www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

ชำแหละ The Village , หมู่บ้านนี้มีความลับ หมู่บ้านนี้มีความรัก




Spoiler alert : บทความเรื่องนี้เฉลยสิ่งที่ควรเป็นความลับจากหนังเรื่อง The Village


ยังจำได้ว่า ... ตอนออกมาจากโรงหนังหลังดูหนังเรื่องนี้ ในลิฟต์มีฝรั่งพูดขึ้นมากับแฟนว่า “boring scary”

ยังจำได้ว่า ... ตอนอ่านความเห็นที่มีต่อหนังเรื่องนี้ หลายคนรู้สึกผิดหวังเพราะมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาด มันไม่มีผี มันไม่มีอะไรเลยแค่คนเข้าไปอยู่กระจุกกันอยู่ในอุทยาน

ยังจำได้ว่า ... ตอนดูหนังจบผมชอบหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนกลับมาเขียนทันทีที่กลับมาถึง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่องแรก ที่กล้าเขียนแสดงความเห็นในเน็ตให้คนอ่าน

ผมชอบ เพราะผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหักมุม ไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นหนังสยองหรือผีจะโผล่ เพราะจากดูประวัติอดีตที่ผ่านมาหนังของ M. Night Shyamalan ภายใต้รูปลักษณ์ของหนังสยองขวัญหักมุมมักจะมีเนื้อในซ่อนอยู่เสมอ

...The Village ก็เช่นกัน หมู่บ้านแห่งนี้มีอะไรมากไปกว่า หนังสยองขวัญหักมุม หรือ นิทานผู้ใหญ่หลอกเด็ก

คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้คงยังจำได้ว่า The Village เป็นเรื่องของ ญาติผู้เสียชีวิตจากอาชญากรรม พวกเขามาพบกันขณะมาบำบัดรักษาที่โรงพยาบาล

(รูปแบบการรักษาในเรื่องเข้าใจว่ามาทำ group therapy - เราสามารถพบกลุ่มลักษณะนี้ที่เรียกว่า กลุ่มจิตบำบัด เป็นการรักษาหรือบำบัดทางใจรูปแบบหนึ่งพร้อมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งสมาชิกในกลุ่มมักเป็นผู้ที่มีโรคเหมือนกัน

เช่น กลุ่มคนไข้ติดเหล้ามาบำบัดเพื่อเลิกเหล้า , กลุ่มคนไข้เบาหวาน ฯลฯ หรือ ผู้ที่มีบาดแผลทางใจจากการประสบเหตุการณ์ร้ายแรงเหมือนๆกัน เช่น กลุ่มญาติของผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ฯลฯ)

คนกลุ่มนี้ในเรื่อง ล้วนสูญเสียคนใกล้ตัวไปเนื่องจากอาชญากรรม พวกเขาจึงตัดสินใจเลือกหนี สังคมเดิม แล้วไปสร้าง สังคมใหม่ ขึ้นมาในอุทยานแห่งหนึ่งที่ล้อมรั้วรอบขอบชิด พร้อมแนวคิดที่น่าสนใจเหมือนการทดลองว่า

หากสังคมภายนอกมันชั่วร้าย แล้วเรามาสร้างสังคมใหม่ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องปลอดจากความเลวร้าย ปรับรูปแบบสังคมแวดล้อม เพื่อ ลูกหลานที่เติบโตต่อไปจะหนีความชั่วร้ายได้พ้น

... สิ่งเล็กๆสิ่งหนึ่งที่พวกเขาลืมไป สังคมที่ว่าชั่วร้าย มันไม่ได้ชั่วร้ายเพราะตัวสังคมสิ่งแวดล้อม ความชั่วร้ายในสังคม มันแตกรากมาจาก เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ใจคน คนที่อาศัยอยู่ในสังคมต่างหาก คือ ต้นเหตุของความชั่วร้าย


The Village – หมู่บ้านแห่งนี้มีความลับ




พวกเขา สร้าง บรรยากาศรอบตัวทั้งเครื่องแต่งกาย อาคารบ้านเรือนให้เป็นเหมือนยุคอดีต ยุคที่ความรุนแรงยังไม่แพร่กระจายเด่นชัดเช่นทุกวันนี้

พวกเขา สร้าง Those we don’t speak of คือ ตัวแทนปีศาจหรือสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตสัตว์ในป่า เป็นปีศาจในตำนานที่ผู้ใหญ่ใช้หลอกเด็กว่ามันพร้อมทำร้ายชีวิตคนในหมู่บ้าน ทำให้เด็กหนุ่มสาวต้องคอยเฝ้าระวังการถูกคุกคาม

