Group Blog
All Blog
|
DESTINY Vol.2 No. 4 ตอนที่ 4 : งมหอยบนท้องฟ้า สอยดาวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังดวงอาทิตย์ ปรเมศร์ ลืมปรมิตาไประยะหนึ่ง โดยไม่เจตนา แต่เป็นความขี้ลืมมาแต่กำเนิด สำหรับเรื่องที่ไม่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเขามันมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าจดจำ, แหงล่ะ ถึงจะเป็นศิลปินซึ่งมีคอนเสปท์คือ ไส้แห้ง เขาจึงเพียรทำทุกอย่างให้ไส้เปียกด้วยความขยัน และขยัน ใครอยากจะไปคาร์เนกีฮอลล์ก็ไปโลด เพราะสำหรับเขา การได้ทำในสิ่งที่ชอบ นั่นคือความสุขที่สุดแล้ว เขาไม่ใช่หนึ่งในสิบศิลปินที่มีผลงานระดับชาติ แต่เขาเป็นหนึ่งในห้าร้อยของศิลปินระดับโลกที่จัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยศิลปะที่เขาเรียน เขากลับเมืองไทยเพราะกลัวดัง, ห่ะ- - ความดังเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะเขาจะทำตัวไม่ถูก เดินไม่ถนัด และยุ่งยากในการให้ศัพท์แต่ละคำหล่นออกจากปากแบบมีศิลป์ เขาจึงกลับบ้านเกิดและทำมาหากินแบบศิลปินหน้าตาดีทั่วไป โดยการเขียน 3 D เป็นงานอดิเรก แต่มันทะลึ่งได้เงินดีกว่าเขียนภาพสีน้ำมันขาย เขาเลยต้องจับมันเป็นอาชีพ แล้วเขียนรูปตามออเดอร์เป็นงานรอง สอนพิเศษสำหรับติวเอ็นทรานส์เข้าจิตรกรรมในวันเสาร์ เขาจึงไม่มีเวลาเหงาเป็นเรื่องเป็นราว... นอกจากบางครั้งจะติสท์แตก ก็แก้เหงาด้วยการโยนปะทัดลงไปในเรือหางยาวบ้าง ก็เท่านั้น... วันนี้นักศึกษาของปรมิตาขออนุญาตเลิกก่อนเวลาอีกแล้ว, เธอเข้าใจและยอมรับกับความอดทนของเด็กสมัยใหม่ในการเรียนหนังสือ ยิ่งโดยเฉพาะวิชาพื้นฐานที่พวกเขามองอย่างตื้นเขินว่า เป็นวิชาที่ถูกยัดเยียดให้เรียนโดยไม่ได้นำไปใช้ในหน้าที่การงานจริง เขาเรียนศิลปะไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนวิชาภาษาไทย เขาเรียนคอมพิวเตอร์และการออกแบบโปรแกรม ไม่ต้องใช้ภาษาไทย และภาษาไทยเป็นภาษาพ่อแม่มาแต่กำเนิด เรียนมาตั้งแต่ประถมยันมัธยมหก แล้วยังต้องมาเรียนอีกทำไม คำเป็นคำตาย อักษรต่ำ กลางสูง สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถเอาไปทำมาหากินอะไรได้... นั่นเป็นสิ่งที่ยุคสมัยได้สั่งสอนพวกเขาโดยไม่รู้ตัว รายงานทุกชิ้นที่นักศึกษาส่งมา ต้องมีมากกว่าสองแห่งที่ใช้ภาษาไทยผิด และผิดจนเธออยากจะดีดหน้าผากตัวเองที่สอนแล้วไม่มีใครจำ ไม่เอาไหนเรย... ให้ตายเถอะ, เขียนมาได้ เรย เรย เรย เธอกลับบ้าน ซึ่งก็คือคอนโดมิเนียมชานเมือง อาคาร 1 ชั้น 12 ที่เธอพักอาศัยอยู่นั่นเอง มีนกบางตัวส่งเสียงประหลาด มันร้องได้หลายเสียง