.....
...............
"ยุคพระศรีอาริยะเมตไตรยทำไมต้องรอ
มีน กุสุมา เขียนคำ
ชายหนุ่มสวมเสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินซีดเคียนเอว
ด้วยผ้าขาวม้าเก่าคร่ำสวมกางเกงเลสีเดียวกันกับเสื้อ
กำลังยืนโยกเยกอยู่บนเรือขุด
โพงน้ำจากร่องสวนรดผักที่ขึ้นอยู่สองข้างตลิ่ง
เขาแหงนเงยมองยอดมะม่วงที่ไหวไปตามแรงลม
เห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายที่ชายผมเปียกชื้น
ผิวหน้าละมุน ขาวอมชมพูราวผู้หญิง
ไม่มีเค้าของชาวสวนแม้แต่น้อย
รอยยิ้มผุดพรายอย่างพึงพอใจความสดใสฉายชัดในแววตา
มะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์จ้องมองผู้ที่อยู่ในเรือไม่กระพริบ
หรือจะเป็นเพราะว่าสารกลูต้าไทโอน
ครองเมืองเป็นแม่นมั่น
คุณมะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์ช่วยจูงควายเข้าคอกด้วยนะครับ
ประเดี๋ยวผมจะทำกับข้าวเอง
ได้ค่ะคุณมหาศาลบานบุรีศรีสมุทร
มะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์ผิวสวยใสไม่แพ้กัน
จับจูงปลายเชือกกระตุกเบาๆ
ควายสองสามตัวที่กำลังนอนเล่นปลักโคลนอยู่แถวนั้น
เดินตามกันเข้าคอกอย่างว่าง่าย
เล้าหมูอยู่ใกล้ๆไม่มีกลิ่นละเหยให้ต้องระคายเคืองจมูกแม้แต่น้อย
เขาทำยังไงกัน ทำไมไม่มีกลิ่นเหม็น
เหมือนแถวนครปฐมล่ะคุณมะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์
อีกเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมา
คือเราใช้น้ำหมักชีวภาพล้างคอกหมูกันค่ะ
คุณมหาศาลบานบุรีศรีสมุทร
เรียกบานสั้นๆก็ได้จ้ะ ชื่อมันยาว
มะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์หัวเราะลั่น
บังอรสุวรรณีศรีอัปสรชะงักปากกา s-pen ที่อยู่ในมือ หัวเราะบ้าง
นั่นสิทำไมชื่อพวกเรายาวจังใครนะเป็นคนตั้งให้
เขียนบันทึกทีไรมือหงิก พอก่อนดีกว่าหัวยังตื้อๆอยู่เลย
เดี๋ยวค่อยกลับมาเขียนต่อ
มหาศาลบานบุรีนี่เป็นชื่อของคุณทวด คุณปู่และคุณพ่อ
นำมาต่อๆกันส่วนคำว่าศรีสมุทร
เป็นคล้ายๆบอกที่เกิดว่าผมเกิดที่ใต้สมุทรครับ
บังอรสุวรรณีมีสีหน้าสนใจและบันทึกเรื่องราวลงไปในสมุดโน้ต
คงคล้ายที่เมืองฟ้าของฉันกระมังคะ บังอรเป็นชื่อคุณย่าทวด
สุวรรณีเป็นชื่อคุณย่า ส่วนศรีอัปสรชื่อคุณแม่
และเป็นคล้ายบอกที่เกิดเช่นกัน
ว่าพวกเรามีถิ่นฐานอยู่บนฟ้า เช่นมหัพรรคอัปสร
มะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์นั่นแหละค่ะ
มะดั่นแดดวงสรวงสวรรค์ชะโงกหน้ามาถาม
เขียนอะไรคะคุณบังอรสุวรรณีศรีอัปสร
เขียนบันทึกเก็บไว้ค่ะ เพื่อให้คนรุ่นต่อๆไปมาอ่าน
จะได้ต่อยอดในสิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้กันที่นี่
ไม่ต้องเสียเวลามาเริ่มต้นกันใหม่
และรู้ที่มาที่ไปของพวกเราที่อยู่บนฟ้านั่น
เรียกว่าเป็นการแบ่งปันกันค่ะ
มหาศาลบานบุรีศรีสมุทร ขอไปเขียนบ้าง
ขอผมเขียนบ้าง ผมอยากเล่าเรื่องเมืองบาดาลของผมเหมือนกัน
และอยากบันทึกเรื่องผักที่ผมปลูกเอาไว้
ว่าต้องดูแลยังไงให้ใบเขียวกรอบน่ากิน
เสียงกุบกับๆๆๆมาตามทาง รถม้าที่ขนผักและอาหาร
ไปส่งในเมืองอีกฟาก
กลับมาพร้อมกับ ฟิซซ่าถาดใหญ่ บังอรสุวรรณีศรีอัปสร
หยิบฟิซซ่าส่งเข้าปากอย่างพึงพอใจ
จิบชายามบ่ายและร้องเพลง
......................................................................................
...................................