พวกเขา กำหนด สีแดง ว่าเป็นสีแห่งความชั่วร้ายที่จะชักนำปีศาจมา สีเหลือง เป็นสีที่จะคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วร้ายนั้น

...แผนการณ์รอบคอบรัดกุมที่เหล่าผู้ก่อตั้งหมู่บ้านวางไว้เหมือนจะดำเนินไปด้วยดี เด็กหนุ่มสาวรุ่นลูกหลานกลัวสีแดง พวกเขาไม่กล้าออกนอกเขตหมู่บ้าน พวกเขาห่มเสื้อผ้าสีเหลืองเพราะเชื่อว่ามันจะปกป้องเขาจากอันตราย

แต่ไฉน สีแดง(เลือด , ความชั่วร้าย) จึงมาปรากฎในมือของ Noah Percy และเคลือบฉาบหัวใจของเขา

ชายหนุ่มที่มีลักษณะ Mental retardation หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า ปัญญาอ่อน เขาดูยิ้มแย้มตลอดเวลา เหมือนเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แทบจะเป็นคนสุดท้ายที่เราอยากจะเชื่อว่าเขาคือ คนแทงพระเอก

แต่เมื่อเขารู้ว่า สิ่งที่เขารักกำลังจะถูกแย่งไป เขาก็กระทำสิ่งที่เหล่าผู้เฒ่าในหมู่บ้านหวาดกลัวมาตลอดนั่นคือ การก่ออาชญากรรม

...นั่นแสดงให้เห็นว่า ขอเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา หากจิตใจไร้ซึ่งการปลูกฝังศีลธรรมย่อมง่ายดายต่อการถูกครอบงำด้วย สีแดง(ความชั่วร้าย) เราไม่สามารถป้องกันความชั่วร้ายได้ด้วยแค่การขู่หรือให้กลัว แต่ต้องเกิดจาก การปลูกฝังศีลธรรม นั้นให้เกิดในใจคน

...การสอนให้รู้จักแค่ว่า สีแดงคือความชั่ว สีเหลืองคือความดี มันเป็นแค่เปลือกนอก ศีลธรรมของคนเรานั้นจะเกิดขึ้นได้ควรพัฒนาตามขั้นตอน moral development (พัฒนาการของศีลธรรม) ที่ Lawrence Kohlberg นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน แบ่งเอาไว้มีทั้งหมด 3 ระดับ

ระดับที่เหล่าผู้ใหญ่ใช้กับเด็กหนุ่มสาวในหมู่บ้านเป็นเพียงระดับต้น เป็น ระดับศีลธรรมระดับเดียวที่เกิดกับเด็กตัวเล็กๆ คือ คนไม่ทำผิด เพราะกลัวการถูกลงโทษ ไม่ใช่เพราะรู้ผิดชอบชั่วดี

...หากเด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ศีลธรรมของมนุษย์ควรจะพัฒนาไปได้ถึงระดับ 3 นั่น คือ การรู้ผิดชอบชั่วดีซึมซับอยู่ในจิตใจ โดยไม่ต้องมีกฎมาคอยขู่บังคับให้กลัว เราเลือกที่จะทำดีไม่ทำชั่วเพราะมีศีลธรรม

...สี เป็นเพียง สัญลักษณ์ที่มนุษย์แต่งแต้มให้เป็นตัวแทน

สีแดงหรือความชั่วร้าย ... มันไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยแวดล้อม ต่อให้เราจะกำหนดขอบเขตหรือควบคุมปัจจัยภายนอกได้ดีเพียงใด แต่ ไม่ได้ลงไปชำระที่จิตใจของคน ก็ยากที่จะหยุดยั้งความชั่วร้ายเหล่านั้น

สีเหลือง หรือ ความดี ก็เช่นกัน ... เราไม่สามารถป้องกันความชั่วร้ายได้เพียงการระบายสีเหลืองที่ เสื้อผ้า หรือ ต้นไม้ แต่ที่ต้องทำคือ ระบายมันลงในใจให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อความชั่วร้ายที่จะเข้ามาคุกคาม

...แล้วเพราะอะไรเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายจึงทำเช่นนี้ ทำไมพวกเขาจึงเลือกจะสร้างนิคม The Village ขึ้นมา เป็นแค่การทดลอง หรือ เป็นแค่ความเชื่อของพวกเขาเท่านั้นหรือ ?

อีกเหตุผลหนึ่งของการมี The Village มีคำใบ้มาจาก ประโยคหนึ่งของตัวละครในเรื่องกล่าวว่า

We cannot run from heartache... Heartache is a part of life.


...มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ ความเจ็บปวด จาก การสูญเสีย เป็นกระบวนการหนึ่งที่คนเราต้องเผชิญ

การหลีกหนีหรือการไม่ประจันหน้ากับความเจ็บปวด กลับมีแต่จะทำให้การใช้ชีวิตต่อไปทำได้ยากขึ้น เพราะมันมีโอกาสนำไปสู่สภาวะสูญเสียที่ซับซ้อน (complicated grief) อันเป็นสภาวะหนึ่งที่ผู้สูญเสียไม่สามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติได้เพราะมีภาวะโรคซึมเศร้า(depression) ภาวะถดถอย(regression) ภาวะแยกตัว(isolation) เข้ามาแทนที่

ยาดีที่สุดที่จะรักษาแผลใจจากการสูญเสีย คือ ยอมรับความเจ็บปวดนั้นแล้วยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ปรับตัวให้พร้อมกับการมีชีวิตอยู่ต่อไป การยิ่งแกล้งไม่รู้ไม่เห็นหรือแกล้งลืมปานประหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้น รังแต่จะทำให้แผลแอบซ่อนหนองไว้ข้างใต้รอวันแตกปะทุเมื่อเจอสิ่งกระตุ้นเตือน

ความลับ ที่เหล่าผู้ใหญ่ประจำหมู่บ้านพยายามซุกซ่อน แท้จริงแล้วไม่ใช่ข้อมูลข่าวสาร แต่คือ ความเจ็บปวด ของตัวเอง

...พวกเขาอาจบอกว่าที่ไม่อยากบอกความจริงเพราะกลัวลูกหลานต้องมาเจอกับความชั่วร้าย หากลองสำรวจใจพวกเขาให้ลึกลงไปอีก การที่พวกเขาต้องล็อกความจริงในอดีตทั้งหลายใส่ไว้ในกล่อง มันก็เพราะตัวพวกเขาเอง ไม่พร้อมและไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับความจริงที่ยังคงเจ็บปวดอยู่

สิ่งที่พวกเขาพยายามจะล็อกเก็บไว้ คือ ความเจ็บปวดในใจตัวเอง แล้ว กลับไปสร้างสังคมใหม่ที่คาดหวังความสมบูรณ์แบบเสมือน ยูโทเปีย

สังคมที่พวกเขาพยายามจะใช้กลไกทางจิตด้วย การหลีกหนี(avoidance)และ ปฏิเสธ(denial)ความจริง ว่า เราสามารถหนีพ้นความชั่วร้ายหรืออาชญากรรมได้ในโลกใบนี้

แต่ความจริงก็คือ เราหนีความชั่วร้ายไปได้ไม่พ้นไม่ว่าจะหนีไกลแค่ไหนก็ตาม และสุดท้าย สีแดงที่เกิดขึ้นจากโนอาห์ ก็ทำให้พวกเขารู้ว่าสังคมเช่นนี้ที่พวกเขาหวังมันไม่มีจริง ปีศาจไม่ได้อยู่นอกเขตหมู่บ้านแต่มันสิงสู่อยู่ในใจคน

.. ชายที่เติบโตมาจากนอกหมู่บ้านอย่างพ่อของ Ivy แม้มีความปรารถนามาครอบงำ แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยให้เกิดความชั่วร้ายมันกัดกินใจตัวเอง ต่างจาก ชายที่เติบโตในหมู่บ้านอย่าง Noah

นี่ย่อมตอกย้ำให้เห็นว่า การมี The Village และสิ่งที่เหล่าผู้ใหญ่เพียรพยายามทำมา มันไม่ได้เป็นการป้องกันความชั่วร้ายที่ถูกทาง สิ่งที่พวกเขาควรทำไม่ใช่การหนีความชั่วร้ายและสร้างตำนาน

แต่ควรให้ลูกหลานรู้จักความชั่วร้ายในใจ และสอนให้รู้จักความดีที่จะจัดการกับมัน เช่นเดียวกับ ให้ตัวเอง(ผู้ใหญ่)ได้เผชิญกับความเจ็บปวดในใจและเยียวยามัน


The Village - หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ความลับ แต่หมู่บ้านนี้ยังมีความรัก




ความลับที่ พ่อของ Ivy Walker ต้องปกปิดจาก แม่ของ Lucius Hunt คือ ความรัก ที่เขามีให้กับเธอ แต่เพราะเขามีครอบครัว เขาจึงให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติภรรยา และ ให้เกียรติเธอ ที่จะไม่ล่วงเกินล่วงล้ำ แม้แต่สัมผัสเขาก็พยายามหลีกเลี่ยง