และจังหวะการร้องของมัน ฟังไปก็เพลินดี เมื่อตัวหนึ่งร้องขึ้น อีกตัวก็ร้องตาม เมื่อตัวหนึ่งหยุดจะมีอีกตัวร้องขึ้น ปรมิตานั่งฟังเพลิน... เธอสังเกตว่าหลายวันนี้ไม่มีเสียงเรือหางยาวที่ดังแผดคุ้งน้ำหลังจากที่หลายวันก่อนเจ้าหนุ่มคนคัดท้ายบังคับเรือเข้าโค้งผิดจังหวะ ไปเสยเอารั้วไม้บ้านตรงข้าม เรือปีนขึ้นไปอยู่บนชานเรือน เจ้าของบ้านกำลังกินข้าว ต้องยกชามแกงหนีกันอุตลุต ไม่มีใครรู้สาเหตุ นอกจากสันนิษฐานกันว่าเจ้าหนุ่มนั่นคงเบรกผิดจังหวะเนื่องเพราะเพิ่งไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กับกลุ่มเด็กแว้นท์มา... วันนี้ปรมิตา ไม่อ่านเอนไซโคลพีเดียบริทานิกา แต่คิดสงสัยในเรื่องเล็กๆ อย่างวิชาที่เธอสอน เธอจบด้านบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศมา แต่กลับต้องมาสอนในสาขาภาษาไทยโดยยการฟันธงของหัวหน้าคณะว่า เรียนบรรณารักษ์มา ก็น่าจะสอนภาษาไทยได้ มันเป็นจังหวะปะเหมาะเคราะห์หาม เพราะอาจารย์สาขาภาษาไทยเพิ่งจะเกษียณอายุราชการไป และครูภาษาไทยนั้นหายากกว่าครูภาษาอังกฤษในยามนี้ เนื่องเพราะค่านิยมของการศึกษาบ้านเมืองเราทุกวันนี้ เน้นไปที่สาขาที่ตลาดต้องการ และหางานทำได้ชัวร์ สาขาภาษาไทยจึงถูกเมินหน้า ไม่มีใครเรียนก็ไม่มีใครจบมาเพื่อสอนในวิชานี้ แต่มันดันทะลึ่งเป็นวิชาพื้นฐานบังคับในหลักสูตรที่นักศึกษาปริญญาตรีทุกคนต้องเรียน... คราวแรกตอนที่เธอสอบเข้าทำงาน ก็เข้าไปในฐานะอาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ สาขาบรรณารักษศาสตร์อยู่หรอก แถมยังถูกส่งไปอบรมเสียดิบดีตั้งประเทศอิตาลี แต่ก็นั่นแหละ เธอมารู้ทีหลังว่ามันเป็นงบที่จำเป็นต้องใช้ให้หมดภายในปีงบประมาณ การส่งตัวอาจารย์ใปอบรม-ดูงานจึงเป็นข้ออ้างหลอกๆ เพื่อการผลาญงบประมาณชาติไปอย่างไม่น่าเกลียดเท่าใดนัก เท่านั้นเอง คราวนั้นเองที่ปรมิตาว่างจัดกับเวลาที่เหลือจากการอบรมแค่ไม่กี่ชั่วโมง เธอไปนั่งเป็นนางแบบให้ศิลปินวาดรูป เธอนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นวีนัส หรืออย่างน้อยเธอก็อยู่ในท่าเดียวกับวีนัส... ในตอนนั้นเธอเฮิร์ทจัด เพราะเพิ่งผิดหวังจากความรักซึ่งมันพังลงอย่างไม่เป็นท่า... ศิลปินเป็นคนไทย อาจารย์ที่ไปอบรมด้วยกันบอกว่าเป็นศิษย์เก่าและไปเรียนต่อโทที่นั่น...