Mission: Impossible - Ghost Protocol (2011) ...กล่มกล่อมพร้อมโรยกลิ่นอายแอนิเมชั่น
ด้วยธรรมชาติของหนังตระกูล Mission: Impossible ที่จะเปลี่ยนตัวผู้กำกับทุกๆครั้งที่มีภาคใหม่ออกมา คนดูจึงได้ดู Mission: Impossible ที่มีความแตกต่างกันตามวิสัยทัศน์ของผู้กำกับภาคนั้นๆ (Brian De Palma, John Woo, และ J.J. Abrams)
เพียงแต่กับกรณี Ghost Protocol ภาคล่าสุดของหนังชุดนี้นั้นดูจะต่างออกไปจากสามภาคที่ผ่านมา เพราะนอกจากการทำเก๋ด้วยการมีชื่อต่อท้ายเรื่อง ไม่ได้ต่อท้ายด้วยตัวเลขแบบภาคก่อนๆแล้ว ผู้กำกับที่ได้รับเลือกให้มากำกับหนังภาคนี้ยังเป็นผู้กำกับหนังแอนิเมชั่นชื่อดังที่ไม่เคยจับงานหนังคนแสดงแบบจริงๆจังๆมาก่อนอย่าง Brad Bird (The Iron Giant, The Incredibles, Ratatouille) อีกด้วย
นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ...พอๆกับที่เป็นตัวเลือกที่ไม่น่าแปลกใจนักสำหรับใครที่ได้ไปดูหนังภาคนี้มาแล้ว เพราะ Ghost Protocol อาจถือได้ว่าเป็น Mission: Impossible ภาคที่มีฉากแอ็คชั่นที่มโหฬาร ระเบิดระเบ้อมากที่สุดเท่าที่หนังชุดนี้เคยมีมาเลยก็ว่าได้
ฉากเด็ดๆอย่างฉากปีนป่ายตึกบูร์จคาลิฟา,ฉากไล่ล่าในพายุทราย,หรือฉากต่อสู้ในโรงเก็บรถไฮเทคตอนท้าย ล้วนแล้วแต่เป็นฉากแอ็คชั่นที่แลดูเล่นท่ายากและโม้จัดหนักเสียจนแม้แต่ผู้กำกับหนังแอ็คชั่นมือแน่ๆก็อาจมีตึงมือ วิสัยทัศน์ของคนทำหนังแอนิเมชั่นของผกก. Bird จึงเป็นสิ่งที่ช่วยได้
ฉากแอ็คชั่นจากฝีมือการกำกับของผกก. Bird จึงมีความลื่นไหล เปี่ยมไปด้วยกึ๋นและความคิดสร้างสรรค์ในแบบที่คนดูไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากหนังแอ็คชั่นทั่วไป พร้อมกับมีกลิ่นอายความเป็นหนังแอนิเมชั่นแอบแฝงอยู่ชนิดที่ใครที่เคยดู The Incredibles มาก่อนคงจะสัมผัสได้ถึงความคล้ายคลึงบางอย่าง
ในขณะเดียวกัน ผกก. Bird ก็สามารถควบคุมระดับความโม้ของฉากแอ็คชั่นของเขาให้อยู่เกณฑ์ที่พอดี คือถึงจะโม้แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นการ์ตูนมากเกินรับ(ต่างจากภาคสองและบางช่วงของภาคแรก) รวมถึงฉากปล่อยมุขและฉากดราม่าต่างๆที่มีเพียงไว้พอแค่ให้เป็นน้ำจิ้มให้คนดูได้แก้เลี่ยนจากฉากแอ็คชั่นเป็นครั้งคราว(ต่างจากภาคสามที่ดราม่าเยอะแต่ยังเขย่าให้เข้ากับความเป็นแอ็คชั่นได้ไม่ลงตัวเท่าที่ควร)
โดยรวมแล้วถือว่าผกก. Bird สามารถนำวิสัยทัศน์ของคนทำหนังแอนิเมชั่นมาปรับใช้กับการทำหนังคนแสดงได้อย่างได้ผลและพอเหมาะ เป็นมาตรฐานที่น่าจับตามองว่าคนทำหนังแอนิเมชั่นที่ผันตัวมาทำหนังคนแสดงคนอื่นๆ(เช่นผกก. Andrew Stanton (Finding Nemo, WALL.E) กับ John Carter) จะสามารถทำตามได้หรือไม่?