เขาบอกเธอว่า สิ่งที่เขาทำให้กับเธอได้มากที่สุดคือการยอมให้ลูกสาวของเขาออกจากเมืองนี้ไปช่วยลูกชายของเธอ เท่านั้นก็เป็น ความรัก ที่เขาสามารถมอบให้เธอ และ เธอก็น้อมรับมันด้วยหัวใจ


...ความรัก ในแง่มุมหนึ่งก็เหมือนกับ ความเจ็บปวด มันเป็นความรู้สึก ที่บางครั้งมันเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเราก็ไม่สามารถมีความสุขกับมันได้ในเวลานั้น

แต่เราไม่จำเป็นต้องหลีกหนีความรู้สึกตัวเอง เพียงแค่เราเรียนรู้ว่าเราจัดการมันอย่างไรให้เหมาะสมและถูกต้อง

...ความรักเป็นเหมือนแสงไฟนำทางโลกที่มืดบอดของ Ivy Walker และ ความรักก็เป็นเหมือนโอสถทิพย์ที่มาเยียวยาบาดแผลของ Lucius Hunt

เขา (Lucius Hunt) เป็นคนพูดไม่เก่ง ส่วน เธอ (Ivy Walker ) ก็เป็นคนช่างเจรจา ฉากที่โรแมนติกที่สุดในหนังฉากหนึ่งเกิดขึ้นจากบุคลิกของสองคนนี้เอง


เธอ ถามคำถามมากมายว่า เพราะอะไรที่ผ่านๆมาเขาถึงกล้าหาญในหลายๆเรื่องในเวลาที่อยู่กับเธอ ? , ในงานแต่งงานของเธอและเขา เขาจะเข้ามาขอเธอเต้นรำหรือไม่ ? , ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดสิ่งที่เขาคิดในหัวออกมาบ้างเลย ?


เขา ตอบกลับว่า แล้วทำไมเธอจึงไม่เคยหยุดพูดสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเองบ้าง, ทำไมเธอต้องนำเขาในเวลาที่เขาอยากจะเป็นคนนำเสียเอง, ทำไมทุกคนชอบบังคับเขาให้พูดตลอดเวลา เขาทั้งถามและตอบไปพร้อมๆกันว่า


Why what good is to tell you u are in my every thought from the time I wake?

What good can come from my saying I sometimes cannot think clearly, or do my work properly

What gain can rise from my telling you the only time I feel fears ac others do is when I think of you in harm this is why I an on this porch ivy

I fear of your safety before all others and yes I will dance with u on our wedding day



...ฉากที่ระเบียงนี้ เป็นฉากสารภาพรักและขอแต่งงานที่มีความเป็นธรรมชาติน่ารักอ่อนหวานมาก เช่นเดียวกับฉากที่ Ivy รอ Lucius Hunt มาพาเธอเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อมั่นในความรักของเขาที่มีต่อเธอ


… M. Night Shyamalan กำกับความรักในหนังเรื่องนี้ได้บริสุทธิ์สวยงาม เขาทำให้เราเชื่อในความรักที่เกิดขึ้น ทำให้เรามั่นใจว่า นางเอกจะยอมทำทุกวีถีทางในการออกจากป่าเพื่อช่วยคนรัก เหมือนที่เธอเชื่อมั่นในฉากหนึ่งว่า เขาจะมาจับมือเธอพาไปอยู่ในที่ปลอดภัยในที่สุด

ฉากสยองขวัญก็เช่นกัน หนังเรื่องนี้เล่นจังหวะกระตุกอารมณ์คนดูด้วยเสียงและภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ เล่นกับความไม่รู้ของคนดูกับตัวละครได้ดี ฉากที่เสียวสยองที่สุดเป็นฉากที่นิ่งที่สุด คือ ฉากที่ Noah แทง Lucias

เราจะเห็นการแทงแล้วลังเล วางมีดไว้ที่โต๊ะ แล้วกลับมาแทงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า มันไม่ใช่การแทงเพราะการเสียสติหรือปัญญาอ่อน แต่มันเป็นการแทงเพราะความเคียดแค้นริษยา และ ในฉากนี้เราจะเห็นว่า ข้างๆตัวของ Lucias ที่ล้มลงมีกล่องที่เก็บความลับวางอยู่ข้างๆ

... ความโรแมนติกในหนัง + แง่มุมข้อคิดที่ซ่อนไว้ภายใต้เปลือกความสยองขวัญ + เสน่ห์งามบาดใจของ Bryce Dallas Howard นี่เอง จึงทำให้ The Village เป็นหนังของ M. Night Shyamalan ที่ผมชอบมากที่สุด และ รอคอยผลงานชิ้นถัดไป โดยมิได้ลุ้นว่าหนังจะหักมุมอย่างไรแต่ลุ้นว่า จะมี สาร(message)อะไรซุกซ่อนเอาไว้อีก



