Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
“เคนชิโร่ VS ละครไทย” ใครน่าแบนมากกว่ากัน?







“เจ้าตายแล้ว”

คือวลีเด็ดของเคนชิโร่ตัวเอกจากการ์ตูนเรื่อง

ฤทธิ์หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ

ที่พูดทุกครั้งหลังจากที่เขาสามารถเผด็จศึกศัตรูตัวร้าย

และผดุงความยุติธรรมได้สำเร็จ...หากทว่าบทบาทของ

การปกป้องคุณธรรมในโลกของการ์ตูนกลับถูกมองว่า ผิดศีลธรรม!


จากความเคลื่อนไหวของการออกมาให้ข่าวของ

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง

กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

ที่ออกโรงฟันการ์ตูนเรื่อง Souten no Ken

หรือ ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ภาค 2 โดยออกมาระบุว่า

การ์ตูนมีฉากที่ตัวละครพูดข่มขู่ให้ตัวละครหญิงถอดเสื้อ

และมีฉากในลักษณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่เหมาะกับ

ช่องรายการสำหรับเด็ก ขัดต่อ มาตรา 37

พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและ

กิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ว่าด้วยการห้ามออกอากาศ

รายการที่มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดี และลามกอนาจาร


ขณะที่อีกด้านหนึ่งของสังคมละครไทยกลับมีฉากตบจูบ

กันอย่างเป็นเรื่องปกติ...จึงเกิดเป็นคำถามในเชิงเสียดสี

ที่เปรียบเทียบความรุนแรงจาก “เคนชิโร่” กับ “ละครไทย”

ว่าใครสมควรถูกแบนมากกว่ากัน!!?


ความรุนแรงของการ์ตูน

การ์ตูนเรื่อง ฤทธิ์หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ เป็นเรื่องของ เคนชิโร่

หรือเคน ชายหนุ่มนักสู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนที่เดือดร้อน

โดยมีฉากหลังเป็นโลกยุคล่มสลายที่สังคมกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

ซึ่งใน ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ภาค 2 นั้นเนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนฉาก

มาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ยังมีโครงเรื่องที่ให้เคนชิโร่

ต่อสู้กับคนชั่วในสังคมดังเดิม


ทั้งนี้ การ์ตูนเรื่องดังกล่าวถือเป็นต้นตำรับของการ์ตูน K

ย่อมาจาก คินิคุ ที่แปลว่ากล้ามเนื้อ ซึ่งได้รับความนิยม

และเป็นจุดขายของการ์ตูนเด็กผู้ชายในยุคสมัยหนึ่ง

โดยมีลายเส้นที่เน้นความแข็งแรงดุดันของกล้ามเนื้อ

พร้อมทั้งเนื้อเรื่องที่เน้นฉากต่อสู้ที่รุนแรงเหนือจริง

แม้ว่าตัวเรื่องจะเป็นการต่อสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องความยุติธรรม

แต่ก็มีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งตัวร้ายที่กระทำต่อเหยื่อ

และตัวเอกที่ต่อยใส่ตัวร้ายจนหัวระเบิด เลือดกระเซ็น

ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสีสัน

ที่ทำให้ผู้ชมเกิดความเร้าใจเมื่อได้ดู


ในส่วนของความรุนแรงของการ์ตูนนั้น มีงานวิจัยหลายชิ้น

ที่รองรับว่า การ์ตูนที่เด็กดูจะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก

ซึ่งในผลงานการศึกษาและค้นคว้าด้านประสาทวิทยาพบว่า

คนเรามีเซลล์ประสาทที่เรียกว่า Mirror Neurons

ทำหน้าที่รับรู้ว่า บุคคลอื่นจะเคลื่อนไหว หรือมีอารมณ์อย่างไร

แล้วทำให้เราเตรียมตัวที่จะทำตาม หรือลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหว


ผลการค้นคว้าดังกล่าวนำมาซึ่งการวิจัยศึกษาเปรียบเทียบ

พฤติกรรมก่อนและหลังการดูการ์ตูนของเด็กอนุบาล 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกเป็นเด็กที่ดูการ์ตูนที่มีเนื้อหาก้าวร้าวและมีความรุนแรง

กับอีกกลุ่มดูการ์ตูนที่มีเนื้อหาตรงกันข้าม

พบว่า กลุ่มแรกมีพฤติกรรมชอบทะเลาะโต้เถียง

และชกต่อยกับเพื่อน ไม่รักษากฎเกณฑ์ในชั้นเรียน

มีสมาธิสั้น มีความอดทนรอคอยอะไรได้ไม่นาน

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เด็กที่ดูทีวีที่มีเนื้อหาก้าวร้าว

