ถนนสายนี้...มีตะพาบ 149.เปลี่ยนปมด้อยให้เป็นปมเด่น
เปลี่ยนปมด้อยให้เป็นปมเด่น
มีน กุสุมาเขียนคำ
คืนหนึ่งในห้องๆหนึ่งภายในห้องมีเพียงแสงเทียนวับแวมแม้แสงเทียนจะน้อยนิด แต่ภายในห้องที่มืดมิด ก็ทำให้มองเห็นใบหน้าชายหญิงที่มานั่งล้อมวงได้อย่างชัดเจน หมดเวลาสำหรับการทำความรู้จักกันแล้วประตูทางด้านทิศตะวันตกเปิดกว้าง
ชายในชุดเขียวจางๆปรากฏขึ้น ทำให้เสียงกระซิบกระซาบหยุดลง ทุกคนหันมาสนใจผู้ที่เข้ามาใหม่ ผมกล่าวสวัสดีและแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทำความรู้จักกันแล้วใช่ไหมฮะทุกคนยิ้มและพยักหน้า ต่อไปนี้ผมอยากให้ทุกคนเขียนเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของตัวเอง นายหรั่งที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดพูดขึ้นว่า เขียนเพื่ออะไรครับ ระหว่างรอคำตอบเขารับกระดาษและดินสอส่งต่อให้เพื่อนๆ
มันคือการทำความรู้จักตัวเองทั้งมุมมืดและมุมสว่าง ทั้งปมเด่นและปมด้อย เพื่อพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขปมด้อยและพัฒนาปมเด่นให้ดียิ่งๆขึ้นไป คือหนูเขียนไม่ค่อยเก่งค่ะสาวน้อยอายุประมาณยี่สิบต้นๆกล่าวเบาๆด้วยความเขินอาย เขียนแบบที่เราเขียนจดหมายก็ได้ครับ เขียนแบบที่เราพูดคือคุณอยากพูดอะไร อยากเล่าอะไรก็ถ่ายทอดออกมาให้เหมือนกับที่เราคุยกันลองทำดูก่อนฮะ เขียนไปเถอะฮะถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในสมอง ออกมาเป็นตัวหนังสือ คิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้นผมจะอ่านสักหนึ่งตัวอย่าง กระดาษสีขาวที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวถูกดึงออกมาจากแฟ้ม
ผมชื่อนายอนุรักษ์(นามสมมติ)เป็นลูกคนสุดท้องขณะที่เขียนผมอายุแปดสิบสองปีแล้ว มีพี่น้องทั้งหมดหกคนคุณแม่ตายตั้งแต่ผมอายุได้สามเดือน ในสมัยนั้นยังไม่มีนมผงสำเร็จรูปผมโตมากับแม่นมภายในหมู่บ้าน คือพ่อกับพี่ๆจะอุ้มผมไปกินนมคนโน้นทีคนนี้ทีอดบ้างอิ่มบ้าง เพราะแม่นมเขาก็มีลูกเล็กๆเหมือนกัน พออายุได้แปดขวบคุณพ่อก็จากไปอีกคนด้วยโรคมาลาเรีย หรือที่คนเก่าๆเรียกว่าไข้ป่า จุดเด่นจากการเป็นลูกกำพร้าคือผมเป็นคนขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ ไม่ชอบพึ่งพาใคร ไม่เคยทำตัวเป็นภาระของใคร อะไรทำด้วยตัวเองได้ก็จะลงมือทำด้วยตัวเอง ผมไม่มีวัยเกษียณมีเงินเข้ากระเป๋าทุกวัน เพราะความไม่หยุดนิ่ง ร่างกายจึงแข็งแรง ข้อด้อยของผมคือไม่มีความสุข เพราะภายในใจก็ยังหวังคำชื่นชม และคิดว่าทุกคนจะตอบแทนในการทำตัวดีของผมโดยไม่ต้องร้องขอ การทำความดีเพื่อให้คนอื่นเมตตาสงสาร แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างจะค้านกับความรู้สึกตัวเองก็ตาม ผมเป็นคนพูดน้อยชอบเก็บกดความต้องการของตัวเองเอาไว้ ข่มใจถ่อมตน เจียมเนื้อเจียมตัว จึงถูกเอารัดเอาเปรียบเพราะปล่อยให้ผู้อื่นมีอำนาจตัดสินใจอยู่บ่อยๆ เพราะความที่เคยอยู่อย่างผู้อาศัยมาก่อน คำว่าไม่เป็นไรจึงเป็นวลีติดปาก สำรวมวาจาไม่มีปากมีเสียงกับใครๆ ไม่กล้าจัดระเบียบในบ้านอยู่ในอาณัติของภรรยาและญาติๆ พอภรรยาจากไปก็อยู่ในอาณัติของลูกชาย ไม่กล้าคัดค้าน ไม่กล้าแสดงความต้องการ เป็นผู้อาศัยที่ดีทั้งๆที่ตัวเอง เป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่กล้าไปหมดทุกสิ่งอย่าง ทุกคนคงคิดว่าเป็นคนแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วผมก็คิดว่าอย่างนั้น แต่ทำไมผมไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกสาวคนโตของผมพูดว่าอย่างที่พ่อทำอยู่นี่เขาเรียกว่าปิดกั้นตัวเอง พ่อไม่เคยแสดงความอ่อนแอและเปิดโอกาสให้คนอื่นช่วย และไม่เคยปกป้องตัวเองเลย ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาจัดระเบียบชีวิตแสดงความจำนนด้วยการยอม ด้วยคำพูดที่ว่าอะไรก็ได้ แล้วมารู้สึกหม่นหมองเมื่อสิ่งนั้นมันขัดกับความต้องการของตัวเอง ใครจะรู้ใจใครได้ทั้งหมด พ่อคาดหวังเกินไป แทนที่จะสื่อสารออกมา หยุดคาดหวังว่าคนอื่นจะตอบสนองความต้องการโดยไม่ต้องปริปากบอก ถามใจตัวเอง หัวใจบอกว่าอะไร ลองตามใจตัวเองสักครั้ง ทำตามความรู้สึกตัวเองกล้าที่จะร้องขอและบอกความรู้สึกตัวเองออกมา แล้วพ่อจะมีความสุขมากขึ้น
