.. I am 'A PrInCeSs ..
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
วิเคราะห์การตลาดของผลิตภัณฑ์ปรับสีผิว หน้าขาวทั้งหลาย





การตลาดเครื่องสำอาง, สกินแคร์ในบ้านเรา ปัจจุบันมีการแบ่งส่วนแบ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว
จ้าวใหญ่ๆดังๆที่ครองตลาดมาโดยตลอดก็เห็นจะมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Estee Lauder ที่คุมสินค้ามากกว่าสิบแบรนด์ไว้ในอุ้งมือ โดยแต่ละแบรนด์ลูกจะมีเอสเต้เส้นใหญ่หนุนหลัง
ผลักดันด้านการตลาดไว้ ไม่ว่าคุณจะหยิบแบรนด์ไหน สินค้าหน้าตาอย่างไร เงินในกระเป๋าของคุณก็จะไปตกอยู่ในกระเป๋าตระกูล Lauder แทบทั้งสิ้น

ปี 2006 เอสเต้ได้ยอดขาย 13% มาจากตลาดในเอเชียทวีปเดียว

โดยรายได้สิริรวมปีที่แล้วปีเดียว
มาจากเครื่องสำอางถึง 39% เหนาะๆเค้ารับไป 2500 กว่าล้านเหรียญ
ส่วนสกินแคร์ 37% เป็นเม็ดเงิน 2400 ล้างเหรียญ

จึงไม่แปลกใจเลยว่าเงินทองเป็นกอบเป้นกำที่เราเสียไปนั้นไปตกอยู่ที่มือใคร
ขอจำแนกแบรนด์พอสังเขปว่าเอสเต้มีแบรนด์ลูกอะไรบ้างที่มาดูดเงินบาทไปจากเรา
เอาตัวอย่างที่ชัดๆ ก็ La Mer, Bobbi Brown, Origins, MAC และอื่นๆค่ะ

โดยที่แบรนด์ดังๆ ดีๆ ที่ผงาดขึ้นมาสู่ตลาดได้
ถ้าเอสเต้เห็นช่องทางก็จะไปซื้อมาครอบครอง แต่หากทำการตลาดได้ไม่ดี ยอดขายตกเพราะความนิยมลดลงก็จะปล่อยขายทอดตลาดเหมือนที่
Jane Cosmetics (USA) กับ Stila Cosmetics (USA) โดนมาแล้ว

เกริ่นไปอย่างนั้นเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียนแต่ก็อยากให้ทราบกันค่ะ
หาอ่านได้จาก company profile ของ estee lauder ค่ะ


----------------


หลายแบรนด์ผงาดขึ้นมา แน่นอนว่าต้องหวังทำการค้าและกำไรตามไปด้วย
ผู้หญิงทั่วโลก มีสโลแกนและคำจัดความในใจอย่างที่เราทุกคนทราบดี
บ้านเราก็มีประโยคเด็ดว่า :: "ผู้หญิงอย่าหยุดสวย"


ทำให้ผู้หญิงเราทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองความสวยนั้น...
แต่ ความสวยคืออะไร???

หลายคนให้นิยามความสวยว่า "ขาว" แล้วความขาวก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความงาม
เหมือนที่หลายประเทศให้คำนิยามความขาวคือความสวย

เช่น Snow White เธอขาวเหมือนหิมะ
แม่มดใจร้ายถึงฆ่าเธอเพราะเธอสวยเกินหน้าเกินตา...เธอจึงตายเพราะความขาว

ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น --- ยกย่องให้ผู้หญิงต้องขาวถึงจะเรียกว่าสวย คนญี่ปุ่น คนเกาหลี คนสิงคโปร์ นิยมอยากมีผิวขาว มีผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวมาหลอกล่อสาวๆมากมายเช่น Shisedo
เครื่องสำอางก็จะเน้นเพื่อคนผิวขาวโดยเฉพาะ เช่น Jill Stuart, SUQQU, Maquillage, Canmake, Skinfood, สินค้าบางชิ้น โปรดสังเกตว่าแทบจะไม่เหมาะกับสาวผิวคล้ำเลย

เพราะทำสีออกมาแค่ถึง MAC NC 35 เท่านั้น คนที่คล้ำกว่านั้นก็อย่าได้หวัง ถึงยังฝืน หน้าท่านก็จะขาวกว่าลำคอ

ประเทศไทย --- ช่วง 7-10 ปีที่ผ่านมา ถ้า สังเกตุโฆษณา พอนด์, citra White, mistene, Olay, Smooth E และอีกหลายแบรนด์
ผ่านสื่อโทรทัศน์, วิทยุ, หนังสือนิตยสาร, billboards,
POP (Point of purchase) จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละบริษัทจะเน้นรูปแบบโฆษณา โดยใช้จิตวิทยาหมู่หลอกหลอนให้เชื่อว่า ความขาว = ความสวย ทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าถ้าขาวขึ้นคุณจะเป็นคนใหม่ คุณจะมัดใจชายหนุ่มได้ คุณจะก้าวหน้าด้านการงานได้