มหาศาลบานบุรีศรีสมุทรล้างมือในอ่างใบใหญ่
ซับหน้าด้วยผ้าขาวม้าที่เคียนเอวไว้
เปลี่ยนชุดชาวสวนเป็นชาวสมุทรเมื่อใกล้ค่ำ
ไมโครชิพในสมองไหวกระเพื่อม
เป็นสัญญาณเตือนว่าหมดเวลา
หมดเวลามาสนุกแล้วสิๆๆๆๆ
เสียงคล้ายเทเลทัปปี้ถี่กระชั้น ทุกคนเดินมารวมตัวกัน
ตรงสนามหญ้าด้วยความเสียดาย
สามเดือนผ่านไปราวติดปีกบิน
ผู้หญิงผู้ชาย หน้าตาคล้ายๆกัน ผิวขาวสะอ้านนวลลออ
สูงคล้ายหงส์ทรงเรียวชะลูด
แต่ไม่ได้งามอย่างอูดกะหลาป๋าหรอก แต่สูงระหงราวนางพญา
หน้าแฉล้ม หากมองเพียงรูปกายภายนอก
แยกไม่ออกว่าหญิงหรือชาย
งามสรรพเหลือที่จะพรรณนาได้ ต่างยิ้มแย้มพริ้มพราย
ไม่มีสีหน้าโกรธขึ้งให้เห็นแม้แต่น้อย
ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่จำกัดว่าของใครเป็นของใคร
ทุกๆที่สามารถเข้าพักอาศัยได้ไม่มีหวง
ทุกคนสวมชุดเลื่อมสลับลายพอดีตัว บนหัวสวมหมวกทรงกลม
ด้านบนมีเสาแหลมๆคล้ายยอดชฎาประดับประดา
ตามแฟชั่นที่กำลังนิยม
เสียงดังคลืนๆๆราวคลื่นกระทบฝั่ง
พื้นดินแยกออก เห็นช่องประตูบานใหญ่
เสียงคลิกเบาๆพื้นก็ผลุบลงเป็นขั้นๆแยกออกเป็นชั้นๆ
คล้ายขั้นบันได ทุกคนปรับหมวกอีกครั้ง
เพื่อปรับแรงดันอากาศเสียใหม่
กลุ่มแรกถูกดูดขึ้นไปบนอากาศ โบกมืออำลาแล้วหายวับไปต่อหน้า
อีกพวกที่เหลือจึงถูกดูดลงไปใต้ชั้นบาดาล
สวัสดีจ้าชาวโลก
เสียงทักทายซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ทุกคนกล่าวสวัสดีกันและกัน
ผู้คนที่รออยู่ตรงโถงใหญ่เลื่อนไหลขึ้นไปด้านบน
ส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ คล้ายๆว่าได้ไปท่องเที่ยวตากอากาศ
กินลมชมธรรมชาติอย่างนั้น
กลุ่มที่เพิ่งมาถึง ถอดหมวกที่สวมออกมาวางครอบไว้เป็นทิวแถว
เครื่องมืออโลดิอุสดูดหมวกหายเข้าไปในผนังห้อง
ทุกคนเดินกลับ เข้าที่พักในโดมสีฟ้ามหึมา
ชี้ชวนแหงนมองเหล่าปลาน้อยใหญ่ ที่แหวกว่าย
อยู่ด้านบนของโดม
ไงจ๊ะสนุกมั๊ยหญิงสาวหน้าตาสะสวย
เดาวัยไม่ออกเดินถือถ้วยพั้นผลไม้แก้วใหญ่มาวางลงตรงหน้า
มหาศาลบานบุรีศรีสมุทรรับมาดื่ม ทำหน้าชื่นใจ
สนุกครับคุณย่า ข้างบนอากาศสดชื่นจังเลยครับ
ผมปลูกผักจนลืมเวลา
และได้พบเหล่านางฟ้าที่หน้าตาเหมือนพวกเรา
ใครบอกว่าเป็นเทวดานางฟ้า พวกเขาคือมนุษย์อย่างพวกเรา
ที่ขึ้นไปอยู่บนกระสวยอากาศต่างหากเล่า
ที่ส่งพวกเจ้าไปเพื่อให้รู้จักกันไว้
แสดงว่า พวกเราจะได้พบกันอีกใช่ไหมครับคุณย่า
มหาศาลบานบุรีศรีสมุทรมีสีหน้ารื่นรมย์
วงหน้าของบังอรสุวรรณีศรีอัปสร ผุดขึ้นมาในมโนนึก
ย่าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เป็นไงติดใจแล้วล่ะสิ
บอกแล้วว่าต้องสนุก คนกับธรรมชาติ
ยังไงก็แยกกันไม่ออกหรอกนะ
คุณย่าทวดเคยเล่าให้ฟังว่า ข้างบนเคยมีพื้นที่มากมายมหาศาล
ให้พวกเราทุกคนได้จับจองครอบครองเป็นเจ้าของ
แต่เพราะความไม่รู้จักพอ
แย่งชิงรบราฆ่าฟันกันมาโดยตลอด ต่อเมื่อธรรมชาติท่านพิโรธ
จึงได้กลืนกินพื้นดินหลายส่วนจมหายลงใต้สมุทร
โชคดีที่ได้เตรียมการไว้พร้อม
สร้างเมืองบาดาลที่แน่นหนาไว้รอท่า
สร้างโดมแก้วที่แข็งแรงต่อการกระทบกระแทก
