|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
เคนชิโร่ VS ละครไทย ใครน่าแบนมากกว่ากัน?
เจ้าตายแล้ว
คือวลีเด็ดของเคนชิโร่ตัวเอกจากการ์ตูนเรื่อง
ฤทธิ์หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ
ที่พูดทุกครั้งหลังจากที่เขาสามารถเผด็จศึกศัตรูตัวร้าย
และผดุงความยุติธรรมได้สำเร็จ...หากทว่าบทบาทของ
การปกป้องคุณธรรมในโลกของการ์ตูนกลับถูกมองว่า ผิดศีลธรรม!
จากความเคลื่อนไหวของการออกมาให้ข่าวของ
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ที่ออกโรงฟันการ์ตูนเรื่อง Souten no Ken
หรือ ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ภาค 2 โดยออกมาระบุว่า
การ์ตูนมีฉากที่ตัวละครพูดข่มขู่ให้ตัวละครหญิงถอดเสื้อ
และมีฉากในลักษณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่เหมาะกับ
ช่องรายการสำหรับเด็ก ขัดต่อ มาตรา 37
พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและ
กิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ว่าด้วยการห้ามออกอากาศ
รายการที่มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดี และลามกอนาจาร ขณะที่อีกด้านหนึ่งของสังคมละครไทยกลับมีฉากตบจูบ
กันอย่างเป็นเรื่องปกติ...จึงเกิดเป็นคำถามในเชิงเสียดสี
ที่เปรียบเทียบความรุนแรงจาก เคนชิโร่ กับ ละครไทย
ว่าใครสมควรถูกแบนมากกว่ากัน!!? ความรุนแรงของการ์ตูน การ์ตูนเรื่อง ฤทธิ์หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ เป็นเรื่องของ เคนชิโร่
หรือเคน ชายหนุ่มนักสู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนที่เดือดร้อน
โดยมีฉากหลังเป็นโลกยุคล่มสลายที่สังคมกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
ซึ่งใน ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ ภาค 2 นั้นเนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนฉาก
มาอยู่ในเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ยังมีโครงเรื่องที่ให้เคนชิโร่
ต่อสู้กับคนชั่วในสังคมดังเดิม ทั้งนี้ การ์ตูนเรื่องดังกล่าวถือเป็นต้นตำรับของการ์ตูน K
ย่อมาจาก คินิคุ ที่แปลว่ากล้ามเนื้อ ซึ่งได้รับความนิยม
และเป็นจุดขายของการ์ตูนเด็กผู้ชายในยุคสมัยหนึ่ง
โดยมีลายเส้นที่เน้นความแข็งแรงดุดันของกล้ามเนื้อ
พร้อมทั้งเนื้อเรื่องที่เน้นฉากต่อสู้ที่รุนแรงเหนือจริง
แม้ว่าตัวเรื่องจะเป็นการต่อสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องความยุติธรรม
แต่ก็มีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งตัวร้ายที่กระทำต่อเหยื่อ
และตัวเอกที่ต่อยใส่ตัวร้ายจนหัวระเบิด เลือดกระเซ็น
ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสีสัน
ที่ทำให้ผู้ชมเกิดความเร้าใจเมื่อได้ดู
ในส่วนของความรุนแรงของการ์ตูนนั้น มีงานวิจัยหลายชิ้น
ที่รองรับว่า การ์ตูนที่เด็กดูจะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก
ซึ่งในผลงานการศึกษาและค้นคว้าด้านประสาทวิทยาพบว่า
คนเรามีเซลล์ประสาทที่เรียกว่า Mirror Neurons
ทำหน้าที่รับรู้ว่า บุคคลอื่นจะเคลื่อนไหว หรือมีอารมณ์อย่างไร
แล้วทำให้เราเตรียมตัวที่จะทำตาม หรือลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหว ผลการค้นคว้าดังกล่าวนำมาซึ่งการวิจัยศึกษาเปรียบเทียบ
พฤติกรรมก่อนและหลังการดูการ์ตูนของเด็กอนุบาล 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นเด็กที่ดูการ์ตูนที่มีเนื้อหาก้าวร้าวและมีความรุนแรง
กับอีกกลุ่มดูการ์ตูนที่มีเนื้อหาตรงกันข้าม
พบว่า กลุ่มแรกมีพฤติกรรมชอบทะเลาะโต้เถียง
และชกต่อยกับเพื่อน ไม่รักษากฎเกณฑ์ในชั้นเรียน
มีสมาธิสั้น มีความอดทนรอคอยอะไรได้ไม่นาน
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เด็กที่ดูทีวีที่มีเนื้อหาก้าวร้าว
และมีความรุนแรงตั้งแต่ในวัยเยาว์จะเป็นเด็กที่มีความก้าวร้าว
ทั้งการใช้ภาษาและทำร้ายเพื่อนเมื่อโตเป็นวัยรุ่นอีกด้วย ความรุนแรงของละครไทย ในส่วนของละครไทยที่หลายฝ่ายในสังคมตั้งคำถามถึง