สินค้าหัวนอกอย่างเอสเต้ คลีนิค ถึงกับต้องออกผลิตภัณฑ์เพื่อเอาใจสาวๆแถบเอเชียกันเป็นการใหญ่
ออกแบรนด์ไลน์ใหม่อย่าง Clinique Whitening, Stila illuminating ที่มีขายเฉพาะแถบเอเชียเท่านั้น เพราะขายดิบขายดีเทกระจาด ดันจับตรงตลาดซะนี่
ก็ลองขืนเอาโทนสีแทนๆมาสิ ไม่ต้องขายกันหรอก โดนคว่ำบาตรกัน

เมื่อค่านิยมดังกล่าวแพร่กระจายจากสังคมต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยในรอบปีหลังๆ
สังเกตุได้ว่ามีออกมามากมายหลายยี่ห้อ แม้กระทั่งสินค้าในเครือ Estee Lauder ก็ทำสินค้าผลิตสำหรับตลาดเอเชียโดยเฉพาะ

>>> ต่อมา มาพูดถึงตัวอย่างสินค้าในเครือปรับสีผิวในบ้านเรากันบ้าง <<<

ขอยกตัวอย่างบางบริษัทถึงกับออกมาโฆษณาว่าสินค้าตัวเองนั้น
ทำให้ตัวเองหน้าขาวขึ้นภายใน 7 วัน
โฆษณาตัวนี้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "7 Days To Love version 5
โดย :: PHENOMENA Co., Ltd. มีออกมาหลายเวอร์ชั่น เพื่อกระตุ้นความเชื่อใหเกิดการโน้มน้าวและศรัทธาต่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์
หรือการพยายามสร้าง brand loyalty นั่นเอง



www.kosanathai.com

เรียกได้ว่าเป็นค่านิยมความสวยนั่นเอง




ขอวิเคราะห์โดยจำแนกออกเป็น 4 P แบบง่ายๆดังนี้ค่ะ

1. Products แน่นอนว่าต้องเป็นสินค้าเพื่อหน้าขาวนั่นเอง ไม่ขอพูดเกี่ยวกับส่วนผสมเพราะไม่สันทัดเท่าไหร่ การจะผลัดผิวให้หน้าขาวตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว กำหนดการผลัดผิวของมนุษย์เราเป็น cycle
มีเม็ดสีหรือ pigment cells อยู่ในชั้นผิวหนัง epidermis ผิวส่วนนี้จะได้รับรังสี UV และโดนทำลายได้ง่าย

เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร (สะกดไม่เป็นอ่ะคำนี้) เราจึงถูกสร้างมาให้มีผิวเข้มกว่าประเทศในเขตหนาว
แล้วเจ้าพวกครีมทาหน้าขาวที่โฆษณาว่าจะทำให้ขาวใน 7 วันนั้นก็จะถูกดูดซึมเพื่อไปชะลอการทำงานของเซลล์เม็ดสีให้ผลิตน้อยลง

เมื่อผิวผ่านการทำลายตัวเม็ดสีเพื่อความขาว ก็แน่นอนว่าแสงแดดและ free radicals ก็สามารถเข้ามาทำลายเซลล์ผิวเราได้มากและง่ายขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ
เราก็จะมีความเสี่ยงของมะเร็งสูงขึ้นตามไปด้วย

ถามว่าได้ผลไม๊ ก็อาจจะได้ผลในระดับนึง
เนื่องจากเราเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน จึงมีผิวค่อนข้างขาวอยู่แล้ว แต่เวลาโดนแดดก็จะคล้ำลงบ้าง
ก็เคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ปรับสีผิวที่มีส่วนผสมของสารกันแดดอย่าง Titanium dioxide ของ Mistene, Citra, Nivea, Pond's และอีกหลายแบรนด์เพื่อให้ผิวที่แขนขาวเท่าผิวหน้า (หน้าทากันแดดไว้เยอะ หน้าจะขาวล้ำนำไปหลายช่วงตัว)

ยอมรับว่าผิวขาวขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับขาวจนเว่อร์ เพียงแต่ไม่คล้ำลงเนื่องจากมีส่วนผสมของสารกันแดดด้วย
จากการศึกษามาระยะนึง ก็รู้ว่ามันไม่ได้ขาวขึ้นเพราะมันไม่ได้ไปปรับลดเมลานิน แค่ไปชะลอการทำงานของเมลานินให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่งถ้าอยู่ในที่ไม่โดนแดดจ้าหรือใต้ไฟนีิออนเปร่งแสงยูวีนานเกินไป เราก็จะสามารถขาวขึ้นได้เอง
ไม่ต้องพึ่งครีมใดใด แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ จังหวะหน้ามืด อยากสวย ขาวโอโม่ อะไรก็ยอมทำได้ทั้งนั้น


