ธันวาคม 2548

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
หนังโปรด ภาค 2
4. Schinler`s list : บัญชีชีวิต

หนังออสการ์ฝีมือ สตีเว่น สปิลเบิร์ค... โหดพอดิบพอดี ไม่มากเกินไปเลยสำหรับการ "สะท้อน" ให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสงคราม... ฮิตเลอร์ (นาซี) ที่สั่งล้างเผ่าพันธุ์ยิวแบบไม่ให้เหลือซาก...เป็นสิ่งที่ "เหลือเชื่อ" สำหรับคนที่เกิดไม่ทัน (อย่างเรา)

ภาพที่หนังสื่อให้เห็นสิ่งที่คนทำกับคน...ได้เห็น "ความเชื่อ" ที่สะท้อนจากสงคราม ถ้าหนังเรื่องนี้เป็นภาพสี คงมีสีแดงมากกว่าสีอื่น เพราะการ "ยิงทิ้ง" อย่างไม่ปราณีของทหารนาซี และถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์ เมื่อเปรียบเทียบกับดูหนัง-ดูเหมือน "หนัง" จะโหดน้อยกว่าความจริงที่เกิดขึ้น สำหรับการรมควันด้วยแก๊สพิษในค่ายกักกันเอาท์ชวิทซ์ คิดภาพแล้วก็...สยอง...

The Pianist เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่จะว่าไปแล้วเหมือนอีก "ฉาก" หนึ่งของ Schinler`s list ถึงภาพจะออกมาไม่เหี้ยมเท่ากัน แต่หนังก็ต้องการที่จะ "สื่อ" เรื่องเดียวกัน... เว้นแต่ The Pianist มีความคลาสสิกในตัวเองตรงที่เป็น "หนัง" มากกว่า Schinler`s list ที่ดูจะเหมือน "สารคดี" มากกว่าหนัง...แต่สำหรับเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ของทั้งสองเรื่อง (ถ้ารวมกันแล้วคง 7 ชั่วโมงพอดี) เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง...สำหรับคนทำหนังที่ไม่ทำให้คนดูจะเวียนหัวตาย เพราะยิงกันโป้งๆ แล้วยังมีแต่ความโหดเหี้ยมไร้ปราณี นึกในใจว่าถ้าฉากที่ "ขุดศพขึ้นมาเผา" เป็นภาพสี มันจะเป็นยังไง...

สำหรับ Schinler`s list ส่วนที่ดูแล้วรู้สึกได้ถึงความไร้มนุษยธรรมแบบ "ธรรมดา" ที่สุดคือ ตอนที่ทหารจับเชลยเรียงแถวยิงทีละคน คือโหดปกติ... แต่ส่วนที่ดูแล้วโหดสุดก็เป็นตอนที่เอม่อน ใช้ปืนยาวยิงคนยิวที่กำลังทำงานอยู่กลางลาน ดูแล้วเหมือนเขากำลัง "ล่าสัตว์กลางแจ้ง" ยังไงยังงั้น... ในขณะที่ The Pianist หนังพูดถึงชะตากรรมของคนคนเดียว

หนังทั้งสองเรื่องมีฉากคล้ายกันอยู่มาก เช่นฉากที่คนยิวถูกต้อนให้มารวมกันที่กลางถนนแล้วถูกเกณฑ์ไปที่ค่ายกักกัน ฉากที่คนยิวถูกเกณฑ์ขึ้นรถไฟไปเอาท์ชวิทซ์ และการทารุณแรงงาน... การยิงหัวทิ้งด้วยปืนสั้น และเข้าแถวเรียงยิงทีละคน และการหาที่ "ซ่อนตัว" ของคนเหล่านั้น....