ความรู้ปลีกย่อย : stages of moral development ของ Kohlberg ประกอบไปด้วย

Level 1 (Pre-Conventional) (up to age 9)
1. Obedience and punishment orientation
2. Self-interest orientation

Level 2 (Conventional) (age nine+ to adolescence)
3. Interpersonal accord and conformity
(a.k.a. The good boy/good girl attitude)
4. Authority and social-order maintaining orientation
(a.k.a. Law and order morality)

Level 3 (Post-Conventional)(adulthood)
5. Social contract orientation
6. Universal ethical principles





ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2549
39 comments
Last Update : 29 กรกฎาคม 2553 23:27:53 น.
Counter : 21469 Pageviews.

 

ดูแล้วครับ

 

โดย: ชายคา 13 กุมภาพันธ์ 2549 0:23:41 น.  

 

เรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆ

เสียอย่างเดียว มีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ภายหลังหนังจบแล้วเดินออกมาจากโรงหนัง แล้วต้องขึ้นรถเมล์กลับบ้านตามลำพัง เจออะไรไม่ค่อยดีนักระหว่างทางค่ะ

แต่ไม่ลืมแง่คิดดีๆ ที่ได้จากหนังเรื่องนี้ค่ะ ...

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ


 

โดย: มรกตนาคสวาท 13 กุมภาพันธ์ 2549 0:39:45 น.  

 

อย่างที่คุณบอกเพราะความคาดหวัง จึงผิดหวังกับหนังเรื่องนี้

 

โดย: Capulet J. 13 กุมภาพันธ์ 2549 0:59:01 น.  

 

ดูซ้ำประณสามรอบ ถึงรู้สึก เออ..สวยงามดีนะเรื่องนี้

 

โดย: รักบังใบ IP: 210.4.139.129 13 กุมภาพันธ์ 2549 3:25:01 น.  

 

เรื่องนี้จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ ว่าแล้วก็อยากหามาดูจังเลยชอบหนังแนวนี้เลยค่ะ ให้ข้อคิดแถมอะไรสวยงามแฝงอยู่ อาจจะเพราะไม่ชอบหนังกระแสบางครั้งด้วยมั้งค่ะเลยอยากดูเรื่องนี้เพื่อพิสูจน์ว่าสนุกจริงไม๊

 

โดย: JewNid 13 กุมภาพันธ์ 2549 3:34:49 น.  

 

ไม่ได้ดูค่ะ
แต่อ่านแล้วอยากลองหามาดูค่ะ

 

โดย: ที่ได้พบกับเธอ นั่นคือโชคชะตา 13 กุมภาพันธ์ 2549 3:42:09 น.  

 

เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูครับ ดูเรื่องก่อนหน้านี้คือ Sign
ก็รู้สึกเฉยๆ ดูได้เรื่อยๆ ไม่ผิดหวัง ไม่ปลาบปล้มครับ

 

โดย: Nutty Professor 13 กุมภาพันธ์ 2549 3:50:54 น.  

 

เรื่องนี้ จัดว่าเป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย
เก่งนะ นาย มนู คนนี้ หลอกล่อ คนดูได้จนเกือบจบเรื่อง (ยิ่งหนัง ตย. ยิ่งต้องซูฮก)

วันก่อนได้มีโอกาสเห้นหนัง ตย.
เรื่อง เลดี้ อินเดอะวอเตอร์
เห็นชื่อผู้กำกับแล้ว... แทบจะนับวันรอเลย

 

โดย: merf1970 13 กุมภาพันธ์ 2549 7:41:39 น.  

 

เขาว่าดูหนังพี่คนนี้คือ รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก
แต่ผมก็ชอบนะ ผมชอบเรื่อง Sign กะ Sixth Sense
Comment block อ่านยากจัง เห็นใจคนพิมพ์สัมผัสไม่เป็นด้วยคร้าาาบ

 

โดย: ทิฐิฯ IP: 137.226.192.148 13 กุมภาพันธ์ 2549 19:17:51 น.  

 

..

ดูจบ ผมงงๆนิดหน่อย ต้องตั้งสมาธิอีกราว 5 นาที ถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เหอๆ

สรุปว่าชอบครับ เพราะคล้ายๆกันคือ ไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นหนังสยองขวัญ แต่หวังว่าจะมีปมอะไร หักมุมตอนจบให้กับเรามากกว่า

..

 

โดย: POGGHI 13 กุมภาพันธ์ 2549 23:48:56 น.  