และมีความรุนแรงตั้งแต่ในวัยเยาว์จะเป็นเด็กที่มีความก้าวร้าว

ทั้งการใช้ภาษาและทำร้ายเพื่อนเมื่อโตเป็นวัยรุ่นอีกด้วย


ความรุนแรงของละครไทย

ในส่วนของละครไทยที่หลายฝ่ายในสังคมตั้งคำถามถึง

ความรุนแรงของเนื้อหาละครที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ละครแนวชิงรักหักสวาทที่เต็มไปด้วยฉากตบตี - ตบจูบ

ถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน


โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ

สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)และไทยพีบีเอส

อธิบายถึงสาเหตุของความรุนแรงที่ปรากฎในละครไทยว่า

มาจากการที่ละครไทยมักจะสร้างจากบทประพันธ์ยุคเก่า

ซึ่งมีฐานคิดเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่

โดยผู้ชายมักจะมีอำนาจในเชิงสังคม เศรษฐกิจ

และเพศสูงกว่าเสมอ


“ความรุนแรงในละครจึงถูกจำลองมาจากโลกเก่า

เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างอำนาจ

โดยมีการตบตีเป็นสีสันที่ทำให้คนดูติดตาม

แต่ก็แฝงด้วยความรุนแรงเชิงกายภาพอีกด้วย”


ด้วยฐานคิดแบบนี้ เขาเผยว่า ทำให้เกิดละครแนวชิงรักหักสวาท

โดยที่ละครเรื่องใหม่ที่ทำต่อๆ กันมาก็ยังคงถูกผลิตขึ้น

ภายใต้แนวคิดเดิมที่แฝงไว้ด้วยความรุนแรง

ซึ่งปัญหาที่เขาพบคือ ตัวละครมักจะใช้ความรุนแรง

เป็นทางออกอยู่เสมอซึ่งต่างจากละครฝรั่งที่ความรุนแรง

เป็นเพียงทางแก้ปัญหาทางหนึ่งเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ฐานคิดของสังคมชายเป็นใหญ่นั้น

มีอยู่ทั่วโลก หากแต่ในยุโรปและอเมริกาเริ่มเบาบางลงแล้ว

ซึ่งในประเทศไทยเองก็เป็นเช่นกัน หากแต่ในละครไทย

กลับยังฉายภาพความไม่เท่าเทียบกันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง


ผลต่อสังคมไทย เขาเผยถึง สิ่งที่ผู้สร้างละครมองว่า

ตัวเองเป็นก่อนนั่นคือ การมีบทบาทสะท้อนความเป็นจริงในสังคม

ซึ่งเขาเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ละครไทยทำเพียง

สะท้อนภาพความไม่เท่าเทียมในสังคมซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ


“ประเด็นคือเขาเชื่อว่าละครสะท้อนสิ่งที่เป็นจริงในสังคม

และเขาสะท้อนภาพเดิมของความรุนแรงทางเพศ

มาตลอด 30 ปีแล้ว มันทำได้แค่สะท้อนภาพ ผลกระทบ

เมื่อทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ มีฉากผู้หญิงถูกข่มขืน ถูกฉุด ถูกตี

อยู่ตลอดมันก็เป็นการสะท้อนภาพและผลิตมายาคติเดิมๆ

ที่ผู้หญิงต้องเป็นรองผู้ชาย”


ผลสุดท้ายที่เกิดคือ ความชาชินที่ค่านิยมและความรุนแรง

ในละครจะกลายเป็นเรื่องปกติ คนจะเริ่มคิดว่าสิ่งเหล่านั้น

ทำได้ในชีวิตจริง แต่หากเป็นละครต่างประเทศ

เขายกตัวอย่างซีรีย์เกาหลีซึ่งประเทศเกาหลีนั้น

ประสบปัญหาผู้ชายมีอำนาจทางเพศมากกว่าผู้หญิง


“ดังนั้นซีรีส์เกาหลีจึงใช้ความโรแมนติกดราม่ามาลดความรุนแรง

จะสังเกตว่าละครเกาหลีไม่มีฉากตบตี ในสังคมมีความรุนแรง

เยอะมาก ที่เขาทำคือฉายภาพโรลโมเดล(role modal)

ผู้ชายควรเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง ต้องโรแมนติก

พูดจาหวานไพเราะมากขึ้น ปัญหาจริงๆ ของเกาหลีคือ

ผู้ชายชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงในครอบครัว

เขาใช้โรลโมเดลมากๆ ให้ผู้ชายควรปฏิบัติต่อผู้หญิง

อย่างให้เกียรติและเท่าเทียม”


ทั้งนี้ ละครไทยที่มักจะได้เรตน.13 และน.18

ก็จะมีกลุ่มผู้ชมเป็นเด็กอยู่ด้วย ซึ่งละครในกลุ่มเรตติงดังกล่าว

ก็มักจะมีเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศ เป็นเรื่องรักของผู้ใหญ่