นับตั้งแต่วันนั้นผมตื่นจากความฝัน บ้านก็เป็นบ้านที่ผมสร้างมากับมือ เงินผมก็หาได้ไม่ได้ขอใครสักเฟื้องสลึง ที่ผ่านมาผมหวังได้รับคำชื่นชมจากลูกชายหัวโปรด หวังให้เขาทำอะไรๆโดยไม่ต้องร้องขอ คล้ายเด็กๆทำตัวดีต้องได้รับรางวัล การทำความดี แต่ไม่มีใครเห็นจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
ผมลดกระดาษในมือลง ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ คุณภิญโญที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สรุปว่าคุณลุงต้องแก้ไขปมด้อยยังไงครับผมไม่เข้าใจ คุณช่วยขยายความอีกรอบได้ไหมครับ
ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่มกระแอมเบาๆ
คุณลุงท่านนี้แกมีศักยภาพเต็มร้อยคือเป็นคนเก่งมีปัญหาอะไรก็แก้ไขเองตลอด ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น เข้ามาร่วมในแผนการเลยจึงรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนตัวคนเดียว จุดเด่นคือความเป็นมิตร มีความน่าเชื่อถือมีความซื่อสัตย์ ไว้เนื้อเชื่อใจได้ แกจึงเป็นคนที่ไปไหนก็มีแต่คนยอมรับนับถือในวัยแปดสิบสองปีแกทำงานหาเงินได้ เป็นที่พึ่งพิงของทุกคนได้ไม่ต้องเป็นภาระให้ใครต้องเลี้ยงดู ร่างกายภายนอกก็ดูสมบูรณ์แข็งแรงดีปั่นจักรยานทางไกลได้สบายๆ แต่ขาดความมั่นใจในตัวเองแก้ไขเพียงหยุดหนีปัญหา มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น ฝึกเผชิญหน้าด้วยเหตุผลและหยุดคาดหวังการชื่นชมจากผู้อื่น หันกลับมาชื่นชมตัวเอง และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือบ้างในบางโอกาส ไม่ใช่เก่งไปเสียหมดทุกสิ่งอย่าง ทำแค่นี้เหรอครับ มันง่ายเกินไปหรือเปล่า คุณแจ็คที่นั่งถัดไปกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยผมขยับตัวเล็กน้อย หยุดให้ทุกคนช่วยคิด เสียงส่วนใหญ่บอกว่า มันยาก ที่จะเปลี่ยน ก็มันทำจนเกิดเป็นความเคยชินไปแล้ว ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด
การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก มันอาจยากในตอนแรก แต่เชื่อเถอะมันไม่ยากเกินไป นั่นขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าคิดที่จะเปลี่ยนแปลงไหม สิ่งแรกคือต้องเชื่อ เชื่อว่าเราเปลี่ยนแปลงได้คือถ้าเสียงในหัวบอกว่า มันยากเกินไป ผมทำไม่ได้ ให้ลงมือทำในทันที ไม่นานเสียงในหัวที่คอยบงการจะค่อยๆสงบลง และคุณจะทำได้จนน่าแปลกใจ
บทสนทนาจบลงแล้วผมเปิดไฟสว่าง ทุกคนต่างลงมือเขียน ตัวละครแต่ละตัวกำลังโลดแล่น บนแผ่นกระดาษ ผมเดินออกจากห้อง ไปสูดอากาศตรงริมระเบียงละครชีวิตอีกเรื่องกำลังจะเริ่มในวินาทีถัดไป ................................................................................ แอมอร
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2559 |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2559 13:14:40 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1610 Pageviews. |
|
|
ถ้าให้คนเราเขียนข้อเสียของคนอื่น
เราจะเขียนได้ง่ายมากเลย 555
แต่พอให้เขียนข้อเสียของตัวเอง
กลับเขียนยากซะงั้น