เรื่องวุ่นวายของชีวิตในแต่ละวัน
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
24 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

โลกทางกายภาพ โลกแห่งควอนตัมฟิสิกส์

นี่คือโลกที่คุณคุ้นเคย นี่คือโลกที่คุณรับรู้ตั้งแต่เกิดมา โลกที่คุณรู้จักดีที่สุด คุณเรียกมันว่า โลกจริง (ฉันจะเล่าการตีความความจริงและไม่จริงให้คุณได้รับรู้ในบทหลังๆ) โลกนี้มีขอบเขต มีคน มีสิ่งของ มีระยะทางและมีเวลาที่มนุษย์สมมติขึ้นมาเอง ทุกสิ่งที่คุณเห็นเป็นสามมิติ คุณถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เป็นเด็กจนกระทั่งโตด้วยความเชื่อต่างๆ แตกต่างกันไปตามลักษณะท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่ต่างก็สมมติขึ้นมาอีก

ในโลกนี้คุณถูกสอนว่า โลกประกอบด้วย ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ มีเพียงสามสถานะ ภายในทั้งมวลที่กล่าวมาประกอบด้วยโมเลกุลที่ยึดกันอยู่ตามสถานะของมัน ของแข็งก็ย่อมมีโมเลกุลยึดเอาไว้อย่างหนาแน่นกว่าของเหลวและก๊าซ แม้แต่ร่างกายคุณก็ตาม

เวลาในโลกนี้เป็นเส้นตรง เดินทางจากอดีต ไหลไปสู่ปัจจุบันและอนาคต ทุกอย่างบนโลกมีตั้งแต่จุดเริ่มต้น ดำเนินไปจนกระทั่งถึงจุดจบ แม้แต่ชีวิต

โลกทางกายภาพนี้มีเหตุและผล มีอดีตและอนาคต คุณจะตัดสินหรือคิดตามศักยภาพเท่าที่มนุษย์จะคิดได้ บางคนต้องยึดหลักเหตุและผลเป็นสำคัญ คุณเชื่อว่า หากไม่มีเหตุ จะไม่มีผลเช่นนี้ คุณเชื่อว่า ผลจากอดีตจึงทำให้คุณเป็นอยู่อย่างปัจจุบันนี้ บางคนยังเชื่อไปถึงเหตุจากอดีตชาติส่งผลต่อเขาในปัจจุบัน ตามความเชื่อในกฎแห่งกรรมที่ทางศาสนาคุณได้สอนเอาไว้

นี่คือโลกที่คุณคิดว่าเป็นจริง จับต้องได้ มีเหตุผล และมีข้อจำกัดต่างๆมากมายล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น มนุษย์ที่ลืมตัวตนของพวกเขาไปหลายล้านชาติ ลืมพลังอำนาจ ลืมศักยภาพและความเป็นไปได้ทั้งหมดขอ
งตน
ความเชื่อที่ว่าคุณเป็นเพียงตัวตนในร่างกายคุณ มีความสามารถเท่าที่สมองภายในของคุณจะมี มีข้อจำกัดต่างๆมากมายในชีวิตคุณ นั่นแปลว่า คุณได้กักขังพลังอันยิ่งใหญ่แห่งสรรพสิ่งไว้ภายในและคุณเองต่างหากที่เป็นคนสร้างข้อจำกัดให้กับชีวิตคุณ คุณปลูกฝังความเชื่อนี้มานานข้ามภพชาติ คุณจึงต้องกลับมาอีกเพื่อเริ่มต้นและแสวงหาความเป็นจริงแห่งตัวตนคุณอีก ชาติแล้วชาติเล่า คุณก็จะกลับไปเริ่มใหม่จนกระทั่งจุดหนึ่งที่คุณได้ตั้งคำถามอย่างสงสัยกับตัวเองว่า ฉันเกิดมาทำไม เมื่อนั้นคุณจึงเริ่มแสวงหาและพบคำตอบในที่สุด