ความรุนแรงของเนื้อหาละครที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ละครแนวชิงรักหักสวาทที่เต็มไปด้วยฉากตบตี - ตบจูบ
ถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ
สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)และไทยพีบีเอส
อธิบายถึงสาเหตุของความรุนแรงที่ปรากฎในละครไทยว่า
มาจากการที่ละครไทยมักจะสร้างจากบทประพันธ์ยุคเก่า
ซึ่งมีฐานคิดเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่
โดยผู้ชายมักจะมีอำนาจในเชิงสังคม เศรษฐกิจ
และเพศสูงกว่าเสมอ ความรุนแรงในละครจึงถูกจำลองมาจากโลกเก่า
เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คือความรุนแรงเชิงโครงสร้างอำนาจ
โดยมีการตบตีเป็นสีสันที่ทำให้คนดูติดตาม
แต่ก็แฝงด้วยความรุนแรงเชิงกายภาพอีกด้วย ด้วยฐานคิดแบบนี้ เขาเผยว่า ทำให้เกิดละครแนวชิงรักหักสวาท
โดยที่ละครเรื่องใหม่ที่ทำต่อๆ กันมาก็ยังคงถูกผลิตขึ้น
ภายใต้แนวคิดเดิมที่แฝงไว้ด้วยความรุนแรง
ซึ่งปัญหาที่เขาพบคือ ตัวละครมักจะใช้ความรุนแรง
เป็นทางออกอยู่เสมอซึ่งต่างจากละครฝรั่งที่ความรุนแรง
เป็นเพียงทางแก้ปัญหาทางหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ฐานคิดของสังคมชายเป็นใหญ่นั้น
มีอยู่ทั่วโลก หากแต่ในยุโรปและอเมริกาเริ่มเบาบางลงแล้ว
ซึ่งในประเทศไทยเองก็เป็นเช่นกัน หากแต่ในละครไทย
กลับยังฉายภาพความไม่เท่าเทียบกันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ผลต่อสังคมไทย เขาเผยถึง สิ่งที่ผู้สร้างละครมองว่า
ตัวเองเป็นก่อนนั่นคือ การมีบทบาทสะท้อนความเป็นจริงในสังคม
ซึ่งเขาเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ละครไทยทำเพียง
สะท้อนภาพความไม่เท่าเทียมในสังคมซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ ประเด็นคือเขาเชื่อว่าละครสะท้อนสิ่งที่เป็นจริงในสังคม
และเขาสะท้อนภาพเดิมของความรุนแรงทางเพศ
มาตลอด 30 ปีแล้ว มันทำได้แค่สะท้อนภาพ ผลกระทบ
เมื่อทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ มีฉากผู้หญิงถูกข่มขืน ถูกฉุด ถูกตี
อยู่ตลอดมันก็เป็นการสะท้อนภาพและผลิตมายาคติเดิมๆ
ที่ผู้หญิงต้องเป็นรองผู้ชาย ผลสุดท้ายที่เกิดคือ ความชาชินที่ค่านิยมและความรุนแรง
ในละครจะกลายเป็นเรื่องปกติ คนจะเริ่มคิดว่าสิ่งเหล่านั้น
ทำได้ในชีวิตจริง แต่หากเป็นละครต่างประเทศ
เขายกตัวอย่างซีรีย์เกาหลีซึ่งประเทศเกาหลีนั้น
ประสบปัญหาผู้ชายมีอำนาจทางเพศมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นซีรีส์เกาหลีจึงใช้ความโรแมนติกดราม่ามาลดความรุนแรง
จะสังเกตว่าละครเกาหลีไม่มีฉากตบตี ในสังคมมีความรุนแรง
เยอะมาก ที่เขาทำคือฉายภาพโรลโมเดล(role modal)
ผู้ชายควรเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง ต้องโรแมนติก
พูดจาหวานไพเราะมากขึ้น ปัญหาจริงๆ ของเกาหลีคือ
ผู้ชายชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงในครอบครัว
เขาใช้โรลโมเดลมากๆ ให้ผู้ชายควรปฏิบัติต่อผู้หญิง
อย่างให้เกียรติและเท่าเทียม ทั้งนี้ ละครไทยที่มักจะได้เรตน.13 และน.18
ก็จะมีกลุ่มผู้ชมเป็นเด็กอยู่ด้วย ซึ่งละครในกลุ่มเรตติงดังกล่าว
ก็มักจะมีเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศ เป็นเรื่องรักของผู้ใหญ่
ในเชิงสัมพันธ์ชู้สาวค่อนข้างมาก เขาเห็นว่า
สิ่งนี้คือปัญหาที่ละครไทยไม่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็กมากนัก แบนหรือไม่แบน ปัจจุบันนี้การแบนสื่อถือเป็นสิ่งที่สังคมไทยพูดถึงกันมากว่า
เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกของประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูน การแบนหรือเซ็นเซอร์
อาจเป็นความคิดที่เก่าเกินไปแล้วกับสังคมที่ก้าวไปด้วยระบบประชาธิปไตย ธาม เชื้อสถาปนศิริ มองว่า สื่ออย่างการ์ตูนนั้นมีเนื้อหา
ที่หลากหลาย การแบนหรือเซ็นเซอร์บางช่วงบางตอน
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น เป็นผลมาจากความเข้าใจของ กสทช.
