Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
รักษาใจให้ปลอดพิษ

Photobucket>

หญิงสาวคนหนึ่งมีอาการปวดท้องและปวดหัวเรื้อรัง ทั้งยังมีความดันโลหิตสูงด้วย ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่มีอาการดีขึ้น น่าแปลกก็คือหมอหาสาเหตุของโรคไม่พบ ร่างกายของเธอเป็นปกติทุกอย่าง สุดท้ายหมอก็ถามเธอว่า "ชีวิตของคุณ เป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ"

ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ใช่เป็นแค่อารมณ์ ที่มาแล้วก็ผ่านไปดังสายลม บ่อยครั้งมันถูกเก็บสะสม และหมักหมม จนไม่เพียงทำให้ร้าวรานใจเท่านั้น หากยังบั่นทอนร่างกายจนเจ็บป่วยเรื้อรังดังหญิงสาวผู้นี้
อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ ถึง เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ ไม่ให้หมักหมมเรื้อรัง สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย ดังที่หญิงสาวผู้นี้ ได้ค้นพบด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตามอารมณ์ที่มีพิษบั่นทอนจิตใจและร่างกายนั้น มิได้มีแค่ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ เท่านั้น หากยังมีอีกมากมาย เช่น ความท้อแท้ ผิดหวัง เศร้าโศก พยาบาท และที่เป็นกันแทบทุกคนก็คือ ความเครียด และวิตกกังวล

จากประกายไฟ กลายเป็นกองเพลิง
อารมณ์เหล่านี้ก็เช่นเดียวกับไฟ คือไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการสัมผัส หรือเสียดสีอย่างน้อยสองอย่างคือ ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แน่นอนต้องเป็นรูป เสียง หรือกลิ่นที่ไม่น่ายินดี ทำให้เกิดความทุกข์ หรือความไม่พอใจขึ้นมา ความไม่พอใจนี้เปรียบดังประกายไฟซึ่งวาบขึ้นมา เมื่อมีการเสียดสีกัน ธรรมดาประกายไฟเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับวูบไปในทันที แต่ถ้ามีเชื้อไฟอยู่ใกล้ๆ มันก็ลุกเป็นเปลวไฟ แล้วอาจขยายเป็นกองไฟหรือลามจนกลายเป็นมหาอัคคีไปในที่สุด

ดังนั้นความทุกข์หรือความไม่พอใจจึงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต และถ้าปล่อยให้มันดับไปเองเฉกเช่นประกายไฟ ก็ไม่มีปัญหา อะไร ปัญหาอยู่ที่เรากลับทำให้ความไม่พอใจนั้นยืดเยื้อเรื้อรังจนลุกลามขยายใหญ่ โต กลายเป็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จนบางที อั้นไว้ไม่อยู่ ต้องระบายใส่คนอื่น หรือถ้าอั้นเอาไว้ได้ มันก็วกกลับมาทำร้ายร่างกาย และจิตใจของตนเอง จนป่วยด้วยโรคสารพัด เราไปทำอะไรหรือ ถึงไปโหมกระพืออารมณ์ให้พลุ่งพล่านขึ้นมา? คำตอบก็ คือ เราไปเติมเชื้อให้มัน โดยไม่รู้ตัว

ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์อันไม่น่าพอใจเกิดขึ้น เรามักจะเก็บเอามาคิดซ้ำย้ำทวน หรือครุ่นคิดอยู่ไม่ วาย ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

การครุ่นคิดถึงมันอยู่บ่อยๆ เท่ากับเป็นการเติมเชื้อให้มันเติบใหญ่และลุกลามไปเรื่อยๆ จน อาจถึงจุดที่ควบคุมไม่อยู่ เรื่องเล็ก กลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะเหตุนี้

เคยมีนักเรียนบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพียง เพราะถูกเพื่อนล้อว่ามีสิว สิวเพียงไม่กี่เม็ดบนใบ หน้าผลักให้นักเรียนวัยใส ทำร้ายตัวเองได้อย่างไร หาก ไม่ใช่เพราะการเก็บเอาคำหยอกล้อของเพื่อนๆ มาครุ่นคิดทั้งวันทั้งคืน จนความอับอาย และน้อยเนื้อต่ำใจ กลายเป็นความหมดอาลัยในชีวิต

ทุกข์ คลายได้ ถ้ารู้จักปล่อยวาง
เมื่อความทุกข์หรือความไม่พอใจเกิดขึ้น วิธีป้องกันมิให้มันลุกลามหรือหมักหมม จนกลายเป็น อารมณ์เรื้อรังที่เป็นพิษ ต่อชีวิตของเรา ก็คือการไม่เก็บเอามาคิดย้ำซ้ำทวนหรือหวนกลับไปนึกถึงบ่อยๆ จนถอนไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งถลำลึกในอารมณ์ และทำให้อารมณ์มีพลังดึงดูดจนหลุดออกมาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

เหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีตที่ไม่อาจแก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงได้ การครุ่นคิดถึงมัน เพียงเพราะใจอยากคิดนั้น ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นโทษด้วยซ้ำ เว้น เสียแต่ว่าต้องการทบทวนเพื่อสรุป หาบทเรียนหรือทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ (แม้กระนั้นก็ต้องระวังไม่ให้ตกลงหลุมอารมณ์โดยไม่รู้ตัว)

พูดง่ายๆ คือต้องรู้จักปล่อยวาง เชื่อหรือไม่ว่าตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราทุกข์อย่างยิ่งนั้น อยู่ที่ใจซึ่งปล่อยวางไม่เป็น ต่างหาก หาได้อยู่ที่ คนอื่นหรือเหตุการณ์ภายนอกไม่ แม้จะมีอะไรมากระทบ อย่างแรง แต่ถ้าใจรู้จักปล่อยวาง มันก็ทำอะไร เราไม่ได้

รู้ เมื่อใด ละเมื่อนั้น
ไม่ว่าอารมณ์จะหมักหมมเรื้อรังเพียงใด ก็ไม่เกินวิสัยที่จะปล่อยไปจากใจ ขอเพียงมีสติระลึกรู้ทันว่ากำลังหลงยึดมันอยู่ อย่าลืมว่า มันค้างคาในใจเราได้ เพราะใจเรานั่นแหละ ที่ไปยึดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ทันทีที่ใจปล่อย มันก็หลุด แต่เผลอเมื่อไร ใจก็อาจไปยึดมันเอาไว้อีก ถ้าจะไม่ให้เผลอ ก็ต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ สติจึงมีความสำคัญอย่างมากในการปลดเปลื้องอารมณ์เหล่านี้

สตินั้นสามารถใช้รับมือกับอารมณ์ต่างๆ ได้ทุกชนิด โดยเพียงแต่รู้เฉยๆ ว่ามีอารมณ์เหล่านี้ เกิดขึ้น ใจก็ปล่อยมันหลุดไปเอง โดยไม่จำเป็นต้องไป ขับไสไล่ส่งมันเลย บางคนคิดว่าจะต้องเข้าไปเล่นงานมัน เช่น กดมันเอาไว้ หรือไล่มันไป แต่ยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อให้มันมีพลังมากขึ้น หรือ กลายเป็นการติดกับดักมัน เหมือนกับไก่ป่าที่คิดไล่ไก่ต่อ ที่นายพรานเอามาล่อไว้ แต่สุดท้ายก็ติดกับดักของนาย พราน

เปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่น

การย้ายความสนใจไปยังสิ่งอื่น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ใจไม่ไปหมกมุ่นกับความทุกข์ หรือ ตกหลุมอารมณ์อกุศลทั้งหลาย เช่น เวลาโกรธใครขึ้นมา ลอง ดึงจิตมาจดจ่อกับลมหายใจ ขณะเดียวกันก็หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ และนับทุกครั้ง ที่หายใจออก เริ่มจาก ๑ ไปจนถึง ๑๐ ถ้าลืมก็นับ ๑ ใหม่ แม้ความโกรธจะไม่หายทันที แต่ก็จะทุเลา หรือร้อนรุ่ม น้อยลง เพราะมันสะดุดขาด ตอนแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม การนึกถึงความทุกข์ของ ผู้อื่น ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเราด้วย เช่นกัน โดย เฉพาะเมื่อนึกถึงคนที่ลำบากกว่าเรา

มองแง่ดี
ขยะปฏิกูลนั้น ถ้าใช้ไม่เป็น ปล่อยให้หมักหมม ก็ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นที่มาของโรค แต่ถ้ารู้จักใช้ ก็เป็นประโยชน์ เช่น กลายเป็นปุ๋ย

ความทุกข์หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เช่นกัน ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย หรือความยากลำบาก ถ้าเราไม่รู้จักมอง ก็ก่อให้เกิดอารมณ์หมักหมมที่ล้วนเป็นอกุศล แต่ถ้ามองเป็นจนเห็นประโยชน์ หรือรู้จักมองในแง่ดี อารมณ์อกุศลก็จะ คลายไป เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาแทน ที่ หรืออย่างน้อยก็ปล่อยวางได้มากขึ้น

