนเร้น ล้วนแต่น่าสงสัยให้ตีความ ว่ารองเท้าจะเป็นสีอะไรนะ
แสงแดดแรงแค่ไหน พื้นหลังเป็นสีอะไร มีสีเขียวในภาพหรือเปล่า หรือสีส้ม หรือสีแดง??
แล้วมันจะจริงไหม ที่เจ้าของรองเท้าถอดรองเท้าเพื่อไปมีความสุขอย่างที่คิดจริง ๆ
ถ้าการที่ภาพมีสีสันขึ้นมา อาจจะทำให้บริบทความคิดเปลี่ยนแปลงไป

.............

วิจารณ์ภาพตัวเองก็ได้!! ไม่คิดว่าจะไป 'จิ๊ก' ภาพนี้มานะคะ แต่ไม่โวยใส่ค่ะ เพราะอนุญาตไว้แล้ว
และไม่ได้คิดว่าจะมีแง่ง่ามอะไรให้ต้องโวยวายใส่ด้วย แถมทำออกมาได้งดงามเกินคาดคิดเสียอีก
ขอบคุณอีกรอบที่ต้อนรับรูปภาพเราอย่างดี รูปภาพรูปนี้คงอิ่มหนำสำราญได้อยู่อพาร์ตเม้นต์ดี ๆ
และกินกับข้าวอร่อย ๆ ฟรีจากพ่อครัวหน้ามึนอีกต่างหาก ควรจะมาเอาใจเจ้าของภาพด้วยนะคะถึงจะถูก

ป.ล.ไม่ได้แค่แวะมาเยี่ยมแล้วค่ะ



โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:7:05:40 น.  

 
อ่านได้แค่อันแรกบล๊อคเดียว เพราะมันสะเทือนใจ เหมือนพูเลย พูเกลียดงานที่ทำอยู่มากๆ เลยพาลอ่านบล๊อคนี้ไม่ออก พูพึ่งอัพบล๊อคตัวเองเหมือนกัน ช่วงนี้อาการหนักขึ้น แต่เมื่อเช้าไปเยี่ยมนรกมา ว่างๆคุณชุดนอนมาให้คำแนะนำพูบ้างนะ ขอติดบล๊อคนี้ไว้ก่อน จะออกไปกินข้าวด้วย แล้วจะกลับมาอ่านอีกรอบนะ


โดย: pumpond วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:03:10 น.  

 
หวานเอ๋ย เราซูฮกนายมาก case นี้ คิดได้ไงเนี้ย สร้างสรรค์และเทห์จริงๆ รองเท้า+มุมกลับ+ความตรงข้าม=ชอบมากๆๆ


โดย: beerled IP: 118.175.45.177 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:28:20 น.  

 
หวานเอ๋ย เราซูฮกนายมาก case นี้ คิดได้ไงเนี้ย สร้างสรรค์และเทห์จริงๆ รองเท้า+มุมกลับ+ความตรงข้าม=ชอบมากๆๆ


โดย: beerled IP: 118.175.45.177 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:28:32 น.  

 
หวานเอ๋ย เราซูฮกนายมาก case นี้ คิดได้ไงเนี้ย สร้างสรรค์และเทห์จริงๆ รองเท้า+มุมกลับ+ความตรงข้าม=ชอบมากๆๆ


โดย: beerled IP: 118.175.45.177 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:29:40 น.  

 
ครบ 3 ครั้งยังเนี้ย เราชักเมื่อยหลัง


โดย: beerled IP: 118.175.45.177 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:30:42 น.  

 
กลับมาอ่านอีกรอบแล้วค่ะ คราวนี้อ่านครบทุกบรรทัดแล้ว
น่าทึ่งกับการเขียนของคุณชุดนอนจริงๆ เหมือนที่คนข้างบนบอก อันแรกนี่พูอ่านไปแล้วเศร้าเลย เลิกอ่านต่อไปเลย อันหลังอ่านแล้วรู้สึกดีมากถึงมากที่สุด รู้สึกมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นกอง ดีนะที่กลับมาอ่านเร็ว เอิ้กๆ
นั่นสินะ เราจะเป็นสุขหรือไม่ขึ้นกับใจเราจริงๆ
ปล. พูเขียนขณะที่ถอดรองเท้าออกทั้งสองข้าง


โดย: pumpond วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:14:55:49 น.  