2. ราคา :: เมื่อก่อนเราจะได้ยินคำว่า "ของดีต้องแพง" แต่มาในระยะไม่กี่ปีหลัง
จะเห็นชัดเจนว่าพวกผลิตภัณฑ์เพื่อปรับสีผิวมีราคาย่อมเยาว์ สามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพงมากนัก
โดยสื่อจะเน้นโฆษณาเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ค่อนข้างมีรายได้น้อยถึงปานกลาง

ราคามักจะอยู่ที่ 35 บาทถึง 300 บาท อันนี้เป็นราคาสินค้าผลิตและหาได้ในประเทศไทย
อย่าง KA ครีมกันแดด, นีเวีย, ซิตร้า, หรือครีมเภสัช ที่หลายๆคนเอามาลองแล้้วปรากฏว่าได้ผล ขาวขึ้นในระดับที่สามารถสังเกตุได้ แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงผลที่ตามมาหลังการใช้ เนื่องจากยังไม่มีใครทำการวิจัย


ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากว่าเม็ดเงินที่เสียไปเพื่อเพิ่มความพอใจให้กับตัวเองได้ อันนี้ถือว่าเป็นการตลาดที่สมบูรณ์แล้วค่ะ ก็ยอมรับได้ในระดับนึง

แต่ก็มีจำนวนสาวๆอีกไม่น้อยที่ลงทุน ลงแรงไปกับ "ความขาว=ความสวย" นี้แต่ก็ไม่เห็นผล บางคนลงทุนซื้อสินค้าหลายชนิด ประโคมทุกวันเช้าถึงเย็น ขัดแล้วขัดอีก พอกแล้วพอกอีก เพื่อให้ได้มาซึ่งความสวย จำนวนเงินนั้นไม่น้อยเลยนะคะ

ก็ในเมื่อ มันสามารถดูดเม็ดเงินจากกระเป๋าเราไปสู่กระเป๋าผู้ผลิตได้ ก็ต้องผู้ต้องการส่วนแบ่งการตลาดนี้อยู่ไม่น้อย แบรนด์อื่นๆก็ตะกุยตะกายมาลงตลาด เพื่อขอแจมส่วนแบ่งให้ตัวเองได้มีส่วนทำให้หญิงไทยหน้าขาวขึ้นบ้าง ผู้เล่นจึงมีมากขึ้นในระยะ5ปีที่ผ่านมา

จุดดึงดูดเพื่อให้ชนะคู่แข่งขัน
ก็จะอยู่ที่การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูดี ดูหรู เน้นสีชมพูขาว เหมือนเป็นการบอกนัยๆว่า ขาวก็ต้องขาวอมชมพูนะ จะขาวอมเหลืองไม่ได้ จะไม่งาม -*-

Product positioning
การวางตำแหน่งสินค้าก็จะเน้นให้ออกมาน่ารัก น่าทะนุถนอม เพราะคนขาว = คนสวย ก็จะต้องเป็นผู้หญิงหุ่นเปรียว รูปร่างดี จะเอาอั้ม พัชราภา แอน ทองประสม ปูไปรยา เป็นพรีเซนเตอร์เพื่อเน้นภาพลักษณ์ (product image) ให้โดดเด่น ให้ลูกค้าเห็นปร๊าดรูปปุ๊บว่าสินค้านี้คือ ครีมหน้าขาวนะคะ ไม่ใช่แว๊กซ์ใส่ผม

ซิตร้าไวท์ ควักเงินทุ่มจ้าง ฟิล์ม รัฐภูมิขวัญใจสาวๆมาเป็น presenter กันเลย



เอาลูกล่อลูกชนสารพัดมาโน้มน้าว ให้ลูกค้าเกิดจิตสำนึก (conscious) ว่าทาแล้วหน้าขาว ใส ปราศจากรอยหมองคล้ำ แล้วคุณจะสวย ใส มีเสน่ห์ หนุ่มๆที่เคยหมายตาไว้จะหันมามองคุณอย่างเอาจริงเอาจัง อีกแล้วความขาว = ความสวย อีกแล้ว

ดังนั้นตำแหน่งสินค้าตอนนี้ก็มาครองใจลูกค้า โดยยืนโดดเด่นอยู่ที่ ขาว ใส หาซื้อง่าย
แบรนด์อย่างซิตร้า Nivea ไวท์ Smooth E ที่อยู่ในตลาดมานาน ลูกค้าก็จะจดจำได้ เรียกได้ว่าเพราะอยู่มานาน คนเห็นก็จำได้ คนจะหยิบสินค้าที่ตัวเองคุ้นเคย เคยได้ยิน เคยเห็นคนใช้มาก่อน ไม่แปลกที่แบรนด์ใหม่ๆ ต้องประโคมโฆษณาแบบหน้ามืดตามัว

มาดูส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมกันบ้าง
...."มูลค่าตลาดรวมของผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวในปี 2547 ที่ผ่านมามีมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อผิวขาว
.... ประมาณ 60% ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไปประมาณ 34%... และคาดว่าปีนี้ตลาดรวมจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 10-15%"

