|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
22 เมษายน 2549
|
|
|
|
ไปโบสถ์แล้วมาจบลงที่เรื่องชื่อสนามบิน
อย่างที่เล่าในเรื่องต้น ๆ ว่าคนที่นี่เคร่งศาสนามาก (ถึงจะเคร่งแบบแปลก ๆ ก็เหอะ) วันอาทิตย์ น่ะ จะต้องมาโบสถ์กัน อาทิตย์หนึ่ง ๆ แต่ละโบสถ์ทำพิธีมิซา (Mass) ซ้ำ ๆ ไม่ต่ำกว่า 4-5 รอบ รอบละ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาทีโดยประมาณ แล้วแต่ละรอบอ่ะ เต็มแน่นเอี๊ยดล้นหลามออกมาข้างนอก อุ้มลูกจูงหลานกันมา เด็กแรกเกิดก็มี เห็นแล้วกลัวแทนว่ากลับไปเด็กจะไม่สบาย นี่ ๆ ดูรูป (อันนี้น้อยแล้วนะเพราะเป็นรอบใกล้เที่ยง)
ไม่ใช่มีแต่วันอาทิตย์นะคะ วันธรรมดาก็มีวันละรอบสองรอบ บ่าย ๆ หนนึง เย็น ๆ หนนึง กะดักคนทุกทิศทุกทางเลยทีเดียว แล้วก็ไม่ใช่โบสถ์อย่างเดียวนะที่มีมิซา ตามศูนย์การค้าก็ต้องจัดพื้นที่ให้ทำพิธีกัน ถ้าไม่จัดคนก็คงไปโบสถ์กันหมด ศูนย์การค้าก็คงโหรงเหรงน่าดู แล้วที่ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ อ่ะ ก็มีคนมาร่วมพิธีเยอะพอ ๆ กับในโบสถ์เหมือนกัน บางแห่งก็มีอาทิตย์ละหลาย ๆ รอบด้วย
เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน เป็นวันอาทิย์ก่อนอีสเตอร์ เขาเรียก Palm Sunday คือเป็นวันที่พระเยซูเสด็จกลับเข้าเมือง ประชาชนก็ยินดีปรีดาพากันไปโบกใบปาล์มต้อนรับ ที่นี่เขาก็เลยมีการจำลองเหตุการณ์เข้าโบสถ์ไปโบกใบปาล์มต้อนรับพระเยซูกันบ้าง ใบปาล์มนี่บางคนก็เอามาจากบ้านเป็นก้านมะพร้าวก้านปาล์มที่มีใบเป็นแนวติดอยู่ บางคนก็ถักสานใบปาล์มของเขามาอย่างสวย ของเราซื้อมาจากหน้าโบสถ์นั่นแหละ เขาประดิษฐ์มาสวยดีเหมือนกัน อันละ 10 เปโซ หน้าตาเป็นงี้...
