The Fighter (2010) ...แมตช์เก่าๆ...ที่เอามารีมาสเตอร์ใหม่
นับตั้งแต่หนังชกมวยดีกรีออสการ์อย่าง Rocky เป็นต้นมา...โจทย์สำคัญของหนังชกมวยทุกๆเรื่องก็คือการนำเอาสูตรเนื้อเรื่องแนว Rise and fall and rise again มาเขย่าใหม่ให้เป็นของๆตัวเอง
สิ่งที่ The Fighter ทำคือการเอา"ส่วนผสม"บางส่วนของสูตรสำเร็จนั้นมาปรุงเสียใหม่
เช่น หนังนักมวยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่เรื่องราวของตัวเอกนักชกของเรื่องแต่เพียงผู้เดียว
The Fighter กลับเลือกที่จะนำเสนอทั้งเรื่องราวของตัวเอกของเรื่องอย่าง Micky Ward และตัวสมทบอย่าง Dicky Eklund ไปพร้อมๆกัน
โดยเฉลี่ยเกลี่ยน้ำหนักเรื่องราวของทั้งสองตัวละครให้อยู่ในระดับที่เสมอๆ สมดุลกัน และมีประเด็นสายสัมพันธ์ของพี่น้องเป็นตัวยึดเหนี่ยวไว้อีกที เหมือนเป็นทางสองสายที่มาบรรจบกันในตอนท้าย
และอีกอย่างหนึ่งคือประเด็นเกี่ยวกับครอบครัวในหนัง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังชกมวยเรื่องอื่นๆ
ตรงที่ว่าโดยปกติแล้ว"ครอบครัว" ไม่ว่าจะบุพการี,พี่น้อง,ผองเพื่อน,หรือคนรักของตัวเอก มักจะเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ตัวเอกผ่านพ้นมรสุมชีวิตของตัวเองไปได้ในท้ายที่สุด
แต่ใน The Fighter ...มรสุมชีวิตของตัวเอกของเรื่องก็คือ"ครอบครัว"นั่นเอง
ตัวหนังยังทำให้ประเด็นนี้ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอยู่แล้วละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นด้วยการใส่ประเด็น"ทางเลือก"ของตัวเอก ระหว่าง"ครอบครัว"กับ"ตัวเอง"เข้าไปอีก
หาก Micky เลือกที่จะอยู่กับ"ครอบครัว" เขาจะมีครอบครัวที่รักและสนับสนุนเขาเต็มร้อยอยู่เคียงข้างเสมอ...แต่นั่นอาจหมายถึงการที่เขาจะไม่มีทางไปได้ไกลกว่าที่ครอบครัวของเขาจะปูทางให้ได้ และเขาอาจต้องจมอยู่ในเงาของพี่ชายผู้เป็นเสาหลักของบ้านไปตลอดกาล
แต่ถ้า Micky เลือกที่จะหยืนหยัดด้วย"ตัวเอง" เขาอาจจะไปได้ไกล ประสบความสำเร็จได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง...แต่นั่นอาจหมายถึงการที่เขาต้องหันหลังให้กับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...พี่ชายผู้ที่เขารักและรักเขา และปลุกปั้นเขาจนเขาได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้
สุดท้ายแล้ว...ตัวหนังจะสรุปประเด็นอันละเอียดอ่อนนี้ได้อย่างไรนั้น? ขอให้ทุกท่านไปรับชมกันเอาเอง แต่เชื่อเถอะว่า...มันจะออกมาน่าประทับใจ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม การแสดงของ Christian Bale ในบท Dicky Ecklund ในหนังเรื่องนี้ถึงเป็นที่กล่าวขาน
ทั้งการลงทุนลดน้ำหนักจนผอมกะหร่องเหมือนคราวตอนที่เขาเล่นเรื่อง The Machinist และการแอ็คติ้งแบบคนติดยา ออกไฮเปอร์นิดๆ และไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างหนัก(แถมยังเป็นการแสดงที่"เหมือน"มาก...ใครที่ดูหนังเรื่องนี้"จนจบ"คงจะเข้าใจ)
เป็นการคืนฟอร์มอย่างสมศักดิ์ศรีหลังจากตกเป็นลูกไล่ให้นักแสดงร่วมจอในหนังเรื่องอื่นๆ (The Dark Knight, Public Enemies, Terminator Salvation ฯลฯ) มาพักใหญ่ๆโดยแท้
แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความพระเอกตัวจริงของเรื่องอย่าง Mark Walhberg ในบท Micky Ward จะโดนกลบรัศมีไปจนหมดเลยเสียทีเดียว
การกลับมาร่วมงานกันเป็นครั้งที่สามของเฮีย Mark กับผกก.คู่บุญ David O. Russell ในครั้งนี้หลังจาก Three Kings, I Heart Huckabees ได้ทำให้เฮีย Mark มอบการแสดงที่ดีที่สุดของเขาในพักหลังๆมานี้หลังจากมีชะตากรรมคล้ายๆคนที่แสดงเป็นพี่ตัวเองด้วยการไปจมปลักอยู่กับหนังที่ควรค่าแก่การลืมเลือนทั้งหลาย (The Happening, Max Payne ฯลฯ) มาพักใหญ่ๆ
เป็นการคืนฟอร์มที่อาจจะไม่ทรงพลังเท่าเฮีย Bale ...แต่ก็สมศักดิ์ศรีไม่แพ้กัน
และนอกจากการแสดงของสองหนุ่มแล้ว แรงซัพพอร์ตจากสองสาว รุ่นเล็ก (Amy Adams) และรุ่นใหญ่ (Melissa Leo) ก็ไม่ควรถูกมองข้ามไปแต่อย่างใด
ไฮไลท์อีกอย่างที่ถึงแม้จะถูกทำให้ดูด้อยลงด้วยเนื้อเรื่องอันเข้มข้นและทีมนักแสดงที่ร่วมใจกันแสดงดีก็คือฉากชกมวย ที่ผมขออวยอย่างไม่เว่อร์เลยว่าเป็นฉากชกมวยที่สมจริงเท่าที่ผมเคยเห็นมาในหนัง
ผสมโรงด้วยการถ่ายทำให้ออกมาเหมือนการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ทำให้โทนอารมณ์ของฉากสมจริง ชวนลุ้นระทึกยิ่งขึ้น ดูแล้วนึกถึงตอนดูฉากแข่งรักบี้รอบเวิลด์คัพในหนังกีฬาพาชาติเจริญของปู่ Clint Eastwood เรื่อง Invictus ยังไงอย่างงั้น
สรุป...อาจไม่ใช่หมัดที่หนักพอที่จะป่วนจิต Inception,โค่นบัลลังก์ The King's Speech,ทำเซิร์ฟเวอร์ The Social Network ล่มบนเวทีรางวัล
แต่หมัดนี้...ก็เป็นหมัดที่แรงพอที่ฮุกซ้ายฮุกขวาจนคว้าเข้มขัดแชมป์จากใจคนดูมาได้อย่างแน่นอน
8.0/10
Create Date : 30 มกราคม 2554 |
|
3 comments |
Last Update : 30 มกราคม 2554 19:48:30 น. |
Counter : 1879 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาทักทายค่ะอากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ดูแลสุขภาพดีๆ ด้วยนะคะ