แม้ว่า คุณจะอ่านมาถึงตรงนี้ คุณบางคนอาจส่ายหน้า คุณอาจจะยังไม่เชื่อว่า คุณคือใคร เพราะคุณเองได้สะกดจิตตนเองในหลายๆล้านชาติที่ผ่านมา ขอให้ฉันได้เล่าเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค้นพบเพิ่มให้คุณฟัง เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณเชื่อ คุณเชื่อการทดลองและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ว่า มันมีอยู่จริง เป็นเหตุเป็นผล ตามความเชื่อของคุณ คุณจึงจะเชื่อ

โลกแห่งควันตัม

นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ได้ออกมาบอกการค้นพบครั้งใหม่ว่า โลกที่เราเห็นอยู่นี้ประกอบด้วยของสองสิ่งเท่านั้นคือ สสารและพลังงาน ทุกสิ่งในโลกไม่ใช่ของแข็ง ทุกสิ่งที่ปรากฏในโลกเกิดขึ้นจากพลังงานและสสารซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายทั้งจักรวาล ฉันขอยกตัวอย่างคลาสสิคที่ใครๆก็ต้องเคยรู้และจำได้ดี นั่นคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของดลกที่ค้นพบความจริงนี้ และกำลังพยายามทำการทดลองแต่ยังไม่สำเร็จในขณะนั้น

ทฤษฎีสัมพัทธภาพคือ E = MC2

E(พลังงาน) = M(มวลสาร)*C(ความเร็วแสง)ที่ยกกำลังสอง บทสรุปของสมการนี้ทำให้เรารู้ว่า พลังงานและวัตถุ(มวลสาร)เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่มีรูปแบบที่ต่างกันที่ตาเราไม่อาจจะมองเห็นได้ ยกตัวอย่างง่ายๆคือ โต๊ะที่เราเห็นตั้งอยู่นี้ เรามองดูด้วยตาและด้วยการรับรู้จากการเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า โต๊ะคือ ของแข็งที่ประกอบด้วยโมเลกุลของแข็งรวมกันอยู่ ต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงได้ค้นพบว่า โมเลกุลที่ว่าประกอบด้วยอะตอมในขนาดที่เล็กมากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การจะมองอะตอมให้เห็นจึงต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ ต่อมา เราจึงค้นพบว่า ในอะตอมที่เล็กๆนั้นประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กลงไปยิ่งกว่าอะตอม ซึ่งไม่ได้มีความเป็นของแข็งอยู่เลย มันประกอบด้วยกลุ่มก้อนหรือคลื่นของพลังงานเท่านั้น นั่นหมายความว่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นกลุ่มก้อนของคลื่นและพลังงานที่รวมตัวกันอยู่เท่านั้น ที่เราไม่อาจเห็นมันได้เนื่องจากคลื่นของพลังงานนี้เกิดขึ้นที่ระดับความเร็วแสงที่ต่างจากประสาทสัมผัสของเราเท่านั้น

ในทางศาสนาพุทธเองก็กล่าวเอาไว้ว่าสิ่งที่เห็นที่คิดว่ามันเป็นเช่นนั้น ล้วนไม่จริง ทุกสิ่งไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้นไม้ที่ล้ม ลงมาให้เห็นอยู่นั้น มันไม่จริง เพราะไม่ช้าไม่นานมันก็จะหายไป ทุกอย่าง ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง เป็นเพียงตาเราทำให้มันเที่ยง ที่เราเห็นว่าเที่ยงนั้น

เปรียบเช่นการชมภาพยนตร์ คุณรู้ดีว่าภาพยนตร์คือการนำภาพในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆมาเรียงต่อกันฉายต่อเนื่องกันด้วยความเร็วจนประสาทสัมผัสของคุณไม่สามารถสังเกตเห็นภาพแต่ละภาพได้ว่าไม่ต่อเนื่องกัน คุณจึงเห็นภาพหลายๆภาพนั้นรวมกันเป็นภาพเคลื่อนไหว

