1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
สมองต้องดูแล
หลังจากหายจากอาการแพนิค ได้เป็นที่ปรึกษากลายๆของหลายๆคน ทั้งผู้ที่มีอาการหดหู่ซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ และผู้ที่มีความเครียดต่างๆ คนไทยไม่นิยมไปหานักจิตบำบัด ชอบไปหาหมอดูซะมากกว่า ไปเจอหมอดูที่เห็นแก่เงินทอง ขอบอกว่าอันตรายมาก ญาติๆกัน เจอไปหกพันทอนหนึ่งบาท ห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายก็เจอหลอก คนเราชอบซ้ำเติมกันในวันที่จิตตกอย่างแรง ฉันหาโอกาสที่จะอธิบายให้เข้าใจ ว่าอาการแแบบนี้ไม่ใช่ผีเข้า เราสามารถรักษาได้ ทำให้ฉันสนใจเกี่ยวกับสมอง ศึกษาจากหนังสือบ้าง จากผู้รู้บ้าง และเข้ารับการอบรม กับ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จึงทำให้ได้รู้ว่าสมองสำคัญมากเพียงใด . . .ในห้องไอซียู
เด็กสาวนอนแน่นิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทรามาร่วมสองเดือน คุณหมอบอกว่าแม้หัวใจของเธอจะเต้นอยู่ แต่สมองของเธอก็ไม่ยอมทำงานแล้ว สรุปว่าเธอได้ตายไปแล้ว แต่บรรดาญาติก็ยังทำใจไม่ได้ ยื้อเอาไว้ เพราะยังมีความหวัง ว่าสักวันหนึ่งเธอจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย คล้ายที่เขานิยมนำมาเป็นพล๊อตเรื่องในนิยายและภาพยนตร์ เช่น นางเอกนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา เพื่อตามหารักแท้ คุ้นๆว่าเคยอ่านนิทานด้วย อืม..เจ้าหญิงนิทรา
มาว่ากันต่อ ก่อนที่จะยืดยาวนอกเรื่องไปไกล
สมองเป็นจุดศูนย์กลางของกองบัญชาการใหญ่ ส่งถ่ายเชลล์ประสาทส่งออกไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ส่งผ่านความรู้สึกร้อนหนาว เสียวซ่านและ เจ็บปวด เหตุผลก็เพื่อให้เรารักษาร่างกายเอาไว้ให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปหากไม่รู้สึกเจ็บปวด วันดีคืนดีในระหว่างทำกับข้าวมื๊อค่ำ อาจไม่รู้ว่าทำนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายหายไปไหน ก็มันมืดและไม่รู้สึกเจ็บด้วย ตักอาหารใส่ปากอีกครั้ง มาอยู่ในชามแกงนี่เอง บรื๋ย
. ฉันคิดว่าเชลล์ประสาทคงจะคล้ายกระแสไฟฟ้า ที่นำพาให้ร่างกายขับเคลื่อนมีระบบประสาทที่แบ่งงานกันทำ ในยามตื่นมีระบบประสาทปกติที่เราควบคุมได้ ในยามหลับมีระบบประสาทอัตโนมัติ ทำงานเองโดยไม่ต้องสั่ง ด้วยสมองอันปราดเปรื่องของฉัน ปรกติฉันมักจะบอกว่าด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของฉัน แต่วันนี้ฉันไม่อยากใช้คำนี้ ฉันขอใช้คำที่ดูดีเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกปึ๋งปั๋งฉลาดขึ้นมาเป็นกอง นี่ก็เป็นวิธีทำให้สมองรู้สึกดีเช่นกัน แฮ่.. ต่อเลยคือฉันคิดว่าคนเราน่าจะมีสมองแบบกึ่งอัตโนมัติเพิ่มมาอีกอย่าง หากมีเพียงสองอย่างฉันคงตายไปแล้ว เพราะระบบประสาทอัตโนมัติของฉันมันรวนตอนที่ฮอร์โมนลด ระบบประสาทกึ่งอัตโนมัติ คงจะเข้ามาช่วยบ้างละน่า ที่ผ่านมาฉันจึงไม่ต้องสั่งเองไปทุกเรื่อง เขาน่าจะผลัดกันทำงาน มันน่าอัศจรรย์จริงๆลองคิดดูเล่นๆหากสมองของเราหยุดทำงาน แหล่งกำเนิดไฟฟ้าไม่จ่ายกระแสไฟจะเกิดอะไรขึ้น คงคล้ายๆรถที่จอดตายอยู่ในอู่ คนไม่ใช่รถจะได้ยกเครื่องยนต์มาใส่ใหม่ สิ่งที่ทำได้คือรอวันชักปลั๊กออก เขียนมาถึงบรรทัดนี้ทำให้นึกถึงภาพยนต์เรื่องแมทริก คนแต่ละคนก็มีปลั๊กเป็นของตัวเอง ชักออกเมื่อไหร่ก็ตาย ในทางศาสนาเรียกกระแสไฟชนิดนี้ว่า วิญญาณ ฉันคิดว่าอย่างนั้น ใครคิดต่างก็ไม่ว่ากัน เมื่อถูกชักปลั๊กออก กระแสไฟก็กลับคืนไปอยู่ที่จุดกำเนิด จุดกำเนิดของพลังงาน น่าจะคือจักรวาล หรือที่ในหลายๆศาสนาเรียกว่าสวรรค์ เป็นตุเป็นตะนะเรา แฮ่ม..แต่วินาทีนี้ที่ฉันกำลังเขียน ฉันคิดว่าใช่และมีความเป็นไปได้สูง วินาทีอื่นไม่รู้อาจคิดต่างไปก็ได้ต่อ ต่อ ต่อ