ถ้าว่ากันถึงความ "เหี้ยม" ที่หนังสื่อให้เห็นแล้ว Schinler`s list กินขาด ถึงแม้จะเป็นหนังขาวดำ แต่ความโหดไม่ได้ลดลงตามสี... แต่ที่ดูทั้งสองเรื่องแล้ว สำหรับ Schinler`s list ดูเหมือน ออสการ์ ชินด์เลอร์ จะเป็น "ฮีโร่" ของคนยิว เรียกว่าเป็น "พระเจ้า" เลยก็ว่าได้ เพราะเขาช่วยชีวิตคนยิวไว้มากพอสมควรจนดูค่อนข้างเกินจริงไปหน่อยในขณะที่ The Pianist นั้นตัวเอกก็เอาตัวรอดได้อย่าง "หวุดหวิด" บ่อยครั้งเสียจนทำให้หนังดูขัดๆ ตาไป...ทั้งสองเรื่องมีผู้กำกับคนละคนซึ่งถึงจะเป็นเรื่องของสงครามยุคสมัยเดียวกันแต่ อรรถรสของหนังก็ต่างกัน... ที่หนังเรื่องหนึ่งนั้นโหดเหี้ยมอย่างไร้ปราณี ขณะที่อีกเรื่องยังมีความปราณี (คนดู) อยู่บ้างเป็นระยะๆ เมื่อเอาดนตรีมาเป็นส่วนคั่น...

ความเจ็บปวดของนักเปียโน คือการไม่ได้เล่นเปียโน และความเจ็บปวดของนักรบก็คงอยู่ที่การไม่ได้ยิงใครนี่ล่ะมั้ง....

และทั้งหมดก็สอนให้รู้ว่า ต่อให้ gu-เจ๋ง มาจากไหนก็หนีไม่พ้นตายเหมือนกันทุกคนแหละว๊า...ว่าไหม... /



5. The Classic : คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต

แปลกอย่างหนึ่งนะ... หนังเกาหลีถ้านี่โรแมนติกก็จะดูแล้วก็อ้วกออกมาเป็นน้ำตาลได้เลย ถ้าแบบซาดิสต์ก็แทบจะทำให้กินข้าวไม่ลงไปเป็นเดือน และถ้าติดเรทนี่ก็ X สุดๆ จนไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่จริงในโลก...

The Classic เป็นเรื่องราวของความรัก, สองยุคระหว่างรุ่นแม่กับรุ่นลูกในเรื่องเดียวกัน ถ้ามองข้ามความ
โอเวอร์เกินจริงไปบ้างในบางฉากและในบางซีน ก็จะได้ความโรแมนติกเพียวๆ นางเอกสวยพระเอกหล่อ (มากกกกกกกกกก) ทั้งสองคน... หนังรักฝั่งเอเชียจะดูโรแมนติกมากกว่าฝั่งยุโรป อเมริกา อาจเพราะความเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนทำหนัง ซึ่งในเนื้อหาอาจจะไม่มีอะไรมากนัก เป็นเรื่องรักสามเส้าธรรมดา แต่รายละเอียดในแต่ละฉาก ภาพและเสียง (ดนตรีประกอบ) ทำให้หนังน่าดูขึ้นมาได้มาก ต่างจากหนังรักอเมริกันที่ออกจะทื่อๆ ห้วนๆ และเน้นไปทางด้านเนื้อหามากกว่าจะใส่ใจในความรัก อาจจะเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่าง ทำให้ความรักในหนังฝั่งเอเชียดูโรแมนติกมากกว่า....

หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ, (ตามประสาคนที่ไม่เคยรักใครอย่างหมดใจ) ก็อดคิดไม่ได้ว่ามีด้วยเหรอ? ความรักแบบจงรักภักดี (เพียวๆ) ในโลกใบนี้? จริงหรือว่าจะไม่มีการนอกใจเมื่อใครสักคนห่างไกล แน่ใจหรือว่าจะมั่นคงซื่อตรงรอคอยจนกว่าใครสักคนนั้นจะกลับมา? มันเป็นเรื่องที่ไม่เห็นจะมีจริงเลย... (หรือเรายังไม่เจอก็ไม่รู้เหมือนกัน)

เรื่องของเด็กหนุ่มที่เพื่อนวานเขียนจดหมายถึงหญิงสาวคู่หมั้น แต่เขารู้จักเธออยู่ก่อนแล้ว เขาสองคนรักกัน ชายหนุ่มไปรบ กลับมาหญิงสาวแต่งงานไปแล้ว และเขาก็แต่งงานหลังจากที่เธอแต่งไปแล้ว... และมาถึงรุ่นลูก, ลูกสาวแอบรักแฟนเพื่อนเพราะเพื่อนให้ช่วยเขียนจดหมายให้, เธอชอบเขา... และเขาก็ชอบเธอ แต่เขาไม่มีโอกาสบอก จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงสาวไปที่ร้านกาแฟ เจ้าของร้านบอกว่าวันที่ฝนตกหนัก ผู้ชายคนนั้นเห็นเธอยืนคนเปียกฝนใต้ร่มไม้ เขาจึงวิ่งออกไปและถอดเสื้อคลุมกันฝนพาเธอไปส่งห้องสมุด... และเมื่อเธอรู้ความจริงว่าแท้ๆ แล้วเขามีร่ม แต่อยากไปส่งเธอ ถ้าจะเดินถือร่มเดินทื่อๆ เข้า ไปหา (ก็คงไม่โรแมนติก) ก็คงไม่ดูเป็นการบังเอิญ...