นักแสดงแต่ละคนในหนังเรื่องนี้ล้วนทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองและเล่นเข้าขากันได้ดี นอกนั้นแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงมากนักเพราะแต่เดิมหนังแอ็คชั่นอย่าง Mission: Impossible ก็ไม่ใช่หนังประเภทที่คนดูจะเรียกร้องเอาการแสดงระดับออสการ์จากนักแสดงอยู่แล้ว นอกเสียจากข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆที่อยากพูด(พิมพ์)ถึงอย่าง...
Tom Cruise ยังคงวิ่งหน้าตั้งได้เท่เหมือนเดิม, Paula Patton ร้อนฉ่า แต่ก็มีบางมุมเหมือนกันที่มองแล้วเฉยๆ, Simon Pegg ยังฮาหน้าซื่อเหมือนเดิม(และตอนดูแอบหวังนิดๆว่าเจ้าตัวจะโชว์ลีลาบู๊ระห่ำแบบใน Hot Fuzz), คาแรคเตอร์ของ Jeremy Renner ในเรื่องนี้ค่อนข้างจะนิ่มกว่าเรื่องที่ผ่านๆมา (The Hurt Locker, The Town) เยอะพอตัว แถมเจ้าตัวยังรับส่งมุขกับ Simon Pegg ได้เข้าทีผิดคาดไปเลยอีกเหมือนกัน, Michael Nyqvist (พระเอก The Girl with the Dragon Tattoo ต้นฉบับ)เหมาะกับบทตัวร้ายสเตอริโอไทป์แนวๆนี้ เพียงแต่ไอ้การมีตัวร้ายสเตอริโอไทป์แบบนี้นี่แหละที่ดูจะเป็นจุดอ่อนที่เห็นชัดที่สุดของหนังภาคนี้(ส่วนตัวแล้วยังยกให้ Philip Seymour Hoffman ในหนังภาคสามเป็นตัวร้ายที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้) ฯลฯ
สรุป...ดูจบแล้วนึกถึงหนังอย่าง Die Hard 4.0, Sherlock Holmes ในแง่ของความเป็นหนังแอ็คชั่นชูรสป๊อปคอร์น (Popcorn flicks) ที่มีคุณภาพ
ดีที่สุดในบรรดาหนัง Mission: Impossible รึเปล่า? อันนั้นก็แล้วแต่มุมมอง(ถ้าว่ากันในแง่ของคำวิจารณ์แล้วก็คงจะใช่ แต่ก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ยกให้ภาคแรกเป็นภาคที่ดีที่สุด) แต่ที่แน่ๆก็คือ Mission: Impossible - Ghost Protocol คือหนังภาคที่กล่มกล่อมที่สุดของหนังชุดนี้
และแม้ว่าจะยังดีเทียบเท่ามาตรฐานอันสูงลิบของสายลับรุ่นพ่ออย่าง Bond หรือรุ่นน้องอย่าง Bourne ไม่ได้ แต่ในแง่ของความมันส์แบบเป็นไปไม่ได้ (Impossible) แล้ว...ไม่มีเรื่องไหนสู้ได้แน่นอน
7.5/10
ป.ล. ลำดับความชอบของผมที่มีต่อหนังตระกูล Mission: Impossible ...
Ghost Protocol > III > I >>> II
Create Date : 18 ธันวาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 17:05:57 น. |
Counter : 1372 Pageviews. |
|
|
|