อะไรจะปานนั้น แน่นอนว่าแต่ละบริษัทเห็นตัวเลขแล้วต้องน้ำลายหก อยากกระโดดไปร่วมแย่งส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน ใครบ้างเห็นเม็ดเงินมหาศาลแล้วไม่อยากเล่น

ลองคิดกันเล่นๆดูนะคะ เอาเคสมาให้ดูประกอบด้วย

บริษัท :: เจ้าหญิงแห่งเมืองหิมะหน้าขาว
ผลิตสินค้า :: ครีมเจ้าหญิงโคตรหน้าใสเนียนกิ๊ง
ราคา :: 50 บาท เท่านั้น
คำโปรย :: ใช้แล้วหน้าขาวขึ้นแน่นอน ไม่ขาวไม่คืนเงิน ขาวขึ้นโปรดบอกต่อ อย่าสวยคนเดียวนะคะ คนสวยต้องใจดี

โปรดสังเกตุดีๆนะคะ
ชื่อบริษัทกับชื่อผลิตภัณฑ์ก็แน่นอนว่าได้ใจลูกค้าไปแล้ว 25%
ชื่อนี่ก็ได้ใจไปแล้วกว่าครึ่ง ใช้แล้วเดี๊ยนจะเป็นเจ้าหญิง หน้าก็จะขาวใส ผ่องแพ้ว เมืองหนาวคนเค้าขาว ครีมนี้ต้องดีแน่เลย

ชื่อผลิตภัณฑ์ใช้ชั้นต้องขาวโอโม่ ไร้ที่ติแน่นอน เดินไปเดินมาเหมือนมีหลอดไฟติดอยู่บนกระหม่อม ต่อไปชั้นจะขาวพกวิ้งล่ะโว้ยยยยย

ราคาก็ยั่วยวนชวนกิเลสเหลือเกิน แค่ 50 บาท ถูกกว่า Smooth E อีก ยังงี้ไม่ลองได้ไง
ตอนนี้เหลือ 200 ซื้อครีมเจ้าหญิงโคตรหน้าใสเนียนกิ๊ง ราคา 50 บาทยังเหลือเงินอีกตะหาก


3. place :: สินค้าประเภทนี้มักจะมีขายในแหล่งชุมชน (อ้าวแน่นอนสิ ไปขายในทุ่ง ให้วัวทำหน้าขาวหรือไง) เค้ามักจะวางขายในร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากราคาไม่สูงมาก ไม่มีการทำตลาดเริ่ดหรูอลังการงานไฮโซมากนัก ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7/11 ไม่ต้องเสียเงินวาง shelf ให้สิ้นเปลืองงบบริษัท

บางท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าการที่สินค้าบางตัวได้วางผงาด อยู่ในระดับสายตา หรือได้มุมที่โดดเด่นไม่ได้ไปอยู่ตามกลางๆหิ้งหรือด้านล่างๆ เพราะพวกนี้จะต้องเสียเงินซื้อจุดที่วิจัยออกมาแล้วว่าขายได้แน่นอน



การตลาดก็เหมือนการดูโหงวเฮ้งนะ เพราะถ้าวางไม่ดี มุมอับ อัปมงคลตายเลย ไม่มีใครเห็นแล้วใครจะซื้อตรูล่ะ หรือวางในตำแหน่งไม่ดี ไม่มีใครหยิบ สินค้าี่เหลือบานเบอะ

ถ้าดูตลาดในเมืองไทย ก็มี 7/11 นี่แหล่ะ ที่ไม่มี BA มาคอยดักลูกค้า
ขนาดไปเทสโก้ยังมี BA คุมตู้ ยังกะนักเลงคุมซอย คือมีตู้กระจกห้ามเล่น ห้ามแตะ ห้ามลอง
เครื่องสำอางนะโว้ย อยากได้ก็ต้องลองต้องเล่น
อยากตะโกนบอกนักการตลาดในเมืองไทยจริงๆ จะงกไปไหน หวงของเหลือเกิน ไม่รู้เหรอว่าการที่คนได้เทสต์ ได้ลอง ได้เล่นน่ะ ส่งผลให้มีภาพลักษณ์ในทางบวกกับสินค้าท่านทั้งนั้นแหล่ะ

อ้าวนอกเรื่องไปไกลเลย

เราก็จะสามารถหาผลิตภัณฑ์หน้าขาวนี้ได้ตามเทสโก้ คาร์ฟู บิ๊กซี หรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
แต่อาจจะหายากหน่อยในต่างจังหวัด เพราะสินค้าประเภทนี้พวกยี่ปั้ว ซาปั้วไม่นิยมนำมาขาย เพราะถือเป้นสินค้าเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค สาวๆที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดหากลืมพวกครีมปรับสีผิวไปด้วย
อย่าได้คิดไปหานะคะ เพราะเคยไป แค่ออกนอกเขต กทม ไปแค่พัทยา ยังหาร้านซื้อยากเลย
ต้องตระเวณหาเซเว่น เจอครีมล้างหน้านีเวีย ไวเทนนิ่งกับซิตร้าอะไรซักอย่าง ในราคากันเอง 55 บาทต่อหลอดเล็กกระจิ๋วหลิว ตกกะใจอย่างแรง แพงเหอะ