ของก้อนหินและดินถล่มนำพาผู้คนบางส่วนที่พอจะช่วยได้
มาสร้างอาณาจักรแห่งนี้ไว้ให้ลูกหลาน
อีกพวกส่งขึ้นกระสวยอวกาศที่โคจรอยู่นอกโลก
แต่ที่ไหนๆก็ไม่เหมือนกับโลกที่เราจากมาหรอกจ้ะ
ชายหนุ่มฟังเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็ฟังอย่างตั้งใจ
ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะฟัง
น้องนุชสุดท้องที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ
คุณย่าคะ หนูอยากไปบ้างจังค่ะ อยากเห็นท้องฟ้า
อยากสัมผัสกับสายลม ได้ชื่นชมธรรมชาติ
เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์
เห็นทุ่งหญ้าและสายน้ำไหล ชายหาดขาวๆ
ผู้เป็นย่าแย้มยิ้ม ลูบผมหลานสาวเบาๆ
ไว้รออายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ก่อนนะจ๊ะ
ทำไมต้องรอล่ะคะหลานสาวอุทธรณ์
พื้นดินที่เหลือมีจำนวนจำกัด และธรรมชาติก็กำลังฟื้นตัว
หากไม่จำกัดจำนวนคนเข้าไป
เท่ากับไปทำร้ายเขาทางอ้อม
ไว้สร้างกำแพงสูบน้ำออก ถมทะเลบางส่วน
พื้นดินก็จะมีจำนวนมากพอที่พวกเราจะได้กลับขึ้นไปในสักวัน
และอีกพวกจะได้ลงมาอยู่รวมกันอีกครั้ง
แต่ตอนนี้เราต้องเร่งพัฒนาที่จิตใจของเราก่อน
ให้มีความเอื้ออาทรต่อกัน
ไม่แยกพวกแยกฝ่าย ไม่แบ่งว่าของใครของมัน
อยู่แบบไม่เบียดเบียนกัน ยุคพระศรีอาริยะ ก็อยู่ไม่ไกล
....
จันจิราวางหนังสือที่อ่าน กลิ้งไปกลิ้งมาเพื่อพักสายตา
ตรองสาละวนกับการซ่อมพัดลมหันมามอง
"จบแล้วเหรอจัน กำลังมันๆอยู่เลย"
จันจิราบิดตัวไปมา เพื่อไล่ความเมื่อยขบ
คุณมีนเขาเกรงใจคนอ่านมั๊ง เกรงว่าจะยาวเกินไป
หรืออาจต้องการทิ้งให้คิด
"จันผมไม่เข้าใจ ว่าต้องรออีกนานสักแค่ไหน และอีกเมื่อไหร่กัน
ที่จะถึงโลกยุคพระศรีอาริยะเสียที เราต้องรอไปอีกกี่ชาติ
คุณย่าในเรื่องบอกว่า
หากคนเรามีความรักและเมตตาต่อกัน
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่แบ่งฉันแบ่งเธอก็จะได้เจอใช่ไหม"
"อ้าวคิดว่าตอนที่จันอ่าน ไม่ได้ฟังซะอีก
โลกยุคพระศรีอาริยะ น่าจะอยู่ในทุกที่ทุกเวลาบนพื้นโลกนี่แหละค่ะ
อยู่รอบๆตัวเราตลอดเวลา ตรองรู้สึกไหมคะว่า
สังคมรอบๆบ้านของเราตอนนี้น่าอยู่คล้ายในเรื่อง
บ้านไม่ต้องมีประตูก็ยังได้ สังคมในโลกออนไลน์ก็น่ารัก"
ตรองนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
"เราคงไม่ต้องรอให้โลกถึงกับต้องดับสูญ
ไม่ต้องรอให้โลกต้องแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา
ไม่ต้องรอให้ถึงโลกหน้าเสียก่อน
เพียงแค่เรารักและเมตตาต่อกันแค่เนี๊ยะ
โลกยุคพระศรีอาริยะเมตไตรยนั้นอยู่ที่ใจเราเองใช่ไหมครับคนดี"
จันหันมายิ้มหวาน
"พูดดีดีกับเขาก็เป็นด้วย ชิชิ"
ตรองยักคิ้วแผลบ ทำหน้าเป็นปลื้มกับคำชมสุดขีด
เพราะไม่อยากโดดหลบไม้ตีพริกแต่เช้า ฮา ฮา
แอมอร
ท้ายเรื่อง ยาวอีกแล้วนะคะ ลงมือเขียนแล้วก็หยุดไม่ได้
จินตนาการไปไกลจนสุดขอบฟ้า
นี่คือส่วนหนึ่งของงานเขียนและบทประพันธ์
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=crazylazykoodchi
^
^
ลองเดินไปด้วยกันนะคะ
ชอบที่สุดคือชื่อตัวละครนี่ล่ะครับ
ยาวได้ใจมากๆครับ 555