เมื่อตอนเอาไปโบสถ์กันมันจะยังเขียวอยู่ ตอนนี้แห้งแระ
โบกใบปาล์มเสร็จแล้วเขาก็เอามันกลับมาบ้านด้วย ถือกันว่าใบปาล์มที่เอากลับมานี้จะช่วยปกป้องเราได้ ใช้ขับไล่ภูตผีปิศาจก็ได้ เมื่อปีก่อนเราไม่อยู่บ้าน กลับมาเจอไอ้ใบนี้แห้งเกะกะกลางบ้าน แม่เอาทิ้งหมด เพิ่งทราบอ่ะค่ะ มิน่าคนที่บ้านทำหน้าแปลก ๆ 555
กลับมาหมาด ๆ ก็สงสัย คือตามประวัติ พระเยซูเข้าเมืองมาได้อาทิตย์นึงก็ถูกจับตรึงกางเขน เราก็สงสัยว่าเอ่อ เรารู้แล้วง่ะว่าถ้าท่านมาท่านจะถูกประหาร ทำไมยังเอาใบปาล์มไปโบกต้อนรับกันอีก คนสมัยก่อนเขาโบกเพราะเขาไม่ทราบว่าท่านมาแล้วท่านจะถูกจับ แต่คนสมัยนี้ทราบแล้วนี่ ทำไมไม่ไปโบกว่าอย่ามา คิด ๆ ไปก็นึกไปถึงนายนินอย อาคีโน (Benigno "Ninoy" Aquino) อดีตผู้นำฝ่ายค้านสมัยประธานาธิบดีมาร์คอส
นายมาร์คอสนี่ก็เหมือนกับผู้นำเผด็จการอื่น ๆ ในสมัยยุค 60-70 คือมีอเมริกัน (เอ๊ย ชาติมหาอำนาจ) หนุนหลัง ครองอำนาจอยู่ยี่สิบปีเห็นจะได้ ใครค้าน ใครต้าน พ่อเก็บหมด ปัญญาชนอือกันขึ้นมาเมื่อไหร่กประกาศกฎอัยการศึก ประชาชนจำนวนมากที่ด้อยการศึกษาเห็นประเทศเจริญรุ่งเรืองมีตึกมีถนนมีสะพาน มีฝรั่งเข้ามามาก ก็หลงคิดว่าท่านผู้นำนั้นดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง จึงไม่เห็นด้วยกับฝ่ายที่คัดค้าน หาทราบไม่ว่าท่านผู้นำเล่นยักย้ายถ่ายเทสมบัติของชาติเป็นว่าเล่น ถมทะเลก็ให้คุณหญิงฯจับจองที่ก่อน แล้วออกโฉนด สร้างถนนก็ให้บริษัทญาติพี่น้องประมูลได้ คำสั่งของท่านเป็นประกาศิต ห้ามคัดค้าน เมื่อตัวพ้นตำแหน่งไปแล้วนั่นแหละเรื่องจึงแดงว่าครอบครัวท่านร่ำรวยเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ล้าน แต่ประเทศเป็นหนี้เป็นสินใช้หนี้กันมาตั้งแต่ปี 80 กว่า ๆ ที่ท่านลี้ภัยไป ป่านนี้ยังไม่หมด ห้าหกปีก่อนหลังงานศพท่านไม่นาน คุณหญิงของท่านยังจัดงานวันเกิดในโรงแรมใหญ่กลางเมืองอยู่เลย ไม่จ๋อยสักนิดเดียว ข่าวว่าใบเสร็จโรงแรมเฉพาะงานนั้นก็ครึ่งล้านกว่า ๆ นิดหน่อยเอง
นายนินอยนี่ก็เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นเหมือนกัน ตอนหลังถึงกับต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ตอนนี้อดสงสารครอบครัวที่แตกแยกไม่ได้ ลูกสาวทางฟิลิปปินส์โตขึ้นมาอย่างขาดพ่อ ตอนนี้อายุสี่สิบกว่า เป็นคนดังในวงการบันเทิงและไฮโซ แต่ยังมีข่าวรักสามเศร้ากับชายสูงอายุอยู่เนือง ๆ คงมีความรู้สึกขาดพ่อนั่นเอง นางอาคีโนผู้เป็นแม่เล่าว่าแต่ก่อนคริส (ลูกสาว) นอนกับแม่ตลอด เมื่อมีข่าวว่าพ่อจะกลับมาจากลี้ภัย ลูกก็ถามแม่ว่าแล้วพ่อกลับมาจะนอนที่ไหน คือไม่เคยมีพ่ออยู่มานานแล้ว นึกภาพไม่ออกนั่นเอง ได้อ่านสัมภาษณ์นางอาคีโน กับสัมภาษณ์คริสที่ผิดหวังเรื่องความรักครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วเศร้าจับใจ มีครั้งหนึ่งที่แม่ลูกกอดกันกลางงานแถลงข่าว คริสร้องไห้โฮได้แต่พูดว่า มามี่ ไอแอมซอรี่ ๆ เพราะแม่ก็เตือนหลายครั้งแล้ว แต่นั่นแหละ เรื่องความมีปมอย่างนี้แก้กันลำบากอ่ะเนอะ น่าเห็นใจ