ในเชิงสัมพันธ์ชู้สาวค่อนข้างมาก เขาเห็นว่า

สิ่งนี้คือปัญหาที่ละครไทยไม่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็กมากนัก


แบนหรือไม่แบน

ปัจจุบันนี้การแบนสื่อถือเป็นสิ่งที่สังคมไทยพูดถึงกันมากว่า

เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกของประชาชน

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูน การแบนหรือเซ็นเซอร์

อาจเป็นความคิดที่เก่าเกินไปแล้วกับสังคมที่ก้าวไปด้วยระบบประชาธิปไตย


ธาม เชื้อสถาปนศิริ มองว่า สื่ออย่างการ์ตูนนั้นมีเนื้อหา

ที่หลากหลาย การแบนหรือเซ็นเซอร์บางช่วงบางตอน

ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น เป็นผลมาจากความเข้าใจของ กสทช.

ที่มองว่ากลุ่มคนดูการ์ตูนนั้นต้องเป็นเด็ก การเซ็นเซอร์

หรือแบนจึงเกิดขึ้น แม้ฉากโป๊เล็กๆ น้อยๆ ที่เขามองว่า

ไม่เป็นการอนาจารอย่างที่เกิดขึ้นในการ์ตูนอย่างเซเลอร์มูน

หรือโดราเอมอน แม้แต่ในฉากความรุนแรงของเหตุฆาตกรรม

ในการ์ตูนเรื่องโคนันก็ตาม


“ประเด็นคือ ที่ญี่ปุ่นเขามีการแบ่งเรตระดับความรุนแรง

ของการ์ตูนที่ออกฉายหรือตีพิมพ์ในหนังสือ มีเนื้อหารุนแรง

มีประเด็นเรื่องเพศ มีฉากยาเสพติด มีจินตนาการทางเพศที่รุนแรง

ฉะนั้นเด็กไม่สามารถซื้ออ่านได้”


หรือการฉายการ์ตูนทางโทรทัศน์ก็มีกำหนดช่วงเวลา

ดังนั้นการ์ตูนในความหมายของประเทศญี่ปุ่น

จึงไม่ใช่สำหรับเด็กเท่านั้น หากแต่การ์ตูนมีเนื้อหาที่หลากหลาย

อาจมีฉากความรุนแรง อาจมีฉากร่วมเพศ

ซึ่งเป็นเนื้อหาที่รองรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย


“ปัญหาคือในประเทศไทยเราไม่ได้มีระบบเรตติ้งในปกหนังสือการ์ตูน

เราไม่มีระบบเรตติ้งในช่องการ์ตูน ในมุมของกสทช.

เมื่อไม่มีระบบเรตติ้ง สิ่งที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีโบราณมากคือ สั่งแบน”


ทางแก้ที่เขามองเห็นคือ กสทช.ต้องไม่ใช่ระบบเซ็นเซอร์

หรือสั่งแบนแต่ต้องหันมาใช้ระบบเรตติ้ง

ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องส่งเสริมให้ผู้ชม

พ่อแม่ และเด็กรู้เท่าทันสื่อด้วย


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของช่องเคเบิ้ล Gang cartoon

ที่ตกเป็นข่าวนั้นก็มีการจัดเรตติ้งสำหรับการ์ตูนอยู่แล้ว

ขณะที่หนังสือการ์ตูนเล่มนั้นก็มีบางส่วนที่เริ่มมีป้ายโลโก

บอกเรตติ้งผู้อ่าน หากแต่ในประเทศไทยนั้น

การบังคับใช้ระบบเรตติงยังคงมีปัญหา


ในบางมุมของสังคมไทยหนังเรต 18 + ยังคงมีเด็ก

ไม่พกบัตรประชาชนเข้าไปนั่งอยู่ในโรง

หนังสือการ์ตูนติดเรตยังมีเด็กซื้อหามาได้โดยง่าย

และยังวางอยู่มุมที่เด็กมองหยิบถึง


หากมองในมุมของโลกยุคอินเทอร์เน็ตที่ว่า

ต่อให้มีระบบเรตติ้งหรือเซ็นเซอร์เด็กก็ยังไปหามาดูได้อยู่ดี

สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดก็คือความรับผิดชอบส่วนตัว

ของสังคมที่อยู่รายล้อมผู้เสพสื่อเหล่านั้นเอง



................................................


อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการASTV ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2556

//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000108017





Create Date : 29 สิงหาคม 2556
Last Update : 29 สิงหาคม 2556 13:42:27 น. 0 comments
Counter : 1524 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ART19
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]





ความเสมอภาคที่แท้จริง คือ
การที่ทุกคนต้องมีหน้าที่
การทำหน้าที่ของตนเอง
จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่า
เราควรได้รับอะไร แค่ไหน
Friends' blogs
[Add ART19's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.