เธอไม่ได้คุยกับเขา ในอารมณ์นั้น เธอไม่อยากจะคุยกับใครมากไปกว่ากลืนกินความเศร้าให้หมดโลก เธอไม่ได้เอารูปกลับมาด้วย และเธอไม่ได้จ่ายเงิน, เมื่อถูกเรียกให้กลับไปที่รถ เธอผละมาพร้อมกับบอกว่า เดี๋ยวฉันกลับมา แต่แล้วเธอก็ไม่ได้กลับไป จนได้มาเจอรูปตัวเองอีกครั้งเมื่อผ่านไปล้วสองปี ในหอศิลป์นั่นแหละ ปรมิตานึกถึงเขา ปรเมศร์ นึกถึงเธอ... มันนึกถึงขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่มีอะไรเป็นแรงส่งให้คิด อาจเพราะเขาลืมไปสนิทถึงรูปนั้น แต่แล้วปรเมศร์ก็แกะรูปนั้นออกจากห่ออีกครั้ง แล้วเขาก็จัดแจงแสวงหา เสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวนั้น โชคดีที่มันยังอยู่ มันยังอยู่เพราะมันราคาแพงมากตอนซื้อ ราคาตีเป็นเงินไทยถึงแปดพันบาท ทั้งที่รู้ว่าประเทศไทยร้อนตับแตก แต่ความงกของเขาก็พามันกลับมา แล้วมันก็ได้ใช้จริงๆ แค่ต้องหาผ้าพันคอ และหมวกไหมพรม -- แต่เขาก็ต้องวางทุกอย่างลงอีกครั้งด้วยเหตุผลสองข้อคือ เขาไม่มีที่อยู่ของ ปรมิตา และเขายังทำใจไม่ได้ที่จะต้องตัดผม, ก็ผู้หญิงคนนั้นจำเขาไม่ได้ ขนาดยืนจ้องหน้าในหอศิลป์ปานจะกลืนกินขนาดนั้นเธอยังจำเขาไม่ได้อีก ถ้าจะให้เธอระลึกชาติได้ ก็มีทางเดียวคือ แอ๊บแบ๊วให้เหมือนเมื่อสองปีก่อน ตอนนั่งวาดรูปเธอที่อิตาลี - - แต่เขาไม่มีที่อยู่ของเธอ และเขาไม่อยากถูกหาว่าเป็นไอ้โรคจิต... คิดพึ่งอาจารย์พจน์เดี๋ยวก็โดนหาว่าเป็นพวกเดียวกันอีก หรือไม่ก็เอาไปบอกเธอว่าเขาชอบเธอ กำนัลด้วยการเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้อีก, อาจารย์พจน์ทำสำเร็จมาหลายรายและพังทลายไปหลายคู่ เขาไม่อยากเสี่ยง เลยคิดจะหาทางด้วยตัวเองดู สุดท้ายจึง ค้นคำว่า ปรมิตา ปรมินทรารักษ์ อีกครั้งในรายการผู้ใช้โทรศัพท์ขององค์การฯ นามสกุลนี้ปรากฎขึ้นมาสองบ้าน แต่ไม่มีชื่อของปรมิตา บางทีเธออาจจะเป็นผู้อาศัย ชื่อเจ้าของบ้านอาจเป็นพ่อของเธอก็ได้... หลังหนึ่งอยู่ประจวบคีรีขันธ์ และอีกหลังอยู่นราธิวาส เขาเลือก กดไปบ้านหลังที่หนึ่ง เอ่อ...ขอสายคุณปรมิตาครับ ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนย้อนถามกลับ ไม่ทราบว่าใครต้องการคุยสายด้วยคะ เสียงนั้นไม่ใช่เธอแน่ เพราะเสียงคราวแม่ ไม่เข้ากับหน้าตาของเธอต่อให้ป่วยไปเป็นมะเร็งหลอดคอก็เถอะ เมศร์ เอ่อ ปรเมศร์ เป็นเพื่อนเก่าครับ เขาเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันไว้... มิตา อยู่กรุงเทพฯ จ้ะ แล้ว เอ่อ พอจะมีที่อยู่บ้างมั้ยครับ คนปลายสายอธิบายถึงเส้นทาง ถนนที่เริ่มจากสายใต้ เข้าในเมือง ขึ้นสะพาน อ้อมโน่น ไปนี่ เขาจินตนาการและวาดภาพสถานที่ตาม...พอนึกได้คร่าวๆ แต่ยังมองภาพไม่ออกนัก ถ้าจะให้ชัดเจนต้องกลับมาละเลงภาพในหัวลงกระดาษ ขอบพระคุณมากครับ ดีดผลุงจากโทรศัพท์ไปที่กระดาษวาดรูป...ลากเส้นปาดไปมาตามคำบอกเล่าของป้าคนนั้น แล้วมันก็มาหยุดที่คอนโดมิเนียม 12 ชั้น อาคาร 1 ชั้น 12 เฮ่ย ป้าคนนี้...