เหตุการณ์ที่ไม่น่ายินดีทั้งหลาย ถ้ามองให้เป็น ก็ยังยิ้มได้ มีผู้ป่วยหลายคนอุทานว่า "โชคดีที่เป็นมะเร็ง" เพราะมะเร็งทำให้เขาและเธอได้พบหลายอย่างที่มีคุณค่าต่อชีวิต เช่น ได้รู้จักธรรมะ ได้อยู่ใกล้คนรัก
บางคนเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็ยังบอกว่าโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะเคยเห็นญาติทุกข์ทรมานกับโรคนี้มาก

ขยะและสิ่งปฏิกูลนั้น สามารถแปรเป็นปุ๋ยและบำรุงต้นไม้ให้งอกงาม จนออกดอกออกผลฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหา ทั้งหลายก็มีแง่ดี หรือมีประโยชน์ ถ้ามองให้เป็น อารมณ์อกุศลก็ยากจะหมักหมมหรือยืดเยื้อเรื้อรังได้

เยียวยาใจ ด้วยการให้อภัย
ถ้าหากอารมณ์ที่หมักหมมนั้น เป็นความโกรธ เกลียด พยาบาท วิธีหนึ่งที่ช่วย เปลื้องอารมณ์เหล่านี้ไปจากใจอย่างได้ผลมาก คือ การให้อภัย หรือ ดียิ่งกว่านั้นคือการแผ่เมตตา ให้อภัยคือไม่ถือโทษโกรธเคือง ในเรื่องที่ผ่านมา ส่วนแผ่เมตตา หมายถึง การตั้งจิตปรารถนาดีให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรานั้นเป็นเรื่องยาก แต่การที่จะมีชีวิตอย่างผาสุก ตราบใดที่ยังมีความ โกรธเกลียดสั่งสมในจิตใจ กลับเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ใน ใจของทุกคน ย่อมมีบาดแผลจากความโกรธเกลียด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี "ยาสามัญประจำใจ" ขนานนี้ไว้เยียวยาอยู่เสมอ

อยู่ วิเวกเป็นครั้งคราว
อาหารถ้ากินมากๆ ก็มีสารพิษสะสมมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้การขับสารพิษเป็นไปได้ยาก เพราะ ร่างกายต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการย่อยเป็นหลัก ดัง นั้นเวลาจะขับสารพิษออกไปจากร่างกาย จึงควรงดอาหารเป็นครั้งคราว

ฉันใดก็ฉันนั้น การเสพข่าวสาร แสงสี และการพบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้น ลงไม่หยุดหย่อน อารมณ์เหล่านี้แม้จะดับไปในเวลาไม่นาน แต่ ก็มักทิ้งตะกอนอารมณ์ไว้ในใจเรา ซึ่งหากสะสมมากพอ
ก็ทำให้เราเกิดอารมณ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น เช่น คนที่หัวเสียหรือเครียดบ่อยๆ นานไปก็จะหัวเสียและ เครียดได้ง่ายขึ้นแม้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ดังนั้นจึงควรมีบางช่วงที่เราปลีกตัวหลีกเร้นจากข่าวสาร แสงสี และการพูดคุย ห่างไกลจากโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ อยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ อย่างน้อยปีละ ๑ อาทิตย์ ถือเป็นโอกาสเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิภาวนา
เพื่อลดตะกอนอารมณ์ วิธีนี้ยังเป็นการ "เว้นวรรค" อารมณ์ไม่ให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ จนลุกลาม จิตใจจะได้แจ่มใสสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง

อยู่ ในโลกอย่างรู้เท่าทัน
อย่างไรก็ตามเราอยู่ในโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อมูล ข่าวสาร แสงสี ตลอดจนอารมณ์ของผู้คนโดยไม่ทุกข์ด้วย มิใช่เอาแต่หลีกเร้นอย่างเดียว วิธีการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็คือการรักษาใจให้มีสติอยู่ เสมอ

ใช่หรือไม่ว่าหูของเราชอบหาเรื่อง จึงไปยึดเอาเสียงต่างๆ มาทิ่มแทงใจของตัว ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจก็ไม่เบาเช่นกัน เรา จึงมีความทุกข์อยู่ไม่ว่างเว้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะไม่มีสติกำกับนั่นเอง

การอยู่กับผู้คนมากๆ หากมีสติคู่ใจ มีอะไรมากระทบ แม้จะออกมาจากอารมณ์ที่ร้อนแรง แต่ก็ จะไม่ติดตรึงใจเราได้ เพราะเรารู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ และปล่อยวางได้ทัน เปรียบดังใบบัวที่ไม่ยอมให้หยดน้ำมาเกาะติดได้