4. การโปรโมชั่น :: ก็ไม่ยากค่ะ โฆษณาผ่านสื่อ สินค้าประเภทนี้ไม่ต้องการ prestigious อะไร คือเราก็ทราบอยู่แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นใคร ราคาก็ชี้ชัดว่าใครจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย
สื่อก็มีทีวี วิทยุ หนังสือแมกกาซีน

อย่างที่เราๆพอจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างเอสเต้, clinique, Bobbi Brown, DDF จะไม่มีการโฆษณาผ่านสื่ออย่างทีวีหรือวิทยุเลยหรือถ้ามีก็จะน้อยมาก เพราะการโฆษณาผ่านสื่อ mass พวกนี้จะได้กลุ่มเป้าหมายเป็นบริเวณกว้างก็จริง แต่จะครอบคลุมเกินกลุ่มเป้าหมายจริงๆของสินค้า คือจะได้พวกที่ไม่ต้องการมาด้วย

บางคนอาจจะเกิดความสนใจ (Interest) แต่ก็ไม่ซื้อ บางคนซื้อเพราะเห็นบ่อย หรืออาจจะซื้อเพราะเห็นประโยชน์ (benefits)

สินค้าไฮโซจึงมักจะโฆษณาในแมกกาซีนเท่านั้น แต่สินค้ากลุ่มปรับสีผิวหน้าขาวใส จะออกสื่อทุกประเภทไม่่ว่าจะหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สตรีสาร และอื่นๆอีกมากมายเพราะสามารถได้กลุ่มลูกค้าจำนวนมาก
โดยไม่จำแนกว่าจะรวยจะจนหรือจะขาวจะคล้ำ อันนี้ก็น่าจะประสบความสำเร็จ
เพราะสาวๆบ้านเรามีจำนวนไม่น้อยที่หลงลมคำโฆษณา เชื่อว่าาขาวได้จริงใน 7 วัน
บางคนใช้แล้วถูกกับผิวขาวขึ้นจริง ก็เริ่มเล่าปากต่อปากเกิด viral marketing ขึ้นมาทันที

คราวนี้มีคนเห็นน้องเอใช้ ขาวขึ้น น้องบีใช้ตามเกิดเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบ
และนี่ก็คือจุดที่มาของครีมอันตราย ครีมหน้าขาวที่สาวๆซื้อมาใช้กันจากตลาดนัด
และเกิดปัญหาฝ้าต้องวิ่งหาหมอกันยกใหญ่ อันตรายจริงๆ (ขอประณามครีมปลอม ครีมที่มีส่วนผสมอันตรายทุกชนิด)



ไว้วันหลังจะมาวิเคราะห์เจาะลึกถึงเรื่องอื่นๆต่อไป
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย รบกวนทิ้งคอมเม้นท์ไว้ด้วยนะคะ ยินดีรับความคิดเห็นค่ะ




Create Date : 31 มกราคม 2551
Last Update : 31 มกราคม 2551 6:28:57 น. 16 comments
Counter : 10888 Pageviews.

 
ค่ะยอมรับว่าตลอดด้านนี้เติบโตได้เร็ว แต่มันมีผลวิจัยมั้ยน๊า..ว่ายี่ห้อไหนรุ่นไหนใช้ได้ผลกี่เปอร์เซ็นต์ ต่อสถาพผิวอย่างไร อะไรประมาณเนี๊ยะ 55+++


โดย: ชินโจมายุ วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:8:54:10 น.  

 
โอ้ว อ่านแล้วได้ความรู้มากๆเลยค่ะพี่เอ๋

เพิ่งรู้ว่าเอสเต้มีแบรนด์ลูกเยอะเชียว
และก็เพิ่งรู้ว่าการวางใน shelf ของ 7-11 ไม่ได้แค่ "วาง" อย่างเดียว ต้องมีการวิจัยด้วย

เป็นบทความการตลาดที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีจังเลยค่ะ


โดย: s.o.s วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:8:59:56 น.  

 
พี่เอ๋วิเคราะห์เกาะติดกระแสมากเลย
ช่วงนี้ตลาดเครื่องสำอางค์พวกทำให้หน้าขาวกระจ่างใสมาแรงจริงๆ แต่ฝ้ายไม่ค่อยเชื่อพวกโฆษณาในทีวีมันดูขาวเกินจริงไป โดยเฉพาะเปลี่ยนชีวิตเราได้ใน 7 วัน อันนี้เวอร์จริงๆ


โดย: Cottony วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:9:01:43 น.  