ทฤษฎีของเบลล์ ที่เรียกว่า Bell’s theorem ที่อธิบาย อนัตตาความไร้ตัวตน ณ ที่หนึ่งที่ใดของวัตถุอนุภาค เช่น หากอนุภาคที่ออก มาจากที่เดียวกันชุดเดียวกันพร้อมๆ กัน เมื่อวิ่งห่างออกจากกันไปตามทิศ ทางต่างกัน ตัวหนึ่งอยู่ที่ดวงจันทร์หรืออยู่ที่ดาวอังคาร ส่วนอีกตัวอยู่บนโลก เมื่อเราจับตัวที่อยู่บนโลก มันร้องว่าโอ๊ย ตัวที่ดวงจันทร์หรืออยู่ที่ดาวอังคารก็ ร้องโอ๊ยพร้อมๆ กัน นั่นแสดงว่าทุกตัวมันอยู่ทุกที่พร้อมๆ กัน เหมือนกับว่า มันสามารถติดต่อกันได้แบบทันทีทันใดเร็วกว่าแสงหรือเร็วไม่มีที่สิ้นสุด ที่ไอน์สไตน์บอกว่ามันติดต่อกันได้เองไม่ว่าไกลจากกันแค่ไหน “ยังกับว่ามัน เป็นผี” หรือทุกจุดคือจุดเดียวกัน หากเราไปหาแต่ละจุดมันอยู่ที่ตรงไหนก็ได้ ทุกจุดทุกตำแหน่งทั่วทั้งจักรวาล เราอาจพูดได้ว่า สรรพสิ่งทั้งหมดที่มีใน จักรวาลล้วนเชื่อมโยงต่อเนื่องกันแยกออกจากกันไม่ได้ - หนึ่งคือทั้งหมด - ทั้งหมดคือหนึ่ง เช่นเดียวกับหมู่เกาะมากๆ เกาะที่เห็นอยู่ห่างกันบนผิวน้ำ แต่ได้ลึกลงมาใต้น้ำ ล้วนเป็นผืนดินที่ต่อเนื่องกัน
อนุภาคที่โดนย้ายที่เหล่านี้ต่างก็ยังคงเก็บความทรงจำและความเป็นตัวเราไว้ มีการทดลองเก็บเซลเม็ดเลือดขาวจากอาสาสมัครส่วนหนึ่ง ต่อเข้ากับขั้วไฟฟ้า และ เครื่องทดสอบการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้า ที่ชื่อ EEP น่าแปลกที่เมื่ออาสาสมัครคนนั้นโดนมีดบาด หรือแม้เพียงแค่ความคิดที่จะหยิบมีดมากรีดแขน เซลเม็ดเลือดขาวในส่วนทดลองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าขึ้นอย่างชัดเจน หรือ ในกรณีของคนที่มีความผูกพันก็ส่งผลดังกล่าวเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อคนรักโดนทำร้าย จู่ๆในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็รู้สึกเจ็บแปลบกระทันหัน หรือ สุนัขที่สัมผัสได้ถึงอันตรายขอ
งเจ้าของ
หรือทฤษฎีของเดวิด โบห์ม ที่อธิบายว่าพื้นฐานของจักรวาล ประกอบด้วยรูป นามหรือ ข้อมูล กับพลังงานที่จะไหลเลื่อนเคลื่อนไปด้วยกันพร้อมๆ กับคลี่ขยายเปิดเผยออกมา เป็นสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์เหมือนบัวบาน ขยายกลีบ ที่จะไหลเลื่อนต่อไปสลับกับม้วนซ่อนไปเรื่อยๆ นั่นคือทฤษฎี Wholeness and the Implicate Order ของเดวิด โบห์ม
กลุ่มพลังงานมีการส่งคลื่นความถี่ในระดับที่ต่างกัน คุณจึงมองเห็นสิ่งต่างๆในรูปแบบที่ต่างกันในคลื่นพลังงานที่เป็นของแข็ง แม้แต่ตัวตนคุณก็เป็นส่วนประกอบของแอ่งพลังงานที่กว้างใหญ่ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน ผู้คน สิ่งของล้วนต่างเป็นคลื่นพลังงานที่เชื่อมโยงกันทั้งสิ้น แต่เราจะสัมผัสคลื่นพลังงานนี้ได้อย่างบางเบาหรืออาจจะแทบไม่สังเกตเห็นเลย ยกตัวอย่างเช่น เราเคยรู้สึกถึงสัมผัสโศกเศร้าหรือตึงเครียดเมื่อเราเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่อาจจะกำลังมีผู้คนเครียดต่อกัน
เมื่อเราสัมผัสวัตถุที่เราเชื่อว่าเป็นของแข็ง เนื่องเพราะว่าประสาทสัมผัสของเรารับรู้เพียงสามมิติ เราไม่สามารถเห็นว่า เราซึ่งเป็นกลุ่มก้อนอะตอมที่มีอิเล็คตรอนเล็กๆวิ่งรอบด้วยคลื่นได้สัมผัสกับอิเล็คตรอนอีกกลุ่มก้อนที่มีระดับคลื่นความถี่ตรงกัน และมีการกระทบและแลกเปลี่ยนสนามพลังงานของเราและวัตถุนั้น เช่นที่เราสัมผัสคลื่นความเครียดจากสนามพลังงานในห้องที่กำลังตึงเครียดเช่นกัน