 

ทิฐิฯ .... ขอบคุณครับกับคำแนะนำ ช่อง comment จะแก้ให้เขียนแล้วอ่านง่ายขึ้นเร็วๆนี้ครับ

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 14 กุมภาพันธ์ 2549 0:24:47 น.  

 

ชอบเหมือนกันครับ โรแมนติกสุดๆ ดูซ้ำได้หลายรอบไม่เบื่อ นี่ก็รอดูพ่อหนุ่มวาคีนกับสาวรีสใน Walk the Line อยู่ รู้สึกว่าต้องชอบเรื่องนี้แน่ๆ เว่อร์ไปหรือเปล่าครับเนี่ย

 

โดย: absent-minded IP: 158.108.54.130 14 กุมภาพันธ์ 2549 13:54:54 น.  

 

ชอบฉากที่นางเอกยื่นมือรออยู่เหมือนกันค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นขนลุกเลยล่ะ

 

โดย: azzurrini 17 กุมภาพันธ์ 2549 12:46:32 น.  

 

นั่งรอ Lady in the Water อยู่ครับ

แต่ตอนดูผมจะแอบอมยิ้มทุกครั้งที่นางเอกตาบอดเดินลิ่วๆๆๆ ไม้เท้ามีไม่รู้จักใช้... ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ - -*

ส่วนเรื่องความชอบ ผมให้ในระดับกลางๆล่ะ

 

โดย: Admission Boy (nanoguy ) 20 กุมภาพันธ์ 2549 16:46:14 น.  

 

ชอบหนังเรื่องนี้มากครับ หนังไม่ได้สนุกที่ความสยองขวัญ น่ากลัวของมันเลยแม้แต่น้อย แต่ชอบที่ซ่อนนัยยะ ให้ขบคิดหลังจากเดินออกมาจากโรง
ขำมากกก...ตอนที่เจ้าหน้าที่อุทยาทแบกบันได แล้วอีตา Shyamalan ถามว่าจะไปไหน แล้วเจ้าหน้าที่ตอบว่า จะไปซ่อมป้ายซะหน่อย"I'll going to fix the Sign"
55555 (ขำอยู่คนเดียว) กัดตัวเองก็เป็นแฮะ

 

โดย: amin IP: 61.90.73.155 22 กุมภาพันธ์ 2549 22:29:32 น.  

 

^
^
ตอนดู ไม่ทันสังเกตประโยคนี้เลยนะเนี่ย

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 24 กุมภาพันธ์ 2549 0:44:27 น.  

 

ความเห็นผมนะ...
สีแดง น่าจะหมายถึง Capitalism (McDonald, Coke etc.) สิ่งที่ผู้ก่อตั้ง The Village พยามจะหลีกหนี เลยมาตั้งชุมชนในอุดมคติ โดยเลือกเอารูปแบบชุมชนอเมริกันแบบดั้งเดิม(น่าจะPre-American ซะมากกว่า) ไม่น่าจะใช่แค่ชุมชนชนบท-สังเกตุจาก รูปแบบของ Costume และลักษณะของ Architecture)
สีเหลือง ไม่น่าจะหมายถึงความดีนะครับ ผมว่าเป็นสีที่ใช้เตรียมระวังภัยมากกว่า (Buffer Color)อย่างเช่นไฟเขียว-ไฟแดง เช่นเอาธงเหลืองไปปักไว้ตามขอบเขตหมู่บ้าน หรือการที่ตัวละครจะใส่ชุดสีเหลืองเมื่อจำเป็นเท่านั้น
'
'
'
ปล.เปลี่ยน Blackground ของ Comment Post เถอะครับ ทรมานมากเวลาพิมพ์

 

โดย: amin IP: 58.8.53.156 25 กุมภาพันธ์ 2549 21:18:26 น.  

 

^
^
... ตอนนี้เปลี่ยน Background ด้วยการปรับสีแล้ว น่าจะช่วยให้โพสต์ง่ายขึ้นนะครับ ขอบคุณครับที่มาแสดงความเห็น+คำแนะนำครับ

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 26 กุมภาพันธ์ 2549 18:42:01 น.  

 

บทความของคุณตอบปัญหาที่ค้างคาอยู่ในหัวสมองและหัวใจได้หมดเลยค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ

 

โดย: ปุ๋ย IP: 61.91.137.94 14 มีนาคม 2549 17:32:28 น.  

 

ก่อนดูมีแต่คนบอกว่าห่วย เลยไม่คาดหวัง ปรากฏว่าดีกว่าที่คิดเยอะ

 

โดย: yatiko IP: 203.146.55.130 18 มีนาคม 2549 15:57:41 น.  