 
*** ชินโจมายุ ::: คำถามดีมากเลยค่ะ

เท่าที่ทราบมานะคะ จากที่เรียนและอ่านเคสต่างๆ

เค้ามีการทำการวิจัยค่ะ แต่เป็นการวิจัยจำแนกประเภทค่ะ การทำ R&B ทำเพื่อนำตัวเลขมาอ้างอิงประกอบค่ะ
อย่างประโยคโฆษณาที่ว่า "ผู้ใช้ร้อยละ 90 เห็นว่าผิวขาวขึ้นจริงใน 4 สัปดาห์" อันนี้มีจริงค่ะ

แต่ไอ้ที่น่าระแวงคือ
... คนที่นำมาวิจัยน่ะใคร
... จำนวนกี่คนกันล่ะที่เค้าเอามาใช้สินค้า
... ถ้าใช้ได้ดีจริงใน 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นมีปัญหาตามมา เค้าจะไม่เอามาบอกเราอ่ะค่ะ


โดย: A Princess วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:11:39:52 น.  

 
*** s.o.s. ::: แท้งกิ้วจ้าน้องอ๊อปน้องสาวคนสวย

พี่พยายามเขียนให้ออกมาเข้าใจง่ายอ่ะค่ะ เคยอ่านหนังสือการตลาดแล้วเข้าใจยากมาก ต้องไต่กระไดลิงฟัง ปวดหัวมากกก -*-

ก็เลยเขียนให้ง่ายๆ เข้าใจเร็วๆดีกว่าเน้อะ ไม่ปวดหัวดี





*** Cottony ::: น้องฝ้ายที่น่ารักของพี่

ต้องอินเทรนด์นิดนึงเน้อะ ก็ทำงานด้านการตลาดนี่นา ไม่ตามไม่ได้เดี๋ยวเอ้าท์ 555

อย่าไปเชื่อนะคะ หน้าขาวกระจ่างใส จริงๆคือคำอ้างอ่ะค่ะ

พวกนี้เค้าจะสรรหาคำสวยหรู เพื่อสื่อให้รู้ถึงสรรพคุณอันเลิศล้ำของสินค้า เอาเข้าจริงๆ บางคนนั่งเทียนเขียนคุณสมบัติด้วยซ้ำ ไม่เคยแตะสินค้าเลย


ส่วนใหญ่คนโฆษณาจะนึกประโยคที่กินใจ โดนใจเพื่อให้คนจำได้ และพูดปุ๊บรู้ปั๊บว่านี่แหล่ะแบรนด์ตู

พูดง่ายๆ ก็คือ go 6 อ่ะแหล่ะค่ะ



โดย: A Princess วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:11:46:44 น.  

 
อ่านแล้วคิดถึงการงานที่ทำ กับตอนเรียนค่ะ แบบว่าตั้งแต่ไม่ได้ทำงานบ. ไม่ได้วิเคราะห์อะไรพวกนี้เลย อยากฟื้นความรู้จัง :-))

เปิ้ลว่า มันเป็น social value ด้วยนะ ตอนอ่านก็นั่งนึกๆ ว่า social value คนขาวคือคนสวยมันมาจากไหน เมื่อไหร่ นึกไม่ออกเลย แต่เท่าที่จำได้ มีมานานแล้วล่ะค่ะ

พอทราบมาว่าบ. research ต่างๆ ก็ได้ผลวิจัยมาจาก target group ของตัว product ล่ะค่ะ อย่างโฆษณาครีมแย่งปั๋วที่หลายๆ คนพูดถึง เป็นผลวิจัยมาจากตลาดล่าง (พอดีพี่ของเพื่อนเค้าดูแล media ให้เจ้านี่ เลยมีข้อมูลนิดหน่อย) ก็เลยมานั่งนึกๆ ว่า อะไรน้า ที่ทำให้สาวๆ ของเราคิดว่าคนขาวคือคนสวย (แปลกที่เปิ้ลไม่เคยคิดเลย เปิ้ลคิดว่าสาวๆ แต่ละสีผิวก็มีความสวยต่างกันไป)

มันเหมือนว่ามีคนสร้าง need สร้าง value ให้สาวๆ เหล่านี้ต้องเติมเต็มนะคะ ประมาณ ไม่มีไม่ได้ ไม่เป็นจะเป็นแกะดำ

ถ้าจะแก้ไขค่านิยมผิดๆ เปิ้ลว่าต้องเริ่มปลูกฝังความคิดตั้งแต่รากหญ้าเลยล่ะค่ะ แล้วก็ปลูกฝังค่านิยมเด็กสมัยใหม่ด้วย (ดูอย่างน้องชายของเปิ้ลเลย ยอมกินยามากมายเพื่อให้ตัวเองหน้าใสไร้สิว ไอ้เราก็เตือนแล้ว มันก็ดันเถียงข้างๆ คูๆ มา แถมงอนเราอีกต่างหาก ตอนนี้ก็ยังกินต่อไป...พูดยากจังเลยล่ะค่ะ) สำหรับเด็ก เพื่อนฝูงรอบข้างก็มีส่วนมากๆ เลยนะคะ (น้องเปิ้ลเป็นเคสได้เลย) เด็กๆ ก็อาจจะดูจากโฆษณาและสื่อต่างๆ ด้วย