เปิด ปากเปิดใจ
แต่ปุถุชนนั้นยากที่จะมีสติตลอดเวลา ได้ยินได้เห็นอะไรไม่ถูกใจ ย่อมปล่อยวางไม่ทัน เก็บเอามาทิ่มแทงตัวเอง ซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะคิดปรุงแต่งไปทางร้าย เห็นเขา กระซิบกระซาบกัน ก็คิดว่าเขากำลังนินทาตนเอง ถ้าปักใจเชื่อเช่นนั้น ก็จะรู้สึกไปในทางร้ายกับเขาทันที คำถามก็คือเรามั่นใจในข้อสรุปของตัวเองแล้วหรือ จะ ดีกว่าไหม หากเปิดปากซักถามเขาว่ากำลังกระซิบกระซาบกันเรื่องอะไร

เรามักด่วนสรุปไปตามความคิดชั่วแล่น โดยไม่สาวหาความจริง การเปิดปากซักถาม เป็นวิธี หนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราด่วนสรุปอย่างผิดๆ จนเกิดอารมณ์อกุศลขึ้น ใช่หรือไม่ว่า เมื่อความจริงปรากฏ บ่อยครั้งมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เรานึก

ความกินแหนงแคลงใจและความร้าวฉานมักเกิดจากความเข้าใจผิด และความเข้าใจผิด มีจุดเริ่มต้นจากการด่วนสรุปและไม่สืบสาวหาความจริง ทั้งๆ ที่เพียงแค่เปิดปากซักถาม ความจริงก็ปรากฏ

ไม่ว่าในครอบครัว หรือที่ทำงาน การรู้จักเปิดปากซักถามเป็นวิธีป้องกันความเข้าใจผิด และ สกัดกั้นมิให้เกิดอารมณ์อกุศลได้เป็นอย่างดี แต่เท่านั้นคงไม่พอ นอกจากการเปิดปากซักถามแล้ว บางครั้งมีความจำเป็นที่ต้องมีการเปิดปากเล่าความในใจด้วย

สาเหตุที่ความไม่พอใจสะสมมากขึ้นเพราะเราไม่กล้าเล่าความในใจให้อีกฝ่ายรับ รู้ ว่ารู้สึกข้องขัดอย่างไรบ้าง การปิดปากเงียบ ทำให้อารมณ์คุกรุ่นจนอาจระเบิดออกมา และก่อความเสีย หายอย่างคาดไม่ถึง

ในการอยู่ร่วมกัน เราควรส่งเสริมซึ่งกันและกันให้พร้อมที่จะเปิดปากซักถาม เมื่อ มีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือเปิดปากเล่าความในใจ เมื่อมีความขุ่นข้องหมองใจกันขึ้นมา แต่จะทำเช่น นั้นได้ทุกฝ่ายต้องพร้อมเปิดใจ รับฟังสิ่งที่อาจไม่ถูกใจ หรือ ไม่ตรงกับความคิดของตน การเปิดใจรับฟังอย่างมีสติ และความเห็นอกเห็นใจ
จะช่วยให้ผู้คนพร้อมเปิดปากซักถามและเล่าความในใจได้อย่างเต็มที่ แล้วเราอาจพบว่าปัญหานั้นแก้ได้ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ว่าปัญหาเล็กๆ ลุกลามจนเป็นเรื่องใหญ่ได้ ก็เพราะการไม่เปิดปากเปิดใจให้แก่กันและกัน

การ เปิดปากเปิดใจไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่อารมณ์เข้าหากัน หาก ทุกฝ่ายมีสติรักษาใจ หรือแม้นว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีสติ แต่ถ้าคนหนึ่งมีสติ ตั้งอยู่ในความนิ่งสงบ ก็สามารถช่วยลดทอนอารมณ์ของผู้อื่นได้ ขอให้คนๆ นั้น เริ่ม ต้นที่ตัวเรา ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอีกต่อไป

ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 326 มิถุนายน 2549 หน้า 17-24 โดยพระไพศาล วิสาโส


Photobucket


Create Date : 23 มกราคม 2554
Last Update : 23 มกราคม 2554 21:42:44 น. 2 comments
Counter : 943 Pageviews.

 
ทุกข์คลายได้ถ้ารู้จักปล่อยวาง เป็นวิธีที่อยากให้ใครหลายๆคนได้ทำตามครับ ปล่อยวางแต่ไม่ได้ให้ปล่อยปัญหาถึงขนาดละเลยไป สติมาปัญญาเกิด


โดย: Don't try this at home. วันที่: 23 มกราคม 2554 เวลา:23:09:59 น.  

 
emoemoemo


โดย: arisagirl วันที่: 16 พฤศจิกายน 2558 เวลา:20:33:27 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อ๋อซ่าส์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เสือส้มต้า ซ่า เอ๋อ
แพนด้าท้าตะลุย
หัวหอมจอมป่วน
X
X
X
Friends' blogs
[Add อ๋อซ่าส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.