The Social Network (2010) ...เด็กเอ๋ย...เด็กดี Facebook นี้นั้นมีที่มา
เนื้อเรื่องของหนังว่าด้วยเรื่องราวประวัติความเป็นมาของ Facebook
และทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ตั้งแต่วันแรก วันที่ Mark Zuckerberg (Jesse Eisenberg) ตั้งเว็บโหวตสาวฮ็อตประจำมหาลัยเพื่อประชดแฟนเก่าที่เพิ่งเลิกรากันไปจนเซิร์ฟเวอร์ของมหาลัยล้มเพราะผู้เข้าชมเยอะเกิน ยันวันที่ Mark และ Eduardo Saverin (Andrew Garfield) อดีตเพื่อนรักของเขาต้องต่อสู้กันในชั้นศาลเพื่อสิทธิ์การเป็นผู้ก่อตั้ง Facebook
เรื่องราวทั้งหมดเบื้องหลังการก่อตั้งหนึ่งในเครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ตที่ฮิตที่สุดตลอดกาลมีความเป็นมายังไงนั้น? โปรดติดตามต่อได้ใน The Social Network
หนังเกี่ยวกับ Facebook ? นี่คือสิ่งแรกที่ผมคิดตอนได้ข่าวเกี่ยวกับโปรเจ็กต์หนังเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ Facebook เรื่องนี้
สงสัยฮอลลีวู้ดจะไอเดียหมดก๊อกจริงๆเสียแล้วล่ะมั้ง? นี่คือความคิดที่สองของผมเมื่อดูจากรูปการของวงการหนังฮอลลีวู้ดตอนนี้ที่ดาษดื่นไปด้วยการรีเมค/รีบู๊ท/รีอิมแมจิ้นหนังดังในอดีต(โดยเฉพาะหนังสยองขวัญ),สารพัดภาคต่อของแฟรนไชส์หนังที่ยังหลอกกิงตังค์จากแฟนๆผู้ใสซื่อทั้งหลายไปได้เรื่อยๆ, 3D, 3D, และ 3D ฯลฯ
David Fincher
? นี่ความคิดแรกของผมตอนที่รู้ว่าหนึ่งในผู้กำกับยุคนี้ที่ผมชอบมากที่สุดกำลังจะมากำกับโปรเจ็กต์หนังเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ Facebook หา...!!!??? นี่คือความคิดที่สองของผม
...มันอาจจะออกมาดีก็ได้นะ นี่คือความคิดที่สามของผม
คำถามต่อไปก็คือ...ผกก.ผู้ที่เคยทำหนัง Thriller Suspense ชั้นดีที่แหกตำราหนัง Thriller Suspense (Se7en), หนังเสียดสีระบบทุนนิยมที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ (Fight Club), หนังเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด (The Game), หนังตีแผ่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมชื่อกระฉ่อน (Zodiac), และเอิ่ม... Forrest Gump เวอร์ชั่นเดินถอยหลัง (The Curious Case of Benjamin Button) จะปั้นให้หนังเกี่ยวกับ Facebook ออกมาดีได้มั้ย?
ในแง่คำวิจารณ์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีจริงและในแง่ของการพิสูจน์ด้วยตาตัวเองนั้น...
