กระดูกหมูต้มส้ม ต้มง่าย ๆ กับเครื่องปรุงนิด ๆ หน่อย ๆ

วันนี้ชวนมาทำกับข้าวง่าย ๆ กันอีกแล้วค่ะ กระดูกหมูต้มส้ม ง่าย ๆ ตามสไตล์เรา แต่เราว่าได้สารอาหารครบดีนะค่ะ ทั้งเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ วิตามินเกลือแร่มาหมดเลยค่ะ มารวมในหม้อนี้

ตัวเรานี้ไม่กินกระดูกหมูค่ะ เพราะว่าเราไม่กินมันหมู เนื่องจากกระดูกหมูมีมันติดเยอะ แต่เรากินข้าวขาหมู สั่งเอาแต่หมูเนื้อแดงกับผักคะน้าแยะ ๆ น้ำราดชุ่ม ๆ และก็ที่ลืมไม่ได้ไข่ด้วยค่ะ และก็ชอบกินกากหมูทอดกรอบ ๆ ยิ่งเอาไปผัดพริกแกงนะ กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ขอบอกว่าสุดยอดค่ะ รวมไปถึงกากหมูในกระเทียมเจียว นอกเรื่องมาเยอะแล้วมาเข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ เมนูนี้ทำให้คุณสามีเค้าค่ะ เพราะว่ากระดูกหมูอยู่ในตู้เย็นมาหลายวันแล้ว นั่งคิดอยู่นานว่าจะทำอะไรดี เวลาเราคิดว่าจะทำอะไรดี เรามักจะเปิดตู้เย็นดู ตู้เก็บเครื่องปรุงและก็ของกินต่าง ๆ ที่ตั้งอยูในครัว ว่าเราจะเอามารวมทำอะไรได้บ้าง และแล้วก็ออกมาหน้าตาแบบนี้หละค่ะ



๐๐ เครื่องปรุงนะค่ะ เราไม่ได้บอกจำนวนหรือน้ำหนักทีใช้นะค่ะ เรากะเอาค่ะและก็ใช้ตามจำนวนที่มีอยู่ในครัว ทำไป ชิมไปค่ะ
กระดูกหมู เกลือ พริกไทย กระเทียม พาสซิลล่า(ใช้ผักชีแทนก็ได้ค่ะ) โรสแมรี่(ไม่มีไม่ต้องใช้นะค่ะ แต่เรานะชอบใช้เวลาทอดพวกเนื้อสัตว์นะค่ะ ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ดีค่ะ ทำให้ได้กลิ่นรวมออกมาเป็นกลิ่นอาหาร หอมดีค่ะ)
แครอท หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศกระป๋อง(ถ้าไม่มีใช้มะเขือเทศสดนะค่ะ) ส้ม(ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่นะค่ะ ใช้สัปรดแทนได้ค่ะ)เราซื้อส้มมาแต่มันเปรี้ยวมากค่ะ จะทิ้งก็เสียดายค่ะ เลยเอามาใช้ซะเลย ปิดท้ายด้วยสัปรดและน้ำตาลปี๊บนิดหน่อย

๐๐ มาเริ่มกันด้วยการ หมักกระดูกหมูกับพริกไทย เกลือ กระเทียม พาสซิลล่า โรสแมรี่ คลุกให้เข้ากันแล้วชิมน้ำหมักด้วยนะค่ะ ขาดเหลืออะไรก็เติมให้กลมกล่อม แล้วพักกระดูกหมูไว้ซักพักค่ะ เราพักไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงนะค่ะ



๐๐ พอใกล้ครบเวลาหมักกระดูกหมู ก็มาหั่นผักรอไว้เลยค่ะ มีแครอท หอมหัวใหญ่ และก็ส้มค่ะ ตามด้วยเตรียมเครื่องปรุงอื่น ๆ ไว้ สัปรดกระป๋อง(อันนี้ภาคภูมิใจมากที่ได้กินเพราะว่าเมดอินไทยแลนด์ค่ะ)และก็มะเขือเทศกระป๋อง (มีข้อแนะนำเกี่ยวกับมะเขือเทศมาฝากค่ะ ติดตามอ่านตอนท้ายนะค่ะ)ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างก็คือน้ำตาลปี๊บค่ะ จะใช้หรือไม่ใช้ค่อยว่ากันค่ะ แต่ต้องเตรียมไว้ก่อน ถ้าชิมแล้วรสชาดใช้ได้ถูกใจถูกปาก ก็ไม่ต้องใช้น้ำตาลแต่เนื่องจากว่า ถ้าชิมครั้งสุดท้ายมีรสเปรี้ยวนำ ต้องเติมน้ำตาลไปตัดความเปรี้ยวนะค่ะ