.. ต่อมาก็วิ่งสิ ไม่ช่าย...เรามาว่ากันต่อ.... ใครจะถูกชักปลั๊กก่อนใคร ขอให้เป็นเรื่องของวันอื่นเถอะ ตอนนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ฉันจะดูแลและทำอย่างตั้งใจ แต่ไม่กังวลไปที่ผลลัพธ์ ยังไงเขียนไปงงไป คือ เมื่อเราทำเต็มที่แล้วมันต้องออกมาดี ฉันเชื่ออย่างนี้นะ หรือออกมาไม่ดี ก็ช่างมัน ทำเต็มที่แล้วกัน ต่อไปนี้คือวิธีที่ฉันนำมาใช้ในการดูแลสมองค่ะ จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) อ่านเสร็จก็ลงมือทำเลยนะคะ ทุกสิ่งสามารถปฎิบัติได้ในทันที เช่นขณะนี้ฉันกำลังบันทึกไดอารีอยู่ ฉันบันทึกใส่ไว้ในสมุดด้วยปากกาค่ะ เพราะพกพาสะดวก มีเวลาก็มานั่งพิมพ์ บอกแล้วไงฉันเป็นนักเขียน ฮาฮา จิบน้ำบ่อยๆมีผลพลอยได้ คืออาการท้องผูกเรื้อรังหายไป นั่งสมาธิไมเกรนก็หายไปด้วย แต่ฉันไม่ค่อยได้นั่งเป็นเรื่องเป็นราว หายใจยาวๆด้วยการเล่นโยคะ นั่นก็พอที่จะชดเชยกันได้ เพราะได้ทั้งยืดหยุ่นเส้นสายและได้สมาธิไปพร้อมกัน เหลืออะไรอีก อ้อ...อภัยให้ตัวเอง คนเราบางทีทำไปแล้ว ก็มานั่งคิดรู้สึกผิด ไม่น่าทำเลย แต่ก็ทำไปแล้ว เรียกคืนไม่ได้แล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว หวนคิดทีไร ได้แต่เจ็บใจตัวเอง อภัยให้ผู้อื่นยังทำได้ กับตัวเอง ก็ต้องอภัย อย่าปล่อยให้ความรู้สึกทิ่มแทงใจเพราะจะทำให้เชลล์สมองเสื่อม หากปล่อยให้ความทุกข์แช่นานเกิน มันอันตรายและน่ากลัว เผลอๆอาจจำแฟนตัวเองไม่ได้ หรือไม่ก็ลืมไปว่ามีแฟนแว้ววว ฮี่ ฮี่ วันนี้วันหยุดฉันมีหน้าที่ต้องพาสมองไปกินไขมันดีดีที่อื่นดูบ้าง กินน้ำมันปลา ทูน่าและปลากระป๋องมาหลายวัน ไปชิมอาหารอร่อยๆนอกบ้านได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ได้ใช้เส้นทางที่ต่างออกไป เอาใจสมองกันสุดๆ (จริงๆเป็นข้ออ้าง
อยากเที่ยว) ฮา ฮา ไว้กลับมาแล้ว จะเล่าให้ฟังค่ะ แอมอร
Create Date : 16 มิถุนายน 2555
16 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2555 7:45:23 น.
Counter : 1971 Pageviews.
โดย: อุ้มสี 16 มิถุนายน 2555 21:14:34 น.
โดย: phaclam 16 มิถุนายน 2555 22:15:46 น.
โดย: AppleWi 16 มิถุนายน 2555 23:41:51 น.
โดย: pantawan 18 มิถุนายน 2555 0:49:57 น.
โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2555 6:07:35 น.
โดย: SongPee 18 มิถุนายน 2555 6:32:07 น.
โดย: phaclam 18 มิถุนายน 2555 18:04:53 น.
โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2555 6:18:51 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [? ]
บางที ปลายทางก็ไม่ได้สำคัญมากไปกว่า ..... สิ่งที่อยู่ระหว่างทาง ..............^^.... และความสุขในปัจจุบัน ก็เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ ....^^.....^^...... โดยไม่ต้องรอคอย ความสุขของอนาคต ปูปรุง
ฉัตรขอแชร์หน่อยนะคะ
พี่แอมอรสบายดีะนะคะ จุีฟๆๆ ค่ะ