 
“มีใครเกลียดงานที่ตัวเองทำอยู่บ้างครับ?”

"ด้วยผมเป็นคนนึงในบรรดาคนหลายล้านคนคนบนถนน...ที่กำลังเดินทางไปทำงานที่ตัวเองเกลียดชังทุกวี่วัน"

ผมอาจจะเป็นคนส่วนน้อย (กระมัง) ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด แม้ว่าจะไม่ได้ชอบจนถึงที่สุดก็ตาม (พูดกับตัวเอง: แกจะเอาแต่ใจตัวเองไปถึงไหน ได้ทำก็ดีถมแล้วว) แต่อ่านแล้วก็รู้สึกเห็นใจ ในสิ่งที่ต้องผจญอยู่ทุกวันนะครับ แต่ก็รู้สึกยินดีที่คุณชุดนอนหาแง่มุมเรื่องรองเท้ามาอ้างอิง ซึ่งมันก็ทำให้โลกใบนี้ของคุณดูไม่เลวร้ายเกินไปซะทีเดียว...

ยังไงก็เอาใจช่วยน่ะครับ เพราะเห็นกันอยู่แจ่มชัดขนาดนี้แล้ว ว่าคุณชุดนอนมีความสามารถในการขีดการเขียนแค่ไหน เอาไว้เปิดคอร์สการเขียนเมื่อไร อย่าลืมแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ แหะๆๆ


โดย: BdMd IP: 124.122.81.153 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:49:21 น.  

 
เยี่ยมเลย !! รองเท้าตั้งสองข้าง


โดย: BeCoffee วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:22:48 น.  

 
ทุกครั้งที่อ่านงานของคุณชุดนอนฯ
ชอบการนำเสนอ มุมมอง ความคิดที่แปลกออกไป

เรื่องรองเท้า..กับการทำงาน
หันกลับมานับรองเท้าของตัวเอง
ถ้าบอกว่าเหยียบสี่สิบคู่หย่อนๆจะเว่อร์ไปไหม
เฮ้ย..มันมีหลากสี หลายสไตล์มาก
แต่มองหางานที่ทำ..ทำไมมันไม่มีอะไรซักอย่างเลย
งานอดิเรก..อยากวาด อยากเขียน อยากประดิษฐ์
ทำมันทุกอย่าง..แต่ก็งั้นๆ.มันไม่สุขเต็มที่

รองเท้าซักคู่แม้มันไม่สวย งานซักงานที่ไม่ได้รัก
ก็อาจยังดีกว่า..คนซักคน ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า งานที่ตัวเองรักและอยากทำคืออะไร..ใช่ไหม?


ปล.สามบรรทัดสุดท้าย..เท้าเปล่ากับหญ้านุ่มๆ
ทำให้อดนึกถึงซีรี่ย์เกาหลีเรื่องโปรดไม่ได้..Wedding
พระเอกมาดนุ่ม เลขานายกรัฐมนตรี ที่งานสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
กับฉากที่เปลือยเท้าเดินทอดน่องอย่างช้าๆวนไปวนมา
กำลังอ่านสิ่งที่อยู่ในมือคือวาระการประชุมหรืองานวิชาการอะไรซักอย่าง
ไม่มีอะไรค่ะ..แค่อยากบอกว่า..เราตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง
บางทีงานเครียดๆก็ไปกันได้กับการผ่อนคลายเมื่อถอดรอ งเท้าออกไป


ยิ่งเม้นท์ยิ่งเรื่อยเปื่อย...ออกนอกเส้นทางไปแล้ว..ช่วยตามกลับมาด้วยนะคะ..ฮา ฮา


โดย: nikanda วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:3:00:55 น.  