 

ดูแล้วค่ะ ชอบการวิจารณ์มากทำให้ได้แง่มุมที่ไม่ทันได้รู้สึกจากหนัง

 

โดย: lastquarter IP: 124.120.237.233 27 มีนาคม 2549 21:37:13 น.  

 

ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ

 

โดย: poipoi IP: 58.147.4.81 28 มีนาคม 2549 16:00:09 น.  

 

ช่วงหนังฉายในโรงได้ยินคนวิจารณ์ว่าไม่ดี
มาได้ยินคุณผมอยู่ข้างหลังคุณว่าดี จึงเริ่มสนใจจะดู และเพิ่งมีโอกาสได้ดู
สนุกดีค่ะ การหักมุมตอนจบแม้ว่าพอเดาได้ แต่ก็โอเค เพราะสิ่งสำคัญในเรื่องคือ สาระแฝงเร้น อย่างที่คุณอยู่ข้างหลังคุณบอก

ส่วนตัวได้แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องความกลัว ว่าโลกที่แคบของเด็กและหนุ่มสาวในหมู่บ้านเกิดจากผู้ใหญ่สร้างความกลัวให้ในใจพวกเขา และคิดต่อไปว่าถ้าใครสักคนกล้าที่จะเผชิญความกลัวเหล่านั้น เขาจะพบโลกแห่งความจริงที่กว้างกว่าที่เขาเคยรับรู้มากนัก
และเห็นด้วยว่าปัญหาของผู้ใหญ่เหล่านี้ ไม่มีใครสร้างความกลัวในใจเหมือนเด็ก แต่เป็นพวกเขาสร้างขึ้นมาเอง และทำให้เขายินยอมพร้อมใจอยู่ในโลกแคบต่อไปด้วยความกลัวเพียงอย่างเดียว

เฮ้อ ความกลัวนี่ช่างขีดกรอบให้กับ...ได้มากเหลือเกิน

 

โดย: The village in mimd IP: 58.9.160.246 14 เมษายน 2549 21:30:08 น.  

 

เป็นหนังที่ส่งผลสะเทือนต่อโลกทัศน์ของผมมาก
ตามการตีความของผม น่าจะเป็นหนังเชิงปรัชญา
รัฐศาสตร์
สังคมปิดที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้น(อาจเป็นได้ตั้งแต่หมู่บ้านเล็กๆหรือขยายสเกลเป็นระดับประเทศก็ได้)โดยไม่สามารถหยั่งรู้ถึงตัวแปรที่จะก่อให้เกิดหายนะ
หรือการสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวเพื่อประโยชน์ทางการปกครอง
ผู้กำกับสุดยอด! เขาแฝงสัญญะต่างๆไว้มากมาย ดูครั้งแรกรู้สึกว่าถูกหลอก(นึกว่าหนังผี)
พอดูจบครั้งที่ 2 ...อึ้งไปเลยครับ รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ใน the village เลย หมู่บ้านที่ลูกบ้านไม่มีโอกาสรู้ความจริง ผู้รู้ความจริงในหมู่บ้านก็พูดไม่ได้ (เป็นกุศโลบายการปกครองแบบหมู่บ้านสาบสยอง!!!) ในสังคมแห่งความกลัว สมาชิกในสังคมจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ไม่อยากให้เรามีปัญญาเพราะกลัวจะปกครองยากใช่ไหม?ผมอยากจะตั้งคำถามกับบ้านนี้เมืองนี้ ด้วยความเคารพ..... กับอะไรที่พวกคุณเรียกว่าประวัติศาสตร์นั่น....."พวกคุณหลอกผมใช่ไหม? หลอกมากี่ร้อยปีแล้ว?"

 

โดย: tongtong IP: 210.203.161.157 11 พฤษภาคม 2549 22:36:35 น.  

 

ตามมาจากกระทู้ที่คุณเข้าไปคุยด้วยค่ะ
ชอบหนังเรื่องนี้มาก บทดี ดนตรีเพราะ เสียดายที่ไม่ได้ดูในโรง
เป็นอีกเรื่องที่ต้องหาซื้อแผ่นดีวีดีมาเก็บไว้

 

โดย: Empty Sky IP: 125.24.7.78 16 พฤษภาคม 2549 22:20:44 น.  

 

อืม.. มีคนชอบเรื่องนี้เหมือนกัน
เพื่อนๆ ที่เคยดูมีแต่บ่นว่าไม่สนุก แต่เราดูแล้วรู้สึกดี เพราะมันหักมุมได้อย่างที่ไม่คาดคิด และยังมีข้อคิดดีๆ แฝงอีกหลายอย่าง

 

โดย: vip IP: 58.8.44.96 10 มิถุนายน 2549 22:29:16 น.  