แม่มดป่าววะ แต่เมื่อนึก ตรึกตรองดีๆ แล้ว ทั้งหมดที่เขาทำมันเป็นการ สุ่ม อย่างไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะทะลึ่งเป็นบ้านเกิดของปรมิตาจริงๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองดูสักหน่อยจะเป็นไรไป ถ้าไม่ใช่ก็แค่โดนป้าแกอำเล่น แต่ถ้าใช่ก็เหลือเชื่อมากๆ โลกมันกลม หรือพรหมลิขิตก็เลือกคิดกันเอาเอง ปรเมศร์ มองตัวเองในกระจก แล้วรำพึง คนห่ะ...อะไรวะ หล่อเป็นบ้า เขาลงไปที่ร้านทำผม สั่งช่างตัดให้เหลือแค่บ่า แต่ขณะที่ช่างกำลังลงกรรไกรแล้วก็เปลี่ยนใจ... ไม่ตัด, เจ้าของร้านมองค้อน เขายิ้มให้... เดินไปที่อาคาร 1 กดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 12 และเดินหาห้อง 1210 เขากดกริ่ง สองครั้ง แล้ววิ่งไปหลบเข้าลิฟท์ไป... ถ้าคนที่โผล่ออกมาเปิดประตูไม่ใช่ปรมิตา เขาจะทำยังไง เขาอาจจะโดนเคาะกบาล หรืออาจโดนด่า ไอ้โรคจิต คิดได้เท่านั้น ก็กดลิฟท์ลงไปยังชั้น 1 เดินกลับไปที่อาคาร 6 ปรมิตาออกมาเปิดประตูเพราะได้ยินเสียงกริ่งสองครั้ง ไม่เห็นใคร เธอบ่นกับตัวเอง ไอ้โรคจิต อ่านจบหมดแล้ว
“ไม่เอาไหนเรย...”--> เดี๋ยวนี้เห็นกันเกลื่อนเลย แต่เป็นภาษาเอ็มเอสเอ็น แบบว่าตั้งใจให้ผิด เคยเห็นคนใช้ภาษานี้เขียนนิยายก็มี อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนปัญญาอ่อน ตอนนี้พอเจอภาษานี้เข้าไปก็ไม่อ่านเลย ถ้าพระเอกมันยอมโดนด่าต่อหน้าซักนิด คงได้เจอปรมิตาไปแล้ว เลยโดนด่าฟรีเลย โดย: น้องเก้อ IP: 222.123.120.200 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:18:44:15 น.
|
ดาริกามณี
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?] Just Do it : * มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้ * เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์ รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้) ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้) ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้) ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี) * เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์ * เป็นแฟน คาราบาว * เป็นกิ๊ก เฉลียง * ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง * การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต * หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส, รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ Friends Blog
|
เดี๋ยวต้องไปอ่านอย่างละเอียดอีกที
แต่ " ปรมิตาเพราะออกมาเปิดประตูเพราะ" ---> ตัดเพราะแรกออกนะป้า