เมื่อทั้งคู่คบหากันแล้วเธอจึงรู้ว่าเขาเป็นลูกชายแฟนเก่าของแม่... (บังเอิญซะไม่มี) หนังเกาหลีนี่ถนัดทำเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จริงๆ และมันก็.... โรแมนติกชวนอ้วกออกมาเป็นน้ำตาลมากๆ เสียด้วย แต่ก็ทำเอาน้ำตาไหลเหมือนกัน อาจจะเพราะเราไม่ชอบดูฉากการจากพราก ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย มันก็เศร้าทั้งนั้น.... และเราไม่ชอบน้ำตาในหนัง มันทำให้ร้องไห้ได้เหมือนกันและหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เราเสียน้ำตาไปหลายกาละมัง ../


6. 21 Grams :

สำหรับหนังน่าดูเรื่องนี้ ใครที่ชอบดรามาหนักๆ ขอบอกว่าเรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน หนังเรื่องนี้เป็นหนังอาร์ต ต้องทำใจกับหนังประเภทนี้ เพราะแต่ละซีนถ่ายทำออกมาดีๆ แต่อาจจะเอามายำกันป่นปี้ก่อนออกมาเป็นหนังให้ดู แต่ฝีมือการตัดต่อยอดเยี่ยมมาก แทบจะไม่มีพลาดในรายละเอียดที่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องราวของผู้ชายสองคน อาจจะสามก็ได้ ถ้ารวม "The Invisible" เข้าไปอีก 1

พอล ชายหนุ่มใกล้ตายด้วยโรคหัวใจ มีแฟนสาวที่ต้องการมีลูกกับเขา แม้จะด้วยการฉีดเชื้ออสุจิของเขาก็ยอม เพราะพอลอาจจะมีชีวิตอยู่เพียงไม่นาน ถ้าเขาไม่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ... ซึ่งก็คือหัวใจ นั่นเอง...

แจ็คจอร์แดน ชายหนุ่มที่มีอดีตที่ร้ายกาจในเรื่องเลว แต่กลับตัวกลับใจมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า... เขาศรัทธาในพระเจ้ามากกว่าตัวเองเสียด้วย...

ไมเคิล สถาปนิกหนุ่ม มีภรรยาคือเจนนิเฟอร์ และลูกสาวสองคน คือ เคธี่กับลอร่า ทั้งหมดเกี่ยวข้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ... นึกภาพในจินตนาการเป็นกระดาษสีขาว เขียนสัญลักษณ์แทนแต่ละคน แล้วลากเส้น.... คุณจะเห็นเป็น รูปกางเขน

แจ็คขับรถชนไมเคิลและลูกสาวทั้งสองคนตาย พอลได้หัวใจของไมเคิลมาเปลี่ยนและเขารอดตาย... แจ็คเชื่อว่ามันคือพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทำให้เป็นเช่นนี้ เจนนิเฟอร์ไม่เอาความเพราะถือว่าคนตายแล้วไม่ฟื้น พอลตามหาคนที่ทำให้เขามีชีวิตขึ้นมาใหม่ เขาได้พบเจนนิเฟอร์และพยายามหาทางตอบแทนความดีนั้น แจ็คติดคุกและโทษว่าทั้งหมดเป็นเพราะพระเจ้า... เขาเคยศรัทธาในพระเจ้าแต่ตอนนี้พระเจ้าส่งเขามาลงนรก พระเจ้ายืมมือเขาฆ่าคน...