สุดยอด นั่นคือความคิดแรกของผมตอนดู The Social Network จบ
ทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้คือหนึ่งในการรวมทีมดาวรุ่งยุ่งใหม่ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ทั้ง Jesse Eisenberg ที่สลัดมาดเนิร์ดติ๋มอันเป็นภาพจำของเขาจากหนังในเนมเรื่องก่อนๆอย่าง Zombieland, Advertureland ไปเป็นเนิร์ดจริงจังที่แอบแฝงความเปราะบางเอาไว้ลึกๆได้อย่างสนิทใจเสียจนได้ตำแหน่งผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายไปอย่างไร้ข้อกังขา,
Armie Hammer ในบท Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss สองพี่น้องฝาแฝด ดาวกีฬาประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่โดน Mark ฉกเอาไอเดียเครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ตไปดัดแปลงเป็นของตัวเอง(ซึ่งก็คือ Facebook)
Hammer เล่นเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ถึงแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ทางกายภาพที่เหมือนกันแต่ก็มีนิสัยที่ต่างกันได้อย่างแนบเนียน รวมเข้ากับการใช้มุมกล้องและ CGI ทำให้นี่กลายเป็นการแสดงระดับน้องๆของการแสดงเป็นฝาแฝดของ Jeremy Irons ใน Dead Ringers และ Nicolas Cage ใน Adaptation. เลยทีเดียว,
Justin Timberlake ในบท Sean Parker ผู้ก่อตั้ง Napster ที่พยายามจะเอี่ยวกับ Facebook
ด้วยเสน่ห์(ที่ดูๆไปแล้วก็น่าหมั่นไส้) ทำให้การแสดงของพ่อนักร้องดังแลดูน่าเชื่อถือว่าคนอย่างเขาจะสามารถใช้คารมดึงผู้คนรอบกายมาเป็นพวก(และ/หรือหุ้นส่วน)ได้จริงๆ
น่าคิดว่าอนาคตของการแสดงของ Timberlake คงจะไปได้สวยกว่าการร้องเต้นอันเป็นอาชีพหลักของเจ้าตัวด้วยซ้ำ,
และ Andrew Garfield ในบท Eduardo Saverin เพื่อนซี้ของ Mark และผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook
ด้วยของที่มีและบทที่เอื้อแก่การโชว์ ทำให้บทบาทของเขาเป็นบทบาทที่คนดูสามารถมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้มากที่สุด
เขาสามารถกลืนหายไปกับตัวหนัง และในขณะเดียวกันก็สามารถยึดตัวหนังเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวได้(โดยเฉพาะในฉากรู้ข่าวดีกับฉากทุ่มโน้ตบุ๊ค) ทำให้ผมยกให้เขาเป็นนักแสดงที่แสดงได้ดีที่สุดในเรื่อง
ผมไม่ได้โอ้ละพ่ออะไรมากมายตอนที่รู้ข่าวว่าพ่อหนุ่มคอยาวผู้นี้จะได้เป็นว่าที่ Peter Parker คนต่อไปใน Spider-Man ฉบับรีบู๊ทของผกก. (500) Days of Summer เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครแทนที่ Peter Parker ของ Tobey Maguire ได้ แต่หลังจากที่ผมได้ดูการแสดงของ Andrew Garfield ในหนังเรื่องนี้แล้ว...ใครจะรู้? เขาอาจจะเป็น Peter Parker ที่ดีกว่าที่ Tobey Maguire เคยเป็นเลยก็ได้
การกำกับภาพ/ศิลป์...เนี้ยบ ยังคงไว้ใจการเล่นมุมกล้องสุดเฟี้ยวฟ้าวและการใช้ภาพโทนสีเขียวมรกตของอดีตผู้กำกับมิวสิควิดีโอนามว่า David Fincher ได้เหมือนเดิม
บทหนัง...แน่น ไดอะล็อก...เป๊ะ จากน้ำมือของมือเขียนบทมือทองผู้หลงไหลในการเขียนบทสนทนานามว่า Aaron Sorkin อดีตมือเขียนบทของหนังอย่าง A Few Good Men, The American President, และ Charlie Wilson's War
ทำให้ตัวหนังสามารถตัดสลับไปมาระหว่างฉากในศาลกับเนื้อเรื่องหลักได้อย่างไม่ทำให้รูปหนังเสียขบวน ซ้ำยังทำให้ความเข้มข้นของหนังข้นขลักยิ่งขึ้น
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงงานตีแผ่เรื่องจริงชิ้นก่อนของ Fincher อย่าง Zodiac นิดๆ เพียงแต่ The Social Network เป็นหนังที่สั้นกว่า Zodiac หลายขุม(สองชั่วโมงกับสองชั่วโมงครึ่งๆกว่าๆ)และเดินเรื่องได้รวดเร็วกว่า Zodiac หลายเท่า
จะว่านี้เป็นงานคืนสู่พลังวัยหนุ่มของ Fincher หลังจากพักหลังๆทำแต่หนังแนวเรื่อยๆมาเรียงๆ (Zodiac, The Curious Case of Benjamin Button) ก็ว่าได้
สรุป...เป็นหนังที่สามารถตอบโจทย์คอหนัง Drama ดีๆและ/หรือหนังที่มีองค์ประกอบตามภาษาหนังในระดับดีเยี่ยมอยู่อย่างครบถ้วน
ในฐานะแฟนานุแฟน Fincher คนหนึ่ง...ขอยกให้ The Social Network เป็นหนังของ David Fincher เรื่องที่ผมชอบมากที่สุดเป็นอันดับที่สามรองจาก Fight Club และ Se7en
แฟนานุแฟนคนอื่นๆของ Fincher ...ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
8.0/10
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2553 |
|
10 comments |
Last Update : 25 เมษายน 2554 8:39:58 น. |
Counter : 2957 Pageviews. |
|
|
|
ผมหวังไว้มากเลย เรื่องนี้ ......