ย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้งนึ่ง เมื่อนายนินอยจะกลับจากลี้ภัย มีคนเตือนแกหลายคนว่าอย่ามา ถ้ามาโดนเก็บแน่เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมาร์คอสกำลังขาดความเชื่อมั่น แล้วที่ว่ายอมนิรโทษกรรมเนี่ยน่าจะทำไปเพราะถูกบีบคั้นทางการเมืองมากกว่า หรือไม่ก็เป็นกลลวง แต่แกก็อยากจะกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในฟิลิปปินส์อีก เพราะ "The Filipino is worth dying for" ยอมตายเพื่อชาวฟิลิปปินส์ ว่างั้นเหอะ
แล้วมันก็เป็นจริง เมื่อเครื่องลงจอด นายนินอยเดินลงบันไดมา ยังไม่ทันได้เหยียบแผ่นดินเกิด หรือลงจูบพื้นให้ายคิดถึง เสียงปืนก็ดังขึ้นสองนัด นินอย อาคีโน ทรุดฮวบ ขาดใจตายทันที
เหตุนี้ทำให้เกิดคำถามในใจของประชาชนทุกคนไม่ว่ารวยรือจน ฉลาดหรือโง่ ใครฆ่านินอย ที่สนามบินเนี่ยะนะ มันต้องไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว มีค่ะ มีการจับกุม แต่ก็มีการตายหรือหายตัวอย่างลึกลับ ของผู้ที่น่าจะเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้ประชาชนชักไม่ค่อยอยากจะเชื่อมั่นในตัวท่านผู้นำแล้ว พวกเหล่าทัพก็ชักจะแปรพักตร์ เมื่อมีการสนุบสนุนให้ภรรยาม่ายของนินอยลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีใน 2 ปีต่อมา (หลังจากไม่มีการเลือกตั้งมาเสียนาน หรือถึงมีท่านผู้นำก็ "นอนมา" ตลอด) และมีเหตุโกงการเลือกตั้งอย่างโจ๋งครึ่ม จึงทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่นายมาร์คอส เหตุการชุลมุนวุ่นวายแต่ไม่นองเลือดเพราะเหล่าทัพหันมาเข้าข้างชาวบ้าน เขาส่งคอปเต้อร์มายิงกราดฝูงชน นายคนขับเอาคอปเต้อร์ไปรวมกับฝูงชนเสียนี่ ตอนหลังพี่เบิ้มอเมริกา เลยต้องออกโรง (อ้าว ถ้าน้ำมันลดตอมันก็ต้องผุดด้วยกันนั่นแหละ) โดยการเชิญนายมาร์คอสและครอบครัวไปลี้ภัยที่ฮาวาย เห็นว่าสู้รบตบมือไม่ได้แล้ว นายมาร์คอสก็ต้องไป ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1986 สามปีหลังจากที่นายนิยอย อาคีโนถูกสังหารอุกอาจกลางสนามบิน แล้วนางคอราซอน หรือคอรี่ อาคีโน ภรรยาม่ายของนินอยก็สาบา่นตนเข้ารับตำแหน่งท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนทั้งประเทศ
คำกล่าวที่ว่า "The Filipino is worth dying for" ของนินอยกลายเป็นประโยคอมตะ รูปของเขาและวาจาอมตะนี้ได้รับการพิมพ์ลงบนด้านหน้าของธนบัตรใบละ 500 เปโซ ชื่อของเขาก็ยังได้รับการนำไปตั้งเป็นชื่อสนามบินประจำกรุงมะนิลาอีกด้วย Manila International Airport (MIA) เดิม จึงกลายเป็น Ninoy Aquino International Airport (NAIA - ออกเสียงว่า "ไนยะ") ไปในที่สุด