๐๐ ทอดกระดูกหมู ละลายไขมันนะค่ะ ไม่งั้นตอนต้มไขมันเยอะค่ะ เราก็เลยทอดซะหน่อย พอทอดเสร็จแล้ว เอากระดูกหมูไปนอนรอในหม้อได้เลยค่ะ น้ำมันไม่ต้องเปลื่ยนนะค่ะ เอาผักลงไปผัดค่ะ เรานะผัดหอมหัวใหญ่กับแครอทก่อนค่ะ พอเริ่มสุกก็ใส่มะเขือเทศลงไป ตามด้วยส้มเลยค่ะ คลุกให้เข้ากันซักสองสามครั้งก็ตักราดบนกระดูกหมู เติมน้ำให้ท่วมกระดูกหมู ต้มไปได้ซักพักชิมรสนะค่ะ วันนี้ชิมรสออกมารสไม่เข็มข้น และก็เปรี้ยวนิดหน่อย เติมเกลือ สัปรดลงไปใช้ทั้งน้ำและเนื้อเลยค่ะ ต้มไปอีกซักพักชิมรสอีกค่ะ เปรี้ยวมาแล้วขาดหวานไปหน่อย แต่อย่าเพิ่งเติมน้ำตาลนะค่ะ ลองเอาซ้อมจิ้มเนื้อ ๆ ดูว่าเปือยหรือยัง ถ้ายังต้มไปอีกหน่อย ถ้าเช็คอีกครั้งกระดูกหมูเปื่อยได้ทีถึงเติมน้ำตาล ไม่งั้นเราคิดว่าน้ำตาลถ้าใส่เร็ว จะทำให้เปื่อยช้านะค่ะ หลังจากใส่น้ำตาลไป คนให้เข้ากันทิ้งไว้ซักพักแล้วชิมใหม่ รสชาดโอเคแล้ว ปิดเตารอกินได้เลยค่ะ เราทำแบบนี้ทุก ๆ ครั้งนะค่ะ ไม่ว่าจะต้มอะไร ชิมเป็นพัก ๆ ชิมตลอดจนกว่าจะเสร็จนะค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มั่นใจในการเติมเครื่องปรุงว่า มากน้อยแค่ไหน ถึงต้องเติมไปชิมไป











๐๐ ตอนท้ายของวันนี้ คุยให้ฟังเรื่องมะเขือเทศกระป๋อง ลองทำเองก็ได้นะค่ะ ถ้าเจอมะเขือเทศถูก ๆ ลองซื้อมาทำนะค่ะ เอาไว้ใช้ทำน้ำซอส หน้าพิซซ่า หรือสปาเก็ตตี้นะค่ะ ใส่ขวดแก้วที่ผ่านการต้มให้สะอาดแล้วนะค่ะ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าทำยังไง แต่อ่านจากข้างกระป๋อง มีแค่มะเขือเทศกับน้ำมะเขือเทศเท่านั้น ก็เลยลองทำดู ออกมาก็เหมือนกันค่ะ

๐๐ วิธีการทำนะค่ะ หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็ก ๆ เราไม่มีน้ำมะเขือเทศก็เลยใช้น้ำเปล่าแทน ถ้าเพื่อน ๆ ที่เมืองไทยจะทำ เราแนะนำให้ใช้น้ำมะเขือเทศนะค่ะ หาซื้อได้ง่ายและก็ทำให้น้ำเข้มข้นกว่าใช้น้ำเปล่าแบบเรานะค่ะ ปริมาณกะเอาค่ะ อย่าให้มากกว่าเนื้อมะเขือเทศนะค่ะ เราใส่แค่ให้มีน้ำคลุกคลิกเท่านั้นค่ะ ถ้าแห้งไปค่อยเติมไปอีกหน่อย แต่ไม่เยอะมากเพราะว่ากลัวจะเหลวเป็นน้ำไปซะหมด ใส่หม้อตั้งไฟค่ะ ไฟกลางค่ะเคี่ยวไปเรื่อย ๆ ค่ะ จนมะเขือเทศเริ่มจะเละ ก็ปิดไฟใส่ขวดเก็บไว้ได้เลยค่ะ เราเก็บไว้ในตู้เย็น ไม่เคยเก็บไว้ได้นาน ๆ เลยค่ะใช้หมดก่อนก็เลยบอกไม่ได้ว่า สามารถเก็บไว้ได้นานเท่าไหร่ค่ะ



๐๐ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ได้นะค่ะ เรานะไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากนักเรื่องกับข้าว ทำง่าย ๆ ใช้เครื่องปรุงเท่าที่มี เราอร่อยของเราก็พอแล้วค่ะ อาจจะไม่ถูกหลักวิธีในการทำอาหารไปบ้างเพราะว่าเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า วิธีทำอาหารแบบนี้เค้าทำยังไง แต่เราเพียงแต่พยายามทำออกมาให้ดีที่สุดและที่สำคัญคือ พอกินได้นะค่ะ

๐๐ ขอบคุณที่แวะมานะค่ะ

Create Date : 20 ตุลาคม 2555 Last Update : 20 ตุลาคม 2555 6:17:22 น. Counter : 12630 Pageviews.		7 comments
Share Tweet