 
สอนผมทำ linkข้อความบ้างซิครับ อยากทำเป็นมั้ง


โดย: beerled IP: 58.9.132.129 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:43:43 น.  

 
โห คอมเม้นส์ยาวพอๆกับบล็อคผมเลย 55+

...เดี๋ยวจะกลับมาคุยอีกทีนะครับ พอดีต้องเคลียร์อะไรก่อน ^^


โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:28:00 น.  

 


ขอบคุณสำหรับความเห็นดีๆค่ะ เขียนได้ตรงใจจัง
พูจะพยายามไม่คิดมาก
แล้วก็เลิกอ่านหนังสือได้หลายเดือนแล้วค่ะ แต่เล่มล่าสุด มีคนให้ยืมมาก็เลยอ่าน อ่านไม่จบด้วย ช่วงหลังพูเบื่ออ่านหนังสือ แต่ชอบไปเดินเล่นร้านหนังสือ
ตัวเรา เนี่ยแก้ยากมากๆ เรื่องอาการนะหลายครั้งเป็นข้ออ้างเพื่อตัวเรา รู้นะ แต่แก้ไม่ได้สักที
ช่ายๆ เป็นซึมเศร้านี่สนุกนะ มีอะไรดีๆหลายอย่างที่ถ้าพูไม่ป่วยคงไม่ทำ เช่น ฝึกโยคะ ไท้จี๋ ปั่นจักรยาน
แต่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้างอะนะ เป็นช่วงๆ
พูห่วงเล่นจริงๆ ยอมรับเลย แฮะๆ อุตส่าห์ตัดเน็ตที่บ้านแล้ว เพื่อจะดึงตัวเองให้มาที่ทำงาน แล้วก็อัพบล๊อคบ่อยๆ เหมือนเรามีค่าที่มีอะไรทำ ถ้าไม่ทำอะไรจะฟุ้งซ่าน
อยู่บ้านก็ทำตุ๊กตา ไม่ได้ตังค์มากมายอะไร ช่วยน้องทำ แต่เพลินดี สองวันนี้พึ่งทำเสร็จไป สองร้อยตัว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (น้องได้ตัวละแปดสิบสตางค์ แบ่งให้พูนิดหน่อยค่าขนม)
ลันลา


โดย: pumpond วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:28:51 น.  

 
มาคุยยาวๆก่อนฝ่าจราจรอันหฤโหดกลับบ้านครับ ^^

ฝีมือของ annie leibovitz เจ๋งจริงๆครับ และด้วยความที่เธอเจ๋งนี้แหละ ทำให้คนมีชื่อเสียงทัวโลกต่างต้องการให้เธอมาชักภาพให้กันเป็นแถว... ส่วนรูป มิคกี้ ผมว่าแกเหมาะกับลุคเถื่อนๆน่ะ ผมเห็นที่แกแต่งชุดรับโลกลูกทองคำยังขำเลย เหมือนกับตัวเองเพิ่งไปปาร์ตี้เมาสุดเหวี่ยงก่อนแล้วค่อยมางาน 55+

ส่วนเรื่องการ "อิน" ของ ฮีธ นั้น ถึงแม้ผมจะแปลออกมาตามตัวอักษรก็ตาม แต่ในใจผมก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วยนิดๆกับคนเขียนนะครับ ผมว่าการรับบทเป็นโจ๊กเกอร์นั้นอาจจะเป็นเพียงส่วนผสมอีกตัวหนึ่ง ที่ทำให้เขาต้องจบเส้นทางชีวิตของตัวเองเพียงแค่นี้ ผมว่ามันต้องมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาเพียงคนเดียว หรือว่าคนที่ใกล้ชิดเขาจะรู้ดี ที่เป็นบ่อเกิดของความกดดันและหดหู่ จนทำให้เขาต้องพึ่งการรักษาตามหลักการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งก็นำไปสู่ "อุบัติเหตุ" ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในที่สุด