แต่เมื่อเจนนิเฟอร์รู้ว่าหัวใจของไมเคิลอยู่ที่พอลเธอกลับอยากฆ่าแจ็คขึ้นมา... เพราะแจ็คคือคนที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเธอลงไป.... พอลมาอยู่กับเจนนิเฟอร์และทิ้งแฟนสาวที่แสนดีไปหน้าตาเฉย

เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ แต่ภาพของหนังที่ผู้กำกับ สร้างให้ดูกลับน่าสนใจกว่าการเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ นิ่งๆ ได้ นั่นเพราะเขาสลับซีนของเรื่องจากเหตุการณ์หลังสุดมาไว้หน้าสุด กับการเปิดเรื่องด้วยฝูงนกบินสู่ท้องฟ้า และจบลง ด้วยฉากที่นกทั้งหลายกลับรัง ภาพสวยเหมือนใบเมเปิลร่วงลงน้ำ...

หลายๆ ประโยคในหนังก็กินใจ แต่ที่จำได้แม่นเลยคือ "ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป" นั่นคือ ไม่ว่าใครจะตาย อะไรจะเป็นไป คนที่ยังอยู่ ยังไงก็คงต้องใช้ชีวิตต่อไป...

เป็นหนังดีที่น่าดู สำหรับคอหนังอาร์ต มีฌอน เพนท์ กับ นาโอมิ วัตต์ เป็นดารานำ...และอเลฆานโดร กอนซาเลส อินาร์ริตู เป็นผู้กำกับ...

เรื่องนี้เป็น "เกม" ของพระเจ้าจริงๆ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น บางครั้งก็หาคำตอบที่เป็นเหตุผลไม่ได้ "บางเรื่องยิ่งคิดยิ่งรู้น้อยลง" และ "การได้รู้จักกันของคนสองคนเป็นเรื่องของ คณิตศาสตร์" สิ่งที่ทำให้คนบางคนหมดศรัทธาในพระเจ้า เมื่อเขาได้ในบางสิ่งที่ดีมา เขาบอกว่า เพราะพระเจ้าต้องการให้เขาได้มัน ในขณะที่ความโชคร้ายเดินทางมาหา เขาก็บอกอีกว่า เพราะพระเจ้ากลั่นแกล้ง สรุปแล้ว The Invisible ก็เลยซวยไป เพราะถูกโยนความผิดให้โดยไม่รู้เรื่องอะไร

คนเราก็เป็นอย่างนี้, หาที่ลงไม่ได้ก็โทษสิ่งที่มองไม่เห็น แต่แปลก ไม่ยักกะโทษโต๊ะเก้าอี้ รองเท้ากระเป๋า แต่ไปโทษสิ่งที่มองไม่เห็น

“พระเจ้ารู้กระทั่งว่าผมเส้นไหนของเรากำลังงอก” เป็นประโยคของแจ็ค แต่เมื่อเขาหมดศรัทธาในพระเจ้าเขาก็พร้อมจะตายโดยไม่สนใจว่าผมเส้นไหนกำลังจะงอก!

เกี่ยวกับ 21 กรัมตรงไหน?.... ไม่รู้เหมือนกันเพราะหนังเป็นซิมโบลิก และเราก็ไม่ใช่นัก “ตีความ” การดูหนังส่วนใหญ่เป็นการดูเอามันส์ เอาสนุก บางครั้งก็ดูเอาเรื่องเลยได้แต่เรื่อง แต่ไม่ได้ความ...

ประโยคตอนจบพระเอกจะบอกประมาณว่า "เมื่อวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง น้ำหนักจะลดลงไป 21 กรัม, น้ำหนักของเหรียญคือ 21 กรัม, น้ำหนักของชอคโกแล็ตบาร์ และ.. อีกมากมายหลายอย่าง... ที่แน่ๆ เขารอดตายหนที่หนึ่งเพราะหัวใจของไมเคิล สามีของเจนนิเฟอร์ และเขากำลังจะตาย ถ้าไม่ได้หัวใจของใครมาเปลี่ยนถ่าย... อาจะหมายถึง ของทุกอย่างที่น้ำหนักเท่ากัน... ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะมองเห็น จับต้องได้ หรือ ไม่.... ก็ตาม....

มันเกี่ยวกับ 21 กรัมตรงไหน? ดูจนจบแล้วก็ยังไม่รู้เลย..../



Create Date : 08 ธันวาคม 2548
Last Update : 29 สิงหาคม 2552 15:36:20 น.
Counter : 483 Pageviews.

1 comments
  
ไม่นึกอยากดู 21 Grams เลยตอนที่เข้าโรง แต่พออ่านแล้ว จะไปหามาดูหละ
โดย: นางสาวอาร์ต (นางสาวอาร์ต ) วันที่: 4 มกราคม 2549 เวลา:7:36:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