นอกจากนั้น มิชิโอะ กากุ ที่เป็นนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ระดับนำของโลกนั้น เคยออกมาประกาศที่สั่นคลอนจักรวาลวิทยา ที่ในตอนแรกนักฟิสิกส์ด้วยกันยังรับไม่ได้ กระทั่งไม่ถึงทศวรรษมานี้เองจึงได้รับการยอมรับกันแทบเป็นเอกฉันท์ นั่นคือการคาดการณ์ทางจักรวาลวิทยาบางประการที่มีข้อพิสูจน์บนสมการคณิตศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีใยมหัศจรรย์ และทฤษฎีแมทริกซ์ (String theory / M-theory) และควอนตัม เมคานิกส์ รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์

มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่า จักรวาลมีมิติหลากหลายที่สสารดำรงอยู่ด้วยพลังงานที่ให้ความถี่ของการสั่นสะเทือน (vibration) ของแต่ละมิติแตกต่างกันไป และแตกต่างจากจักรวาลที่มีสี่มิติของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้โดยอาศัยทฤษฎีสตริง และทฤษฎีอื่นๆ ที่กล่าวไปแล้ว พบว่าอย่างน้อยมี ๑๑ มิติ และมิชิโอะบอกว่ามิติที่ ๑๑ เป็นมิติของสภาวะนิพพาน (nirvarna) คราวนี้ มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่าจริงแล้วจักรวาลไม่ได้มีแต่จักรวาลของเราอันเดียว แต่มีมากมาย (multi universes) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแต่ละจักรวาลจะมีลักษณะเหมือนฟองของเหลวที่ยุบๆ พองๆ หรือให้ฟองขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา มิชิโอะบอกว่าจักรวาลถัดไปอาจอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจากผิว (brane) ของจักรวาลเรา แต่เรารับรู้ไม่ได้เพราะมันอยู่เหนือมิติ (สี่มิติ) ของเรา