 

เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆๆๆค่ะ หักมุมถูกใจมาก โดนหลอกมาตลอดเรื่องเลย

 

โดย: Dakki IP: 58.9.138.193 22 กรกฎาคม 2549 2:21:10 น.  

 

ดี ชั่ว

 

โดย: gto191 IP: 124.120.12.101 19 สิงหาคม 2549 13:12:27 น.  

 

ชอบหนังเรื่องนี้มากเลยดูแล้วสนุกดี

 

โดย: อาณาจักรสีน้ำเงิน IP: 61.19.48.2 27 ธันวาคม 2549 11:27:48 น.  

 

มาเยี่ยม และ อ่าน เพราะว่าชอบเรื่องนี้เหมือนกันคะ พอดูเสร็จก็อึ้ง กับซึมอะไรไม่รู้เข้าไปเยอะแยะเลย มาอ่านแล้วชักอยากดูใหม่ แต่ก็เหมือนไม่อยากดูใหม่ด้วย อิอิ
แต่ฉากสีในเรื่องสวยมาก มากจนอยากเข้าไปอยู่ด้วยเลย

 

โดย: รัตติกัลยา IP: 58.8.186.104 31 มีนาคม 2550 16:37:30 น.  

 

เฮ้อ จะบอกว่าเป็นหนังที่ตอนแรกดูแล้วซีเรียส
ตอนหลังเริ่มตลก
ไม่คิดว่าจะหักมุมขนาดนี้เลย

 

โดย: ฉันอยู่ข้างหลังคุณอีกที IP: 202.28.181.9 3 พฤศจิกายน 2550 16:03:43 น.  

 

ดูไปตั้งนานละ ชอบเหมือนกันครับเรื่องนี้

เดี๋ยวไปหามาดูใหม่ก่อน

 

โดย: good on ya IP: 61.7.169.24 7 มกราคม 2551 21:40:50 น.  

 

ชอบเหมือนกัน
เดี๋ยวต้องไปหาดูอีกรอบซะแระเรา

 

โดย: ปลากะโฮ้น้อย IP: 125.24.81.142 9 กุมภาพันธ์ 2551 21:30:20 น.  

 

ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
เพราะทำให้เราค้นพบความจริงที่ว่า
แม้ว่าเราจะเตรียมการมาดีอย่างไร
อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร
ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้ที่เป็นอยู่

เราไม่สามารถหนีจากความเจ็บปวดทางจิตใจได้หรอก
ตราบเท่าที่เราจะเป็น มา นุดบนโลกนี้

 

โดย: vodca 23 กุมภาพันธ์ 2551 20:07:42 น.  

 

ชอบเรื่องนี้มากค่ะ

 

โดย: aejuay IP: 58.8.170.227 18 มิถุนายน 2551 23:37:56 น.  

 

ได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะอาจารย์ เอามาให้ดู
ดูเองแล้วก้พอจะเข้าใจบ้าง แต่พอมาอ่านแล้ว
แบบว่าช่วยให้สิ่งที่คิดไว้มัน ง่ายขึ้น
ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: ีnut_ja IP: 125.25.177.35 19 มิถุนายน 2551 0:25:43 น.  

 

ยังไม่ได้ดูค่ะ แต่ชอบแง่มุมที่คุณเขียน เข้าใจจับใจความของเรื่อง ให้เห็นในสิ่งที่คิดไม่ถึง ขอบคุณนะค่ะ จะลองไปดูค่ะ

 

โดย: เงาดาว สุขศรีดากุล IP: 58.9.233.251 30 กรกฎาคม 2553 10:52:41 น.  

 

เคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้วครับ
ได้ข้อคิดเหมือนกันว่าความชั่วร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่คนอื่นอย่างเดียว แต่อยู่ภายในจิตใจเราด้วย รอเพียงแค่มีปัจจัยหรือน้ำมารดเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายนี้ ตัวเราก็สามารถเปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้
แต่พอดูจบแล้วก็ลืมมันไป ขอบคุณครับที่ทำให้ได้นึกถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้ง และการวิเคราะห์ อธิบายข้อคิดที่ทำให้จำลงไปในใจแบบอ่านแล้ว 'โดน' ไม่ต้องท่องหรือพยายาม ตามสไตล์ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

 

โดย: Asker IP: 125.27.243.248 30 กรกฎาคม 2553 11:41:19 น.  

 

ขอบคุณค่ะ ต้องหามาดูบ้างซะแล้ว

 

โดย: เก๋ IP: 125.27.1.63 3 กันยายน 2560 0:05:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
13 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.