สำหรับผมแล้ว เรื่องของโจ๊กเกอร์ที่ครอบงำชีวิตของ ฮีธ นั้น ก็ดูเหมือนตำนานเล่าขาน ที่ฟังดูดีมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆเท่านั้น ผมว่าถ้าเกิดนักแสดงอินไปกับบทได้ง่ายขนาดนั้น ป่านนี้เพื่อนร่วมจออย่าง คริสเตียน เบลล์ คงจะต้องแย่แนๆ ในเมื่อบทก่อนหน้าที่เขาจะมาเล่นเป็นแบ็ทแมนใน The Machanist นั้น มันแสนจะกดดันและหดหู่เหลือเกิน...

อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกเห็นด้วยจริงๆน่ะ สำหรับการที่ ฮีธ น่าจะได้รับการจดจำมากกว่า "นักแสดงออสการ์ผู้ล่วงลับ" แต่ถ้ากรรมการรู้สึกอยากจะมอบให้แล้ว ก็มอบไปเถอะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็น่าจะกลายเป็นเหตุการณ์หนึ่ง ในหน้าประวัติศาสตร์ได้อยู่เหมือนกัน (ถึงแม้ว่า โนแลน จะไม่ได้ชิงกะเค้า แต่มั่นใจได้เลยว่า ถ้า ฮีธ ได้รางวัลจริงๆ ก็คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาหรอก ที่จะมารับรางวัลแทน)

คือความจริงก็ไม่อยากดองบล็อคหรอกนะครับ 55+ มีอีกบทความหนึ่งที่เกี่ยวกับออสการ์เช่นกัน แต่ว่าจะแปลแล้วลงไว้ในหน้าเดียวกันเลย เพราะรู้สึกว่ามันเข้าบรรยากาศเทศกาลออสการ์ดี (สำหรับตัวเองแล้ว ตื่นเต้นมากกว่ารอบชิงแชมป์เปี้ยนลีคอีก 55+)

ส่วนหนังข้างขวาก็มีที่ไม่สับเหมือนกันนะครับ 55+ อย่าง Blindness นี้ก็แจ่มเลย หรืออย่างที่เพิ่งอัพเดทไปล่าสุด Nick and Norah's Infinite Playlist ที่ดูแล้วสนุกดีนะครับ ให้อารมณ์ (เน้น เฉพาะอารมณ์) แบบเดียวกับ Before Sunrise & Sunset เลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ คือมันทำให้รู้สึกว่า "ทำไมเราแก่จังว่ะ" 555+

ส่วนเรื่องที่ชม ขอรับเอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนะครับ แหะๆๆ คือการเขียนเนี่ยเป็นสิ่งที่ผมมุ่งหวังไว้ตลอดว่า ตัวเองจะต้องทำให้ดีกว่านี้ให้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นการเขียนบล็อคนี้ก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เราสามารถปลดปล่อยจินตนาการ ให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของตัวหนังสือได้อย่างมีอิสระ ทุกวันนี้ผมก็รู้สึกขอบคุณในความโชคดีของตัวเองนะครับ ที่ได้ทำในสิ่งที่เราสนใจที่สุดในการทำงาน (นั้นก็คือการขีดเขียน) โดยที่ไม่ต้องมุ่งหวังไปเริ่มต้นใหม่กับสิ่งอื่นๆ ที่เราไม่ต้องการและไม่สนใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ปอลอ. เรื่องแท็ค ถ้าไม่มีกำหนดส่งก็ส่งมาโลดดครับ ^^


โดย: BloodyMonday วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:52:24 น.  

 
ผมเขียน slumdog เสร็จแล้วน่ะครับ


โดย: beerled วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:26:25 น.  

 
คุณคะ

วันนี้ "แวะมาเยี่ยม" จริง ๆ ค่ะ




โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:5:35:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอรบกวนทั้งชุดนอน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
4 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ขอรบกวนทั้งชุดนอน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.