แต่ทีนี้ มันก็ย้อนมาที่คำถามเดิมว่า สื่อ/บ.เจ้าของ product/บ.โฆษณา ไปเอา need นี้มาจากไหน

need ลึกๆ จากผู้บริโภคหรือไง หรือว่าเค้าสร้าง need ให้ผู้บริโภคขวนขวายเอง (แต่คงไม่ได้สร้าง need ให้หรอกค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ กระหน่ำให้คนมี need เหล่านี้เหลือเกิน ต้องขาวๆๆๆๆๆๆ เหมือนการสะกดจิตก็ไม่ปาน)

ยิ่ง demand มาก แน่นอนว่า supply ก็เข้ามา มีผู้ผลิตมากขึ้น หลายบ.ก็อยากจะ share pieces of cake in total percentage of market share มากขึ้นด้วย และก็ยิ่งออกสินค้าโฆษณา โปรโมชั่นมาตอกย้ำเข้าไปใหญ่

แล้วมันก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้เรื่อยๆ ทางแก้ไขในความคิดเปิ้ล...เปลี่ยนค่านิยมคนเสียใหม่ค่ะ (ซึ่งคงต้องใช้ทั้งเวลาและความร่วมมือจากทุกฝ่ายล่ะค่ะ)

โอ้วววว วันนี้พล่ามยาวมากค่ะพี่เอ๋ แสดงความคิดเห็นร่วมก๊าบบบบบ


โดย: มิถุนายน วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:14:58:56 น.  

 
ว่างๆ วิจารณ์ชอปปิ้งแอดโฮมฝรั่งให้ฟังบ้างซิคะ นั่งดูในยูตูปแล้วละเมอเพ้อตามเค้าเหมือนกันนะคแอนหน่ะ

แหะ แหะ ไม่ค่อยเข้าแก๊กของบล๊อคเลย แบบว่า ขาวใสไร้สติ ไม่ค่อยถูกโรคกะพวกแพ้ง่าย เลยไม่ค่อยคบกันอ่ะค่ะ

ปล แปะคิตตี้ไปก็จริง แต่ดูไม่ออกว่าทำท่าอะะไรอ่ะ


โดย: แอน (แอ่นแอ๊น ) วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:23:16:57 น.  

 
*** มิถุนายน :: เห็นด้วยกับน้องเปิ้ลสุดๆเช่นกัน
ค่านิยมที่ ขาว=สวย เกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่อันนี้เอ๋ก็ไม่แน่ใจ ตั้งแต่จำความได้ มีแต่คนกรอกหูว่าขาวนะ คนนั้นขาวดี คนนั้นผิวสวย คือมันเป็นเหมือนคำที่มาคู่กันยังไงยังงั้นเลย


พอโตมาก็ได้ยินอีก คราวนี้เหมือนโดนกระหน่ำกรอกหูว่าต้องขาว

ปกติก็ซีดจะเป็นกระดาษอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องหาสิ่งอันทำให้ขาวมาทาถูๆ

เอ๋ว่าการทำโฆษณาแบบ repetitive ทำให้คนส่วนใหญ่เหมือนโดนสะกดจิตหมู่ ทำได้ทุกอย่างเพื่อความสวย

กลายเป็น need ที่ถูกสร้าง ไม่ใช่ need ที่เราต้องมีค่ะ


โดย: A Princess วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:6:27:45 น.  

 
>>> แอ่นแอ๊น ::: จดไว้แล้วจ้า ได้ไอเดียเรื่องที่จะเขียนต่อไปเลย


ขอบใจนะจ้ะสาวแอน


อ่านแล้ว งงๆเล็กน้อยอ่ะ

"แหะ แหะ ไม่ค่อยเข้าแก๊กของบล๊อคเลย แบบว่า ขาวใสไร้สติ ไม่ค่อยถูกโรคกะพวกแพ้ง่าย เลยไม่ค่อยคบกันอ่ะค่ะ "



โดย: A Princess วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:6:46:25 น.  

 
อาจารย์เอ๋มีบทวิเคราะห์ที่ละเอียดยิบและมีหลักการมาฝากกันอีกแล้ว เจ๊สงสัยเหมือนกันว่า อยากจะขาวกันไปถึงไหนจริงๆนะ คนผิวสีน้ำผึ้งที่สวย คม เข้ม มีออกเยอะแยะไปจริงๆนะอาจารย์เอ๋ ขอบใจอาจารย์เอ๋มากสำหรับอาหารสมองดีๆแบบนี้นะจ๊ะน้องนะ


โดย: ตัวเล็กอ้วน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:32:43 น.  

