www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Blog No.11 : จอบส์ไม่ได้กล่าว


.... "ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจหรืออาจกล่าวว่าชีวิตผมเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของความสำเร็จ แต่นอกจากการทำงานแล้ว ผมไม่ได้มีความสุขนัก เพราะผู้คนชอบแชร์คำพูดที่ผมไม่เคยพูด (เห็นว่าไอน์สไตน์เองก็โดนบ่อยๆ)ถ้าคุณเคยติดตามเรื่องราวของผม น้องสาวของผมก็เคยให้สัมภาษณ์กับ the New York Times แล้วว่าคำพูดสุดท้ายก่อนตายของผมคือ "Oh wow. Oh wow. Oh wow." แต่คำพูดสุดท้ายที่คนไทยได้อ่านมันยาวเหลือเกิน Smiley

ไม่ใช่แค่คำพูดสุดท้ายแต่หนังสือหลายเล่มก็ชอบอ้างผมไปประกอบเนื้อหาเอาผมไปอยู่ในชื่อหรือรูปที่หน้าปก (ผมสังเกตว่านอกจากผมก็จะมีไอน์สไตน์ กับ พระพุทธเจ้า ที่โดนบ่อยๆ) ทั้งๆที่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แล้วผู้คนก็ไม่เอะใจเลยว่าทำไมมีแต่คนไทยที่ได้อ่านโดยที่มันไม่เคยปรากฎต้นฉบับในบันทึกหรือหนังสือประวัติของผมเลย


ในขณะนี้ ผมกำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงและพยายามรำลึกถึงชีวิตของผมที่ผ่านมาผมพบว่าความร่ำรวยที่ผมเคยภูมิใจ กลับไม่มีค่าอะไรเลยในช่วงสุดท้ายที่ผมกำลังจะตาย


ในความมืด ผมมองเห็นคนกดแชร์คนกดไลค์ แล้วพอมีคนมาทักท้วงก็สวนกลับไปว่า “จริงไม่จริงไม่สำคัญหรอกมันคือเรื่องราวดีๆสอนใจที่อยากแบ่งปัน” หรือ“ถ้าคิดว่าไม่จริงก็ไปหาหลักฐานมาซิ”ทั้งๆที่จริงคนแชร์นั่นแหละควรมีหลักฐานประกอบเองไม่ใช่เหรอ

ตอนนี้ผมเพิ่งตระหนักว่า เฮ้ย อะไรวะทำไมคนยุคใหม่ไม่สนความจริงแล้วสนใจแต่ความรู้สึกดีๆที่ได้อ่านหรือรู้สึกดีๆที่ได้แชร์ หรือเป็นเพราะเราอ่านอะไรที่ถูกจริตหรือตรงกับธงที่อยู่ในใจก็ไม่รีรอที่จะเผยแพร่เพราะรู้สึกดีที่มีคนคิดเหมือนกัน

ใช่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องราวดีๆมีข้อคิดสอนใจแต่มันเป็นเรื่องแต่งที่อ้างว่าเป็นเรื่องจริง แต่ เอาจริงดิ! คุณยอมรับการหลอกกันแบบนี้ได้หรือ คนรุ่นนี้ขาดแคลนกำลังใจ ขาดแคลนข้อคิดจนต้องยอมรับเรื่องโกหกกระนั้นหรือ Smiley

แล้วพอคุณส่งต่อๆเรื่องโกหก ยิ่งถ้ามีคนหยิบมาเขียนใหม่แล้วใส่รูปทำใหม่จนน่าเชื่อถือ คนรุ่นลูกหลานคุณที่อ่านภายหลังก็จะเชื่อเรื่องโกหกมากมายที่คนรุ่นพ่อแม่บันทึกไว้ เหมือนคุณมีส่วนสร้างประวัติศาสตร์ที่บิดเบือน

ผมรู้สึกท้อแท้เหลือเกินที่คนรุ่นใหม่ใช้หลักกาลามสูตรกันน้อยลง ยินยอมโอบรับเรื่องไม่จริงเพียงเพื่อให้หัวใจเบิกบาน 


การไม่ยอมหยุดพฤติกรรมแบบนี้คงจะทำให้คนรุ่นใหม่เหนื่อยมากขึ้นที่ต้องเสพข้อมูลมากมายจนคิดว่าตัวเองรู้มากแต่ความจริงไม่ได้รู้จริงแล้วต้องเหนื่อยเพราะเต็มไปด้วยข้อมูลมั่วๆมากมาย แล้วก็อาจกลายเป็นคนที่คิดวิเคราะห์ แยกแยก ได้น้อยลงเพราะรีบเชื่อทุกอย่างง่ายๆจนสมองส่วนนี้ไม่ค่อยได้ใช้งาน


มือถือหรือคอมที่แพงที่สุดในโลกในมือคุณ
คุณสามารถทำงานหาเงินมาใช้ได้  แต่สติในการใช้นั้นไม่มีใครมาทำแทนคุณได้
แต่เรามักจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไปเสมอ

เขียนๆมาชักยาว ปกติยาวไปเราก็มักจะไม่อ่านเอาเป็นว่านี่เป็นคำพูดสุดท้ายจริงๆแล้วนะ คืออย่าลืมไปลองหาหนังสือ ‘เมื่อฉันลืมตาแล้วโลกเปลี่ยนไป(อีกครั้ง)’ มาอ่านกันผมอ่านแล้วประทับใจมาก

ดูซิ เห็นมั้ย ผมไทอินขนาดนี้บางคนก็ไม่รู้นะ เพราะเคยชินกับเพจที่โฆษณาสินค้าแต่ไม่บอกตรงไปตรงมาแล้วพอคุณไม่รู้ตัวคุณก็กลายเป็นเหยื่อการโฆษณา ยิ่งมีรูปผมประกอบบทความด้วยคุณก็จะรีบแชร์

จงมีสติในการเสพสื่อในโลกยุคใหม่ให้มากๆนะครับพี่น้องชาวไทย Smiley

#จ๊อบส์ไม่ได้กล่าว

ลิงค์บทความเรื่องคำพูดสุดท้ายของสตีฟ จอบส์ ที่น้องสาวของเขาเคยให้สัมภาษณ์ :
www.theguardian.com/technology/
2011/oct/31/steve-jobs-last-words

ลิงค์ต้นฉบับคำไว้อาลัยของน้องสาวที่มี
Oh wow :
www.nytimes.com/2011/10/30/opinion/mona-simpsons-eulogy-for-steve-jobs.html?pagewanted=all&_r=0




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2558 19:46:00 น. 0 comments
Counter : 2451 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 พฤศจิกายน 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.