ที่กลางเมืองมะนิลาในย่านมากาติ มีอนุสาวรีย์นายอาคีโนตั้งอยู่ด้วย เสียดายที่ผู้เขียนดูยังไง ๆ ก็รู้สึกว่านายสองคนข้างหลังกำลังผลักนายอาคีโนแทนที่จะเป็นการประคองอ่ะ เข้าใจว่านี่คือวินาทีที่เขาถูกยิงค่ะ
อ่านรายละเอียดเรื่องวันสุดท้ายของมาร์คอสในแผ่นดินเกิดที่นี่ค่ะ สนุกดี //stuartxchange.com/DayFour.html
อ่านมาถึงนี่สงสัยใช่ไหมล่ะว่าเขียนเรื่องโบสถ์ ไหงมาจบที่การเมือง ก่อนอื่นนะคำกล่าวที่ว่าศาสนาไม่ยุ่งการเมืองนั้นใช้ไม่ได้ในประเทศนี้ ไม่งั้นการหย่าจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่จนบัดนี้รึ ในประวิติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ถ้าผู้นำศาสนาลุกขึ้นมาไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อนั้น เรื่องนายมาร์คอสกับนายเอสทราด้าที่โดนขับไล่เมื่อปี 2001 ก็เข้าข่าย นายเอสทราด้านั้นตะแรกก็เอาใจฝ่ายศาสนาโดยออกมาต่อต้านการคุมกำเนิดโดยอ้างว่าตัวเองเป็นลูกคนที่แปดของครอบครัว ถ้าพ่อแม่เขาคุมกำเนิด เขาก็คงจะไม่ได้เกิดมา ภายหลังฝ่ายศาสนาคงเห็นว่าไม่มีนายเอสทราด้าจะดีกว่า เลยออกมาร่วมขับไล่ 555
ทีนี้ก็เลยอยากเปรียบเทียบ เปล่าค่ะ ไม่ได้เปรียบเทียบนายอาคีโนกับพระเยซู แต่เห็นว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้คล้ายกันตรงที่ว่าเป็นชนวนใหญ่ให้เกิดจุดเปลี่ยน ถ้าพระเยซูไม่ถูกจับตรึงกางเขน ประชาชนก็คงยังไม่เกิดศรัทธา ความผิดบาปของมนุษย์ก็จะไม่ได้รับการไถ่ถอน (ตามคติคริสต์) ถ้านายอาคีโนไม่ถูกสังหาร ไม่ทราบว่าอีกนานเท่าไหร่ คนถึงจะรู้ธาตุแท้ของผู้นำที่เขาชื่นชมบูชา ทั้งนินอยและพระเยซูต่างก็พอจะทราบชะตากรรม แต่ก็ตัดสินใจมา แล้วนี่ก็คงจะเป็นคำตอบว่าทำไมนะ เมื่อเรารู้แล้วว่าพระเยซูเข้าเมืองเมื่อไหร่จะถูกจับ แต่เราก็ยังไปโบกใบปาล์มต้อนรับท่าน (เอ... หรือเปล่าก็ไม่รู้.... คิดขึ้นเองอ่ะค่ะ)
Create Date : 22 เมษายน 2549 |
Last Update : 12 สิงหาคม 2549 16:14:27 น. |
|
4 comments
|
Counter : 798 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: Malee30 วันที่: 22 เมษายน 2549 เวลา:17:12:45 น. |
|
|
|
โดย: กาโม่จัง IP: 61.23.117.113 วันที่: 20 มิถุนายน 2549 เวลา:3:46:06 น. |
|
|
|
โดย: lara IP: 114.128.119.15 วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:10:27:52 น. |
|
|
|
โดย: lara IP: 114.128.119.15 วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:10:29:50 น. |
|
|
|
| |
|
|
proudtobethai |
|
|
|
|