 
เฮ้อ... ทำไงได้ล่ะคะ ตอนนี้ค่านิยมกลับกลายเป็นกฎเกณฑ์ของสังคมไปแล้ว ว่าคนสวย คนที่มีเครดิต ต้อง "ขาว" เท่านั้น ยิ่งขาว ยิ่งดี
ตอนนี้หนูเลยหูผึ่งเวลามีผู้ชายชมว่าคนนี้หน้าคมดีนะ อะไรแบบนี้ อิอิ
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่า กว่าจะอ่านจบ


โดย: KarumDog วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:37:08 น.  

 
***ตัวเล็กอ้วน ::: ขอบคุณค่ะเจ๊หญิงที่แวะมาอ่านนะคะ

ก็นั่นน่ะสิคะ ไม่รู้ว่าทำไมเทรนด์ขาวช่วงนี้มาแรงมากๆๆๆ เอ๋ว่าคนผิวสีน้ำผึ้งเนี้ย สวยออก แต่งหน้าได้หลากหลาย ถ่ายรูปขึ้นด้วยค่ะ



*** KarumDog :: ขอบคุณค่ะที่แวะมาอ่าน เห็นด้วยจริงๆค่ะว่าค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความขาว

ขอบคุณอีกครั้งที่อุตส่าห์อ่านจนจบค่ะ ตอนเขียนก็พยายามรวบรัดให้สั้น แต่ก็ออกมายาวทุกที


โดย: A Princess วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:7:20:03 น.  

 
วันก่อนดูกระทู้น้องคนนึง ที่ตอนเด็กๆ คล้ำ แต่ตอนนี้ขาวมากๆ แล้วคิดถึงความพยายาม ที่คิดว่าน่าจะโดนหลายๆ สิ่งรอบๆ ตัวทำให้อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

จริงๆ เค้าก็ขาวขึ้นนะคะ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าขาวแค่หน้า ไม่รู้ว่าเอาอะไรโบ๊ะเข้าไปบ้าง (ไม่กลัวอะไรนะคะ กลัวว่าจะเป็นพวกครีมอันตราย) กว่าจะได้ขาว (แค่หน้า) แบบนี้

คือ...เปิ้ลว่าแทนที่จะดูสวย มันดูน่ากลัวนะคะ คือขาวจนดูหน้าซีด แต่ตั้งแต่คอลงไป ยังมีเมลานีนเหมือนเดิม

วันก่อน ส่งลิงค์อย.ไปให้เพื่อน จะได้เอาไปเตือนเพื่อนเรื่องครีมอันตราย แปลกค่ะที่คนใช้ไม่สน แม้จะมีคนบอกว่าอันตราย คล้ายๆ ว่าก็ชั้นใช้แล้วขาว ชั้นอยากใช้ต่อ ใครจะทำไม

ได้แต่ร้องเฮ้อค่ะ

พี่เอ๋ เขียนบทความของพวก QCTV อย่างที่คุณแอนแนะนำก็ดีนะ แบบว่าจำได้เลย ตอนไปอเมริกา ชอบดูรายการพวกนี้มาก ดูได้ทั้งวันเลยนะคะ คนพูดนี่ hypnose เก่งสุดๆ อ่ะค่ะ ดูแล้วอยากได้ไปหมดเลย


โดย: มิถุนายน วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:16:43 น.  

 
อยากทราบว่า Citra มีสโลแกนว่าอย่างไร ใครทราบช่วยบอกทีนะคับ

ขอบคุนล่วงน่าคับ


โดย: nahz IP: 124.121.35.207 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:32:02 น.  

 
พอดีว่า อาจารย์เค้าให้หาบทความเกี่ยวกับการตลาดและวิเคราะห์บทความนั้น ๆ เพื่อส่งเป็นรายงาน แต่หนูวิเคราะห์ไม่เป้นเลยค่ะ อยากให้พี่เอ๋ช่วยวิเคราะห์บทความนี้ให้หน่อยนะค่ะ..เพื่อเป็นวิทยาทาน..นะค่ะ..
ข้อความมีอยู่ว่า... "ตลาดคนอ้วนฉายแววรุ่ง เมื่อดาราสร้างกระ "หนูแหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา" เปิดร้านเสื้อผ้าบิ๊กไซส์เอาใจคนร่างอวบแบรนด์ "Suri by Surivipa" ใช้กลยุทธ์ Creative Niche ปั้นแบรนด์หรูอินเทรนด์แฟชั่น ด้านดุจดาว รองรานีช้างเปิดร้านจัมโบ้ดีไซน์ เจาะตลาดแมส"
ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ..
น้องนก..


โดย: thaichanok@hotmail.com IP: 202.29.51.2 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:31:53 น.  

 
fดีคร่า...............

หนูอยากให้พี่พูดถึงเรืองนี้พอดีหนูทำวิจัยเรื่องนี้พอดีอ่ะค่ะ
เลยอยากได้ข้อมูลมาประกอบในงานวิจัย


โดย: hannebee_@hotmail.com IP: unknown, 202.28.48.14 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:46:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

A Princess
Location :
Columbia United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




A Princess







...
Q & A : nongluck.manow@gmail.com

...
New Comments
Friends' blogs
[Add A Princess's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.