มิชิโอะ กากุ ยังบอกว่าทุกวันนี้นักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า การเกิดใหม่ของจักรวาลนั้น มีศักยภาพความเป็นไปได้หลายทาง ทางหนึ่งที่จักรวาล(สี่มิติ เช่น จักรวาลของเรา) จะเกิดใหม่หลังจากหนึ่งล้านล้านปีจากวันนี้ จักรวาลของเราจะสิ้นสุดลงด้วยความเย็นยะเยือก (big freeze) ไร้พลังงาน แต่ขณะเดียวกันพลังงานมืด (dark energy) ที่ได้จากการยุบตัวเองลงมาของสสารมืด (dark matter) จะรวมเป็นหลุมดำที่จะต่อเนื่องกับหลุมขาวที่จะให้บิ๊ก แบ็งใหม่ต่อไป หรืออีกเส้นทางหนึ่ง หลุมดำที่อยู่ใจกลางของทุกๆ แกแล็คซี่จะรวมเข้าด้วยกัน ทำให้จักรวาลหดตัวลงมา (big crunch) กลายเป็นหลุมขาว (ทั้งหลุมดำและหลุมขาวจะอยู่ในสภาพความว่างเปล่าทางควอนตัม (quantum vacuum) ที่จะให้การไหวสั่นทางควอนตัม (quantum fluctuation) ความไหวสั่นที่จะให้สสารที่แท้จริงจากอนุภาคเทียม (matter arising form virtual particles as Casimir effect)

ก่อนที่ฉันจะทำให้คุณสับสนกับพลังงาน สสาร และโลกแห่งควันตัมมากไปกว่านี้ ฉันขอให้คุณที่สนใจสามารถหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่องพลังงานควันตัมที่ฉันได้ใส่ไว้ท้ายเล่มในเรื่องหนังสืออ้างอิงแล้ว

สรุปสั้นๆง่ายๆว่า โลกทางกายภาพที่คุณเห็นอยู่ตรงหน้า แท้จริงแล้วคือคลื่นแห่งพลังงานที่ประกอบเข้าด้วยกัน ด้วยระดับคลื่นความถี่ที่ต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นและตัวตนของคุณก็เป็นกลุ่มก้อนของพลังงานเช่นกัน สมมติว่า คุณอยากฟังเพลงคลาสสิค คุณรู้ว่าคลื่นวิทยุที่ 105 คือเพลงคลาสสิค แต่คุณปรับคลื่นได้ไม่ตรงกัน คุณอาจจะปรับเป็น 105.1 ซึ่งเป็นคลื่นของเพลงลูกทุ่งที่คุณไม่ได้อยากฟัง ดังนั้นวิธีง่ายๆคือหมุนปรับคลื่นคุณให้ตรงกับคลื่นความถี่ที่คุณต้องการก็เท่านั้น
ก่อนฉันจะนำคุณเข้าสู่การปรับเปลี่ยนความมหัศจรรย์ของชีวิตคุณต่อไป ฉันขอเล่าให้คุณฟังเรื่องราวการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อีกสักเล็กน้อยในเรื่องของดีเอ็นเอ

ดีเอ็นเอ เป็นสารพันธุกรรมที่มนุษย์เพิ่งค้นพบอย่างตื่นเต้นมาเมื่อ 50 ปีก่อน ดีเอ็นเอของมนุษย์บ่งบอกว่า มนุษย์เป็นทายาทของเซลล์ชีวิตชั้นสูงแรกสุด เมื่อคำนวณย้อนกลับไป 1400 ล้านปีก่อน และหากจะมองย้อนกลับไปลึกลงไปกว่านั้นอีก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็ล้วนแล้วแต่มีธาตุคาร์บอน(C) เป็นองค์ประกอบด้วยกันทั้งสิ้น (รวมทั้งในดีเอ็นเอด้วย!) แต่ว่าธาตุคาร์บอนนี่ทุกโมเลกุลไม่เคยเกิดขึ้นเองบนโลก พวกมันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นที่ใจกลางดาวฤกษ์ และเป็นผลมาจากการปฏิกิริยาทางฟิสิกส์ที่ตั้งต้นมาจากธาตุที่ง่ายที่สุดคือ ไฮโดรเจน (H) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในดาวฤกษ์ทุกดวง




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552
1 comments
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2552 21:14:49 น.
Counter : 1036 Pageviews.

 

ข้อมูลแน่นเอียด

คงต้องมาตามอ่านในทีหลังอีกที

ตอนนี้เอาเข้าfacebookก่อนอะกัน

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 25 ตุลาคม 2552 11:49:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


สาวช่างถาม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add สาวช่างถาม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.