ที่มองว่ากลุ่มคนดูการ์ตูนนั้นต้องเป็นเด็ก การเซ็นเซอร์
หรือแบนจึงเกิดขึ้น แม้ฉากโป๊เล็กๆ น้อยๆ ที่เขามองว่า
ไม่เป็นการอนาจารอย่างที่เกิดขึ้นในการ์ตูนอย่างเซเลอร์มูน
หรือโดราเอมอน แม้แต่ในฉากความรุนแรงของเหตุฆาตกรรม
ในการ์ตูนเรื่องโคนันก็ตาม ประเด็นคือ ที่ญี่ปุ่นเขามีการแบ่งเรตระดับความรุนแรง
ของการ์ตูนที่ออกฉายหรือตีพิมพ์ในหนังสือ มีเนื้อหารุนแรง
มีประเด็นเรื่องเพศ มีฉากยาเสพติด มีจินตนาการทางเพศที่รุนแรง
ฉะนั้นเด็กไม่สามารถซื้ออ่านได้ หรือการฉายการ์ตูนทางโทรทัศน์ก็มีกำหนดช่วงเวลา
ดังนั้นการ์ตูนในความหมายของประเทศญี่ปุ่น
จึงไม่ใช่สำหรับเด็กเท่านั้น หากแต่การ์ตูนมีเนื้อหาที่หลากหลาย
อาจมีฉากความรุนแรง อาจมีฉากร่วมเพศ
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่รองรับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย ปัญหาคือในประเทศไทยเราไม่ได้มีระบบเรตติ้งในปกหนังสือการ์ตูน
เราไม่มีระบบเรตติ้งในช่องการ์ตูน ในมุมของกสทช.
เมื่อไม่มีระบบเรตติ้ง สิ่งที่ง่ายที่สุดคือใช้วิธีโบราณมากคือ สั่งแบน ทางแก้ที่เขามองเห็นคือ กสทช.ต้องไม่ใช่ระบบเซ็นเซอร์
หรือสั่งแบนแต่ต้องหันมาใช้ระบบเรตติ้ง
ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ต้องส่งเสริมให้ผู้ชม
พ่อแม่ และเด็กรู้เท่าทันสื่อด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของช่องเคเบิ้ล Gang cartoon
ที่ตกเป็นข่าวนั้นก็มีการจัดเรตติ้งสำหรับการ์ตูนอยู่แล้ว
ขณะที่หนังสือการ์ตูนเล่มนั้นก็มีบางส่วนที่เริ่มมีป้ายโลโก
บอกเรตติ้งผู้อ่าน หากแต่ในประเทศไทยนั้น
การบังคับใช้ระบบเรตติงยังคงมีปัญหา ในบางมุมของสังคมไทยหนังเรต 18 + ยังคงมีเด็ก
ไม่พกบัตรประชาชนเข้าไปนั่งอยู่ในโรง
หนังสือการ์ตูนติดเรตยังมีเด็กซื้อหามาได้โดยง่าย
และยังวางอยู่มุมที่เด็กมองหยิบถึง หากมองในมุมของโลกยุคอินเทอร์เน็ตที่ว่า
ต่อให้มีระบบเรตติ้งหรือเซ็นเซอร์เด็กก็ยังไปหามาดูได้อยู่ดี
สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดก็คือความรับผิดชอบส่วนตัว
ของสังคมที่อยู่รายล้อมผู้เสพสื่อเหล่านั้นเอง ................................................ อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการASTV ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2556 //www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000108017
Create Date : 29 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 29 สิงหาคม 2556 13:42:27 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1524